พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1364 ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ผลปรากฏว่าตอนยังไม่สืบข่าวก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอสืบจนกระจ่างแล้วก็งงไปเลย เหม่อค้างไปเลย
ตอนแรกนางยังนึกว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ยินดีต้อนรับตน ถึงอย่างไรนางก็ได้รับบทเรียนตั้งแต่มารายงานตัวที่กองมังกรดำแล้ว ชัดเจนว่ามีคนไม่ต้อนรับตน อยากจะกดดันให้ตนหนีไป ดังนั้นจึงจงใจทำสถานการณ์ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินให้กลายเป็นแบบนี้
แต่สำหรับนาง ความจริงไม่ได้โหดร้ายแบบธรรมดา คนของธงพยัคฆ์ดำที่ถูกดึงออกไปเหมือนกันคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินทุกอย่าง หนิวโหย่วเต๋อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เหมือนกับตนทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยด้านฐานประจำการของธงพยัคฆ์น้ำเงินก็ดีกว่าของธงพยัคฆ์ดำตั้งเยอะ สมาชิกของตนก็พามาครบ แต่หนิวโหย่วเต๋อพาลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องมาด้วยเพียงไม่กี่คน
ถึงแม้จะมีการเปรียบเทียบแบบนี้ แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ หนิวโหย่วเต๋อใช้เวลาไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ พอไปถึงก็วางหมากกันทัพกลางที่ล้อมไว้ออกไป ตามด้วยการใช้วิธีที่รวดเร็วดุดัน ฆ่าคนจนฝ่ายตรงข้ามฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก ประหารคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู กำจัดเผย อู๋ เหิง ทำให้ทัพกลางสงบ จากนั้นก็อาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนำทัพกลางจำนวนหนึ่งหมื่นไปคุมเชิงกับธงอินทรีสิบกองทัพที่มีจำนวนหนึ่งแสน ตะโกนอย่างดุร้ายอยู่หน้ากระบวนทัพ ใช้กำนาจบารมีสยบธงอินทรีสิบกองทัพ ใช้แส้เฆี่ยนลงโทษผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพต่อหน้าทุกคนของธงพยัคฆ์ดำ แล้วรีบจัดระเบียบโครงสร้างธงพยัคฆ์ดำใหม่ ควบคุมทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ภายในครั้งเดียว
ตอนที่สหายของจ้านหรูอี้เล่าเรื่องนี้ให้จ้านหรูอี้ฟัง ถึงแม้จะไม่ได้ชมหนิวโหย่วเต๋อต่อหน้าจ้านหรูอี้ แต่เจตนาชื่นชมที่อยู่ในน้ำเสียงก็ค่อนข้างชัดเจน ทว่าเจตนาชื่นชมนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าจ้านหรูอี้อย่างแรง ตบจนจ้านหรูอี้สับสนวุ่นวาย เหม่อค้างไปแล้ว
ตอนแรกนางก็ยังไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะเก่งขนาดนั้น จึงไปสืบข่าวกับอีกหลายคนติดต่อกัน สงสัยทุกคนจะรู้กันหมดแล้ว มีแค่นางคนเดียวที่โง่งมงาย
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่ทำให้เจ็บปวดราวกับเลือดไหล แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าใครเก่งใครอ่อน ความยอดเยี่ยมของหนิวโหย่วเต๋อได้ขับให้ความไร้ฝีมือของจ้านหรูอี้เด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ แบบนี้จะให้นางข่มอารมณ์โกรธได้อย่างไร ในภายหลังจะมีที่ยืนในตระกูลจ้านได้อย่างไร ดังนั้นจึงเกิดฉากอย่างที่เห็น
“ทำไมไม่ใครพูดอะไรเลยล่ะ?” จ้านหรูอี้เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้จากปฏิกิริยาของทุกคน จึงตะคอกถามว่า “พวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จงใจปิดบังข้าใช่มั้ย?”
