พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1365 เหมืองแร่ผลึกแดง
ตอนนี้ซุนกับเจี่ยงกังวลหวาดหวั่นแล้วจริงๆ ซุนหมิงต้งถามว่า “เจ้ามีแผนอะไรมั้ย?”
หลูเอินหวงตอบว่า “นายท่านทั้งสองไปในนามการคุ้มกันนาง ส่งคนข้างกายไปเพิ่มด้วย เพิ่มนักพรตบงกชรุ้งผู้ติดตามไปยี่สิบคน แต่แบบนี้ยังรับประกันความปลอดภัยไม่ได้ จ้านหรูอี้ก็ไม่ได้ด้อยฝีมือเหมือนกัน กำลังรบของนางไม่ธรรมดา ถ้าบนตัวนางมีของวิเศษดีๆ ก็จะยิ่งยุ่งยาก ด้วยวงศ์ตระกูลของนาง การมีของวิเศษดีๆ สักชิ้นสองชิ้นเป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นนายท่านทั้งสองกับผู้ติดตามทั้งยี่สิบคนควรจะพกกระเป๋าสัตว์ติดตัวไปคนละสามใบ สองใบซ่อนไว้ใต้เกราะ ก็จะมีหกสิบหกใบที่ใส่คนได้ แต่ละใบจะใส่ได้ห้าสิบคน เท่ากับว่าผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะมีกำลังพลติดตามสามพันคน พวกเราจะดึงกำลังพลมาจากทัพกลาง ดึงมาเงียบๆ แบบไม่ให้จ้านหรูอี้รู้ตัว มีกำลังพลสามพันแล้ว ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะใจกล้า แต่ผลที่ตามมาจากการฆ่าคนในกองทัพองครักษ์ จ้านหรูอี้จะกล้าเหมาว่าเป็นฝีมือตัวเองได้ยังไง แล้วต่อให้บนตัวนางจะมีของวิเศษดีๆ แต่ถ้าคิดจะต้านทานการโจมตีหมู่จากกำลังพลสามพันคนก็ยังยาก ถ้านางไม่ทำซี้ซั้วก็แล้วไป แต่ถ้ากล้าทำซี้ซั้วก็ต้องให้บทเรียนกับนาง แล้วอีกอย่าง ก่อนที่นายท่านทั้งสองจะออกเดินทางก็ให้แจ้งทางธงอินทรีสิบกองทัพทันที ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ให้คนทางนั้นรอรับก่อน พร้อมทั้งแจ้งผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพด้วย ว่าห้ามไม่ให้ลูกน้องใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกโดยพลการ จะทำแบบหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่าให้โอกาสจ้านหรูอี้ทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน การสั่นคลอนหัวใจทหารคือข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก!”
วังทงบอกว่า “วิธีการนี้ไม่เลวเลย ใช้กระเป๋าสัตว์ใสกำลังพลไว้หลายพันคน…เห็นแก่ภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนาง พวกเราอดทน ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกอีก ดึงดันจะทะเลาะวิวาทและโค่นล้มพวกเราให้ได้ ก็กำจัดนางตอนอยู่ระหว่างทางเสียเลย!”
ซุนหมิงต้งเอียงหน้ามองเจี่ยงสื้อฉีที่อยู่ข้างกัน “พี่เจี่ยงคิดว่ายังไง?”
“มีแต่ต้องเตรียมการแบบนี้แล้ว หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ฉีกหน้าทั้งๆ ที่พวกเราไว้หน้าแล้ว” เจี่ยงสื้อฉี
“ทั้งสามคน เช่นนั้นก็เตรียมการตามนี้แล้วกัน” ซุนหมิงต้งพยักหน้า
“รับทราบ!” วัง โหว หลูทั้งสามคนกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วรีบออกไปเตรียมการ
ที่กองมังกรดำ ในตำหนักไม้บนยอดเขา เนี่ยอู๋เซี่ยวเดินออกมาจากตำหนักด้านหลัง เขามองโป๋เยวที่รอพบอยู่ข้างในตำแหนักแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
โป๋เยวรีบเดินไปข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ทางธงพยัคฆ์น้ำเงินกำลังจะเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“อ้อ! เรื่องอะไรกัน?” เนี่ยอู๋เซี่ยวถามขณะที่เอามือไขว้หลังเดินออกนอกตำหนัก
โป๋เยวติดตามอยู่ข้างกาย “จ้านหรูอี้ต้องการจะไปลาดตระเวนที่จุดประจำการของธงอินทรีสิบกองทัพ นางสั่งให้ซุนกับเจี่ยงรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองติดตามไปด้วย แต่รองผู้บัญชาการทั้งสองแอบระดมกำลังพลสามพันคนจากทัพกลางซ่อนไว้ในกระเป๋าสัตว์ ทางธงอินทรีสิบกองทัพสั่งห้ามไม่ให้ใช้ระฆังดารา ข้ากังวลว่าพวกเขาจะลงมือกับจ้านหรูอี้ระหว่างทาง”
เนี่ยอู๋เซี่ยวหยุดฝีเท้าทันที ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ดูท่าแล้วคงจะได้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ” เขายังเดินไปข้างหน้าต่อ เดินไปริมหน้าผาแล้วทอดสายตามองหมู่ขุนเขาอยู่นานมาก สุดท้ายก็บอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เรียกจ้านหรูอี้ ซุนหมิงต้งและเจี่ยงสื