พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1363 จ้านหรูอี้โมโหมาก
ที่ตำหนักคุ้มเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคอโส่วอี้กับฉูอิ้น ผู้อาวุโสทั้งสองของของสำนักหกนิ้วเดินออกมาจากตำหนักแล้ว เรียกได้ว่ามุ่งตรงไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
ทั้งสองพบว่าเหมียวอี้หน้าใหญ่พอสมควร นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าตำหนักคุ้มเมืองของตลาดสวรรค์ เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งดื่มน้ำชากับผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่ฝูชิงถามถึงสถานการณ์ทางธงพยัคฆ์ดำที่เกี่ยวกับเหมียวอี้ไปไม่น้อย ถามละเอียดมาก จากนั้นพวกเขาก็ไปหาผู้บัญชาการมู่หรงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ บอกเรื่องที่ทางนั้นจัดเตรียมร้านค้าให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองย่อมตื่นเต้นดีใจมาก แต่ก็ไม่รู้เบื้องหลังของตลาดสวรรค์ชัดเจนเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมฝูชิงจึงไม่ให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองไปจัดการเรื่องนี้ แต่กลับให้มู่หรงซิงหัวไปจัดการแทน
หลังจากทั้งสองไปแล้ว ที่สวนดอกไม้ในตำหนัก อิงอู๋ตี๋ก็มีความสงสัยนี้เช่นเดียวกัน “พี่รอง ทำไมต้องให้พวกเขาไปหามู่หรงซิงหัวด้วยล่ะ?”
ฝูชิงเรียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เจ้าห้าไปแล้ว ข้าอยากจะเห็นท่าทีของมู่หรง ดูว่านางยินดีจะฟังคำสั่งข้าหรือไม่”
อิงอู๋ตี๋เข้าใจแล้ว จึงพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้าเคร่งเครียดนิดหน่อย เรื่องบางเรื่องทำตามใจตัวเองไม่ได้ เป็นหัวหน้าก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกน้อง พวกเขายินดีจะไว้หน้ามู่หรงซิงหัว แต่เกรงว่าลูกน้องคนอื่นๆ จะก่อเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว เดิมทีก็ขาดแคลนทัพยากรอยู่แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พี่รอง เรื่องนั้นที่หยางชิ่งเตือน…”
ฝูชิงโบกมือเบาๆ เหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าห้าก็คือเจ้าห้า สังหารจนเลือดนองเป็นแม่น้ำที่ตลาดสวรรค์ พอไปที่ธงพยัคฆ์ดำก็ใช้วิธีการที่รุงแรงรวดเร็ว ทำได้อย่างสวยงามมาก พวกเราทำงานมาจนอายุป่านนี้ ก็ยังสู้ไม่ได้เลย!”
“นิสัยเจ้าอารมณ์ของเจ้าห้า เรื่องบางเรื่องก็ทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็ทนไม่ได้” อิงอู๋ตี๋กล่าว
“เจ้าห้าลงหลักปักฐานที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว พรุ่งนี้เจ้าเตรียมออกเดินทางแล้วเหรอ?” ฝูชิงถาม
อิงอู๋ตี๋ตอบว่า “ใช่แล้ว! พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว ทางเจ้าสี่ก็จะออกเดินทางพรุ่งนี้เหมือนกัน ข้ารับตำแหน่งต่อจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าสี่รับช่วงต่อจากจ้านหรูอี้ เฮ้อ…มีแค่พี่ใหญ่คนเดียวที่ออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวไป”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าเองก็หวังจะให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีตำแหน่งอยู่บ้างแล้ว ต้องไปสักคน…เจ้าไม่สะดวกจะพาลูกน้องไปเยอะเกินในรวดเดียว พาไปรับตำแหน่งก่อนส่วนหนึ่ง แล้วตอนหลังค่อยสลับคนของทั้งสองฝ่าย สลับให้คนของเจ้าไปก่อน เจ้าห้าช่วยบอกทางจวนแม่ทัพภาคไว้แล้ว” ฝูชิงกล่าว
“อืม!” อิงอู๋ตี๋พยักหน้า
ตรงนี้เพิ่งจะคุยเรื่องออกเดินทาง แต่ในภูเขานอกเมืองของเขตเมืองตะวันออก คนกลุ่มหนึ่งออกเดินทางไปจากที่นี่แล้วจริงๆ กลุ่มอนุภรรยาของเหมียวอี้กำลังล้อมสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน ส่งเดินทาง!
สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนเป็นกลุ่มแรกที่อวิ๋นจือชิวจัดเตรียมให้ออกจากที่นี่ไป ทางมู่ฝานจวินส่งคนมารับแล้ว ทุกคนต่างก็รู้จักคนที่มารับ ถังจวินกับเยว่เหยานั่นเอง
หลังจากสั่งอะไรแล้วนิดหน่อย อวิ๋นจือชิวก็เดินออกมาจากกลุ่มคน เดินมาข้างกายเยว่เหยา “ทั้งสองคน พวกเราไม่เจอกันมานานแล้ว หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?”
บุคลิกของเยว่เหยาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นไม่น้อย แต่กลับหันหน้าไปอีกด้าน ยังคงไม่ค่อยชอบอวิ๋นจือชิว มีอคติมาตลอด
ถังจวินกลับยิ้มบางๆ “ก็พอได้! เหมียวฮูหยินกลับมีสง่าราศีกว่าในปีนั้นอีก”
อวิ๋นจือชิวมองไปที่เยว่เหยาด้วยแววตาจนใจนิดหน่อย ความสัมพันธ์ของเยว่เหยากับเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ นางเองก็บ่นอะไรเยว่เหยาไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องดีหากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเยว่เหยากับเหมียวอี้ต่อหน้ากลุ่มคน เดิมทีอยากจะถามถึงสถานการณ์ของนางแทนเหมียวอี้สักหน่อย ตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยผ่าน แล้วหันกลับมามองสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนสามารถคุ้มกันส่งพวกนางให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัยได้ใช่มั้ย? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนาง เกรงว่าหนิวเอ้อร์คงจะไม่ยอมจบเรื่องแน่”
“เชอะ!” เยว่เหยาทำเสียงดูถูก ไม่ค่อยพอใจที่อวิ๋นจือชิวยังเรียกเหมียวอี้ว่า ‘หนิวเอ้อร์’ เหมือนตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุมาตลอด ในสายตานาง ตัวการที่ทำให้พี่น้องของพวกนางต้องแยกจากกันก็คืออวิ๋นจือชิว เดิมทีสองพี่น้องอยู่ใต้บังคับบัญชาท่านอาจารย์อยู่ดีๆ มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ ในตอนหลังพี่ใหญ่จะพบปัญหายุ่งยากแบบนั้นได้อย่างไร
ถังจวินเองก็ทำอะไรกับศิษย์น้องเล็กไม่ได้เหมือนกัน เพราะท่านอาจารย์เอ็นดูนาง จึงส่งสายตาบอกอวิ๋นจือชิวว่าอย่าถือสา แล้วตอบว่า “เหมียวฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาจารย์ส่งยอดฝีมือมาคุ้มกันส่ง เพียงแต่ไม่อยากให้คนรู้ถึงสถานการณ์ของฝั่งนี้มากเกินไป จึงไม่ได้ให้มาที่นี่ พวกเขาล้วนรออยู่ในดาราจักร ท่านอาจารย์บอกแล้ว ว่าต่อให้ต้องยอมแลกทุกอย่างแต่ก็จะปล่อยให้เกิดเรื่องกับอนุภรรยาของผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า คาดว่ามู่ฝานจวินคงส่งยอดฝีมือของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกมา และตอนนี้เหมียวอี้ก็มีมูลค่าให้หกลัทธิใช้ประโยชน์มากกว่าเดิมแล้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาเรียกได้ว่าเป็นอาวุธคมในการปราบโจรของตำหนักสวรรค์
หลังจากกลุ่มผู้หญิงบอกลากันแล้ว สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เหาะขึ้นฟ้าตามถังจวินกับเยว่เหยาไป
หลังจากมองคล้อยหลังพวกเขาจากไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันตัวกลับถอนหายใจให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ แล้วบอกว่า “ใกล้แล้ว ทุกคนอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ อีกไม่นานตะแยกย้ายกันไปแล้ว เดี๋ยวถ้าไปถึงที่นั่นแล้วก็อย่าลืมติดต่อนายท่าน บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นายท่านบอกว่าจะเจียดเวลาไปหาพวกเจ้า”
จีเหม่ยลี่ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะถามว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ ว่าพอนายท่านไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายธงพยัคฆ์ดำแล้ว ก็เปิดฉากสังหารทันที เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มหยอกล้อ “จริงหรือไม่จริง เจ้าไปถามนายท่านเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ทุกคนล้วนเคยแก้ผ้าตอนเจอหน้านายท่าน ยังมีอะไรน่าเขินอายอีกเหรอ? เฮ้อ! ในเมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ก็น่าจะรู้ว่ากว่านายท่านจะเดินมาถึงวันนี้ได้ในแต่ละก้าวนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ใช่ว่าเขาอยากทิ้งพวกเรา แต่ทำตามใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ทุกคนกำลังจะไปกันแล้ว หวังว่าต่อไปนี้ทุกคนจะช่วยแบ่งเบาความกังวลให้นายท่านได้บ้าง ถ้ามีเรื่องอะไรก็ช่วยคิดในมุมของนายท่านให้มากๆ หน่อย อย่าให้นายท่านแบกทุกเรื่องไว้คนเดียว อย่าทำเหมือนพวกเราเป็นแจกันดอกไม้ที่วางประดับไว้เฉยๆ”
ผู้หญิงกลุ่มนี้เงียบไปพักหนึ่ง จีเหม่ยลี่บอกอีกว่า “ได้ยินว่าพวกร้านค้าที่ตลาดสวรรค์กังวลกันมาก พอรู้ว่านายท่านควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ราบคาบภายในเวลาอันสั้น ก็พากันกังวลว่านายท่านจะนำกำลังพลมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์เหมือนที่พูดไว้ในปีนั้น”
อวี้หนูเจียวก็ถามเช่นกันว่า “ฮูหยิน นายท่านจะพาคนมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงเหรอคะ?”