ทุกคนก้มหน้าเล็กน้อย ยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
การไม่พูดอะไรก็คือการแสดงท่าทีเหมือนกัน จ้านหรูอี้เข้าใจแล้ว จึงกล่าวถามด้วยใบหน้าเย็นเยียบ “คนในบ้านข้าให้พวกเจ้าปิดข่าวนี้ใช่มั้ย?”
ทุกคนยังคงเงียบงัน จ้านหรูอี้หายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง บนใบหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด กำนิ้วทั้งสิบที่อยู่ในแขนเสื้อ กำแล้วก็ปล่อย ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้จะประสาทเสีย แต่สุดท้ายก็ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะเข้าใจนะ ว่าข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร ข้าต้องการจะล้างความอัปยศ แทนที่พวกเจ้าจะช่วยข้า แต่กลับทำร้ายข้า! ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้แล้ว แต่ข้ากลับเหมือนจมอยู่ในโคลน ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ เปรียบเทียบกันแล้วอัปยศจริงๆ เจ้าว่ามาซิว่าควรทำยังไง?”
คนกลุ่มนั้นยังก้มหน้าไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นใครพูดอะไร จ้านหรูอี้ก็เข้าใจพวกเขาเช่นกัน นางไม่ได้กดดันพวกเขา เอาแต่กัดฟันพูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อสามารถทำได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำบ้างไม่ได้? ข้ามีคนน้อยกว่าเขาเหรอ หรือวรยุทธ์สู้เขาไม่ได้ล่ะ หรือศักยภาพของพวกเราสู้เขาไม่ได้? ถ้าแม้แต่เลียนแบบยังทำไม่ได้ ยังหยุดถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป งั้นพวกเราก็จะกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะแล้ว ต่อไปก็อย่าได้ออกไปเจอใครเลย เอาเต้าหู้มาทุบหัวให้ตายก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
ทั้งสิบตกใจทันที มีบางคนกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด เงื่อนไขของทั้งสองฝั่งต่างกัน หนิวโหย่วเต๋อมีสำนักหกนิ้วที่คอยเป็นมือเท้าให้เขา ช่วยย้ายทัพกลางออกไปให้เขา แต่พวกเรากลับอยู่ในป่าภูเขาลึก ถูกล้อมไว้หลายชั้น ไม่มีเหตุผลที่จะกันทัพกลางออกไปได้เลย”
จ้านหรูอี้ตะคอกตัดบททันที “อาณาเขตเป็นของตาย แต่คนยังมีชีวิต ถ้าย้ายทัพกลางออกไปไม่ได้ก็ย้ายซุนกับเจี่ยงออกจากทัพกลางเพื่อหาโอกาสลงมือ”
ซุนกับเจี่ยงที่นางบอกก็คือรองผู้บัญชาการทั้งสองของธงพยัคฆ์น้ำเงิน คนหนึ่งชื่อซุนหมิงต้ง อีกคนชื่อเจี่ยงสื้อฉี อีกฝ่ายไม่สนใจว่านางจะเป็นหลานสาวใคร อ๋องสวรรค์อิ๋งก็มายุ่งที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไม่ได้เช่นกัน
อันที่จริง การเริ่มต้นของนางควรจะดีกว่าเหมียวอี้ ประการแรกเป็นเพราะยศและวรยุทธ์ของนางสูงพอ กอปรกับฐานะหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง อย่างน้อยก็ยังมีพลังที่น่าหวาดกลัวอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจะอยู่ในกองทัพตลอดโดยไม่ออกมา ขอเพียงจ้านหรูอี้ใช้วิธีทางการเมืองมาปลอบประโลมรองผู้บัญชาการทั้งสอง ทำให้ตำแหน่งของทั้งสองมั่นคง ครอบครองทุกตำแหน่งเอาไว้อย่างไม่รีบร้อน เหลือทางหนีทีไล่ครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูกน้อง กำลังพลเบื้องล่างที่ไม่พอใจก็คงไม่ก่อเรื่องสักเท่าไร ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนรังแกเพราะมีอำนาจน้อยเหมือนเหมียวอี้ จ้องอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของเหมียวอี้ พอมาถึงก็สั่งสอนเหมียวอี้เลย ขนาดผ่านไปครึ่งวันยังไม่ให้เหมียวอี้เข้าประตู แล้วจะไม่ให้เหมียวอี้เกิดความคิดอยากจะฆ่าได้อย่างไร