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจอีก แล้วส่ายหน้าบอกใบ้ว่าไม่รู้
ว่ากันตามจริง นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะทำแบบนี้หรือเปล่า ตามหลักการแล้ว ถ้าพวกฝูชิงยังอยู่ที่นี่ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นสิ แต่สาเหตุที่ร้านค้าพวกยังหวั่นวิตกทั้งๆ ที่เหมียวอี้ไปแล้ว ก็เป็นเพราะเหมียวอี้สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ไม่มีใครเคลือบแคลงในความน่าเชื่อถือของคำพูดเหมียวอี้ นี่ก็คือบารมีความน่าเชื่อถือของเหมียวอี้ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ บรรดาคนของสมาคมร้านค้าสุมหัวปรึกษากันทุกวัน เรียกได้ว่ากลัวจะตายอยู่แล้ว แต่ดันทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เลยสักนิด ยังไม่มีใครกล้าไปลงมือกับเหมียวอี้ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย และข้างกายเหมียวอี้ก็มีกำลังทหารล้อมพิทักษ์หนาแน่นมาก ลงมือไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
แดนอเวจี ที่ยอดเขาสูงบนทะเล ไห่ยวนเค่อยืนหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ย้อมจนท้องฟ้าและมหาสมุทรเป็นสีแดงฉาน เขาเองก็ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน
ในตำหนัก จินม่านเดินเนิบนาบออกมา เดินลงบันไดแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกกงซุนลี่เต้าติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา มองเงาร่างที่ยืนลำพังอยู่ริมหน้าผาแวบหนึ่ง แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก
พอเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายไห่ยวนเค่อ จินม่านก็กล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าเพิ่งจะติดต่อกับประมุขปราชญ์ ซินเอ๋อร์ปลอดภัยดีมาก แม้แต่ผมสักเส้นก็ไม่หลุดไป”
ทางนี้ก็ทราบข่าวที่เหมียวอี้อยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้วเช่นกัน ความน่าหวาดเสียวแบบนั้น คนที่เคยบัญชาการทัพใหญ่มาก่อนต่างก็รู้ดี เพียงแต่ในข่าวที่คนข้างนอกลือกันไม่มีใครเอ่ยถึงไห่ผิงซิน ในเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเอาความสนใจเกี่ยวกับข่าวมาวางไว้ที่ตัวละครเล็กๆ อย่างไห่ผิงซินคนเดียว กำลังคนของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ไม่มีทางสืบรู้ข่าวเบื้องลึกของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้เช่นกัน
ทว่าพอไห่ยวนเค่อมาที่นี่ จินม่านและคนอื่นๆ ก็รู้แล้วว่าไห่ยวนเค่อกำลังกังวลอะไร แต่ไห่ยวนเค่อมีนิสัยชอบเก็บความทุกข์ไว้ในใจคนเดียว ต่อให้เป็นวิธีการติดต่อกับประมุขปราชญ์และลูกสาว เขาก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนเช่นกัน
เมื่อได้รู้ว่าลูกสาวอยู่รอดปลอดภัย ในที่สุดไห่ยวนเค่อก็มีสีหน้าผ่อนคลายแล้ว แต่ทำหมือนไม่เป็นห่วงไห่ผิงซิน กลับถามเสียงเรียบว่า “ทางประมุขปราชญ์ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
จินม่านล้อเล่นพอหอมปากหอมคอ พูดหยอกล้อว่า “เป็นสิ ตอนนี้ประมุขปราชญ์ปวดหัวมาก เพราะควบคุมซินเอ๋อร์ไม่ได้ ซินเอ๋อร์เคารพบูชานางระบำที่เป็นอนุภรรยาของประมุขปราชญ์สุดๆ อยากจะเรียนร้องเพลงเต้นระบำกับนาง แต่นางระบำคนนั้นกลับเป็นสายลับที่ฝ่ายโจรกบฏแทรกมาไว้ข้างกายประมุขปราชญ์ ซินเอ๋อร์ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปอยู่ข้างกายนางระบำคนนั้น เจ้าว่าประมุขปราชญ์จะไม่ปวดหัวเหรอ”
“ฮ่าๆ…” พวกกงซุนลี่เต้าหัวเราะเสียงดังอย่างให้ความร่วมมือมาก แต่ไม่นานก็อ้าปากค้างหัวเราะไม่ออกแล้ว ไห่ยวนเค่อหันกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับกำลังถามว่า น่าขำมากนักเหรอ?