ทว่าตั้งแต่จ้านหรูอี้มีตำแหน่งขุนนางตำหนักสวรรค์ติดตัว อาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนาง ก็ไม่เคยจำเป็นต้องมองสีหน้าของลูกน้องเลย ไม่ว่าจะไปรับตำแหน่งที่ไหน ลูกน้องก็ล้วนเชื่อฟังนาง นางมีอำนาจตัดสินใจมาตลอด ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ไม่เคยรู้เลยว่าวิธีทางการเมืองคืออะไร แต่ต่อให้รู้จักก็ไม่เคยให้มาก่อน จะไปรู้ถึงอันตรายในสังคมได้อย่างไร
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย แต่บนศีรษะของจ้านหรูอี้ก็มีรัศมีของตระกูลอิ๋งคุ้มอยู่ มีหรือที่จะก้มหน้าอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจชื่อเสียงบารมีของตระกูลอิ๋ง ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงพูดจาไม่ค่อยเกรงใจใคร ที่สุดจะทนยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่นางพามาด้วยก็เข้าใจเช่นกันว่าตัวเองมาเพื่อตระกูลอิ๋ง มีภูมิหลังแบบนั้นก็จะมาโดยสูญเปล่าไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วที่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทั้งสองจะเป็นของพวกเขา ต่อให้ตอนนี้ไม่ทำ แต่ในภายหลังก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ในคำพูดเป็นการแสดงให้กำลังพลเบื้องล่างเห็น เป็นการสื่อความนัยที่ชัดเจนมาก เจตนาก็คือให้ลูกน้องเชื่อฟังแต่โดยดี ช่วยให้พวกเขายืนได้อย่างมั่นคง ในภายหลังก็ย่อมอยู่ด้วยกันดีๆ ได้
แบบนี้ก็แย่น่ะสิ พวกเราไม่ได้แย่งตำแหน่งเจ้า แต่เจ้ากลับจะไล่ตะเพิดพวกเราลงจากเวทีเหรอ? การขู่คุกคามที่กระชั้นชิดจวนตัว ซุนกับเจี่ยงย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว ตอนแรกที่เห็นจ้านหรูอี้ก็ยังเกรงใจอยู่ ไม่ได้แสดงอำนาจบารมีโดยการไม่ให้เข้าประตูเหมือนที่ทำกับเหมียวอี้ หลังจากทั้งสองฉีกหน้า เปลี่ยนแนวโน้มของเรื่องราว ก็ทำให้จ้านหรูอี้ได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของ ‘งูเจ้าที่’ ทันที
เมื่อเห็นนางพูดจาอย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ก็มีคนรีบเกลี้ยกล่อมให้หยุดอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ การที่หนิวโหย่วเต๋อพาคนไปน้อยก็ถือเป็นข้อดี กอปรกับวรยุทธ์ไม่สูง ถึงได้ทำให้รองผู้บัญชาการทั้งสองประมาทได้ แต่คนฝั่งพวกเราที่ไม่จำนวนเยอะและมีศักยภาพมากกลับกลายเป็นข้อเสีย กลับยิ่งลงมือให้สำเร็จได้ยาก ดูจากเวลาที่ซุนกับเจี่ยงเข้าออกที่พักของผู้บัญชาการใหญ่แล้วเตรียมผู้ช่วยจำนวนหนึ่งไว้ข้างกายตลอดเวลาก็รู้แล้ว”
จ้านหรูอี้กล่าวอย่างแค้นใจว่า “มีหรือที่ข้าจะไม่รู้หลักการนี้ แต่อาศัยผู้ติดตามไม่มีคนข้างกายพวกเขา ขอเพียงไม่มีทัพใหญ่คอยช่วยเหลือ เวลาเข่นฆ่ากันพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราหรอก แค่ข้าคนเดียวก็ฆ่าพวกเขาได้เหมือนดอกไม้ร่วงระนาวลงแม่น้ำแล้ว แล้วยิ่งมีพวกเจ้าคอยช่วยอีก”
คังเต้าผิง ลูกน้องคนสนิทของนางบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ฝั่งนี้ต้องรู้เรื่องฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้วแน่นอน ต่อให้กำจัดซุนกับเจี่ยงทิ้งแล้ว แต่วัง โหว หลูสามคนที่อยู่ทัพกลางจะนั่งรอความตายเฉยๆ เหรอ จะต้องต่อต้านการสังหารแน่นอน มีบทเรียนจากหนิวโหย่วเต๋อให้เห็นแล้ว ถ้าพวกเขามีแผนในใจก็จะไม่ให้โอกาสพวกเรารกบฏทัพกลาง เดิมทีพวกเราก็รับผลแบบนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว”
จ้านหรูอี้บอกว่า “ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น ย่อมมีแผนดีๆ รับมืออยู่แล้ว เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้อีก คังเต้าผิง เป็นเจ้าแล้วกัน เจ้าไปบอกพวกเขาสองคน บอกว่าข้าจะไปลาดตระเวนตรวจสอบที่ธงอินทรีสิบกองทัพ ให้พวกเขาสองคนคอยติดตาม อย่าชักช้า เดี๋ยวนี้ ไปตอนนี้เลย!”
ทั้งสิบมองหน้ากันเลิกลั่ก คังเต้าผิงก็ยิ่งทำสีหน้าลำบากใจ
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งเหรอ?” จ้านหรูอี้ถลึงดวงตางามแล้ว
“รับทราบ!” คังเต้าผิงทำได้เพียงแข็งใจเอ่ยรับ พบว่าผู้หญิงคนนี้กำลังโมโหและวู่วามเกินไป เขากะว่าพอออกจากลานบ้านก็จะติดต่อกับตระกูลจ้านทันที เขาห้ามไม่ไหว ทำได้เพียงให้ตระกูลจ้านห้ามไว้
แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะจ้องคนอื่นๆ อีก “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ข้ารู้ว่าในบรรดาพวกเจ้ามีคนที่ติดต่อกับบ้านข้าตลอด วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ถ้าใครกล้าเอาเรื่องวันนี้ไปรายงานบ้านข้าอีก…พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าตอนนี้อยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า เกินขอบเขตอำนาจของบ้านข้าเหมือนกัน ถ้าข้าจับได้ว่าใครทำให้งานของข้าเสีย ก็อย่านึกว่าข้าจะไม่กล้าเด็ดหัว!”
เมื่อนางกล่าวแบบนี้ ทุกคนก็เถียงไม่ออก คังเต้าผิงที่แอบดำเนินการอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งแอบร้องอย่างขื่นขม พบว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้ช่างรับใช้ยากจริงๆ
จากนั้นจ้านหรูอี้ก็วางแผนกับคนอื่นๆ ทันที เพื่อไม่ทำให้ซุนกับเจี่ยงสงสัย นางตัดสินใจพาผู้ติดตามไปด้วยเพียงสองในสิบ ส่วนที่เหลือทั้งหมดคอยรอฟังคำสั่งอยู่ในกระเป๋าสัตว์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็ออกมาร่วมมือกันล้อปราบกำลังพลของซุนกับเจี่ยงทันที
ในลานบ้านระหว่างภูเขาอีกแห่งหนึ่ง คังเต้าผิงที่เพิ่งรายงานออกไปได้ไม่นาน วังทง โหวอวี้หวน หลูเอินหวงผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางทั้งสามของธงพยัคฆ์น้ำเงินก็มาถึงครอบแล้ว
ซุนหมิงต้ง เจี่ยงสื้อฉีบอกเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่จะลาดตระเวนสังเกตการณ์ให้ฟัง ให้ทั้งสามคนเฝ้าบ้านให้ดี อย่าให้คนอื่นย้ายเสือออกจากภูเขาและเจาะช่องโหว่ เรื่องรองลงมาก็คือรองผู้บัญชาการทั้งสองต้องขอยืมตัวยอดฝีมือจากทัพกลางให้คอยติดตามคุ้มกันด้วย จะนำคนของทัพกลางไปด้วยก็ย่อมต้องบอกทัพกลางอยู่แล้ว