ทำเอาพวกที่ยิ้มค้างทำตัวไม่ถูก พอไห่ยวนเค่อหันกลับไป ก็เหาะขึ้นฟ้าจากไปทันที
ขณะที่มองส่งเขา คนที่เหลือก็สบตากันแวบหนึ่ง “เฮ้อ…” เรียกได้ว่าถอนหายใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ถ้ารู้แต่แรกว่าประมุขปราชญ์จะถูกย้ายไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทุกคนก็คงไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามกับปี้เยว่มากจนมีแม่สาวน้อยคนนี้ออกมาหรอก ตอนนี้หมดกัน ตอนนี้สาวน้อยไม่ใช่แค่ควบคุมไห่ยวนเค่อแค่คนเดียว ทั้งยังควบคุมพวกเขาทุกคนแล้วด้วย นับว่าทุกคนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง’
ธงพยัคฆ์น้ำเงินปลิวสะบัดอยู่บนไหล่เขา ระหว่างหุบเขามีน้ำตกลำธาร ภูเขาทอดยาวเหยียด ป่าเขียวขจีสดชื่น
ปัจจัยด้านที่พักของธงพยัคฆ์น้ำเงินดีกว่าธงพยัคฆ์ดำเยอะมาก ระหว่างภูเขามีเรือนพักหลายหลังที่ทำจากไม้ซุง เป็นที่ประจำการของทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงิน
นอกคฤหาสน์ไม้หลังหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในภูเขา มีคนสิบคนมาพร้อมกัน พอเข้ามาในสวน เห็นเพียงจ้านหรูอี้ทำตัวราวกับกินยาผิดมา รูปร่างสูงสง่ามีส่วนเว้าส่วนโค้งและใบหน้านั้นงดงามแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนผู้หญิง ชุดกระโปรงที่สวยงามกลับกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบไม่หยุด
“คารวะผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสิบคนกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
กระโปรงยาวตัวนั้นสั่นไหวและหยุดอยู่กับที่ จ้านหรูอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังโมโหใคร โกรธหน้าดำหน้าแดง ได้ยินเพียงเสียงอันคับแค้นของนางราวกับกำลังกัดฟันพูด “ทุกคนรู้รึเปล่าว่า ว่าหนิวโหย่วเต๋อควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้อย่างราบรื่นแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือกุมทั้งธงพยัคฆ์ดำโดยใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ขนาดผู้ตรวจการทัพเป่ยโต้วยังไปตรวจสอบแล้ว แต่พวกเราล่ะ? กลับโดนถ่วงเวลาให้ขยับไปไหนไม่ได้ ทำเรื่องอะไรไม่ได้ทั้งนั้น สำหรับธงพยัคฆ์น้ำเงิน คำพูดของผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าไร้น้ำหนักยิ่งกว่าลมตดด้วยซ้ำ!” มีภูมิหลังเป็นตระกูลที่ดี แต่กลับพูดคำหยาบคายสกปรกออกมาได้ จะเห็นได้ว่าโมโหขนาดไหน
ทั้งสิบคนส่งสายตาให้กันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ข้อมูลของทางธงพยัคฆ์ดำพวกเขาก็ได้ยินมาแล้ว แต่ทางตระกูลจ้านส่งข่าวมา ว่าให้พวกเขาปิดข่าวไว้ อย่าให้จ้านหรูอี้รู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน เรียกได้ว่าค่อนข้างเข้าใจนิสัยเจ้าอารมณ์ของหลานสาวบ้านตัวเอง ทั้งสิบย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดำอยู่แล้ว
ทว่าจ้านหรูอี้ก็มีกลุ่มสหายของตัวเองเหมือนกัน ยามนางได้รับความลำบากอยู่ที่นี่ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหมียวอี้ที่เป็นคู่ต่อสู้เก่า อยากจะรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้โชคร้ายกว่าตัวเองรึเปล่า ถึงได้ให้สหายช่วยสืบข่าวให้
…………………………