ทั้งสามได้ยินแล้วตกใจ วังทงบอกว่า “นายท่านทั้งสอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ให้ทัพใหญ่ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ ระวังจะมีแผนร้ายนะ เพื่อความมั่นใจและเชื่อถือได้ นายท่านทั้งสองอย่าไปจะดีกว่า ดึงคนจากทัพกลางจำนวนหนึ่งให้ติดตามผู้หญิงคนนั้นก็พอแล้ว”
ซุนหมิงต้งโบกมือ “ไม่เหมาะสม ต่อให้สู้กันแต่ก็ต้องมีขอบเขต พวกเราแค่ไม่ให้อำนาจนาง ถ้ายังไม่ยอมอีกก็โค่นล้มนาง ถ้าแม้แต่เรียกไปลดตระเวนแล้วยังไม่สนใจ แบบนั้นก็แลว่าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว ถ้านางรายงานขึ้นไป ว่าพวกเราทำซี้ซั้วไร้ระเบียบ ปัญหายุ่งยากก็จะมาอยู่ที่พวกเรา”
โหวอวี้หวนขมวดคิ้วบอกว่า “นายท่านทั้งสอง ไม่ได้ยินเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดำเหรอ ผู้หญิงคนนี้กำลังตามกัดก้นหนิวโหย่วเต๋อนะ หนิวโหย่วเต๋อเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าผู้หญิงคนนั้นเดินเรื่องเขาตามจะไม่อันตรายหรอกเหรอ?”
เจี่ยงสื้อฉียิ้มพร้อมตอบว่า “จะไม่รู้ได้ยังไง ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง หนิวโหย่วเต๋อเล่นแบบนี้ แล้วนางก็เล่นแบบนี้เหมือนกัน คิดว่าฝ่ายนี้โง่จริงๆ เหรอ? ต่อให้กำจัดพวกเราสองคนทิ้งได้ แต่พวกเจ้าสามคนจะเสียเปรียบให้ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำอีกรึไง? ข้าว่าต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะหยิ่งผยองยังไง แต่ก็ไม่น่าจะไม่เข้าใจจุดนี้ มิหนำซ้ำกำลังพลที่ติดตามพวกเราก็ไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ นางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกัน”
วัง โหว หลูทั้งสามสบตากับแวบหนึ่ง สถานการณ์ของทัพกลางก็เห็นๆ กันอยู่ คนอื่นอาจจะมีทางหนีทีไล่ แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาสามคนกลับไม่มีทางถอย เรื่องนี้มีแต่จะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น พวกเขาจะมัวหวาดกลัวตัวสั่นและระวังตัวตามใจตัวเองไม่ได้
หลูเอินหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง คนอื่นอาจจะก่อเรื่องที่นี่ได้ยาก แต่ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะจัดเตรียมคนจำนวนหนึ่งมาไว้ที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าคนที่เตรียมไว้ลอบจู่โจมกลางทาง อาศัยคนที่นายท่านทั้งสองพาไปด้วยก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้”
ซุนกับเจี่ยงเงียบไป เจี่ยงสื้อฉีขมวดคิ้วบอกว่า “ต่อให้อ๋องสวรรค์อิ๋งจะใจกล้ากว่านี้ แต่จะกล้าลงมือกับคนในหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อราชันสวรรค์เชียวเหรอ?”
หลูเอินหวงถามอีก “ไม่เคยได้ยินเรื่องฆ่าปิดปากเหรอ หลังจากจบเรื่องจ้านหรูอี้สามารถเหมาเรื่องทุกอย่างไว้เองได้เลย ยัดข้อหากลับเหมือนหนิวโหย่วเต๋อ นอกจากนี้ ชีวิตของนายท่านทั้งสองสำคัญหรือเปล่า? อย่าบอกนะว่าจะเอาไปเดิมพัน?”
…………………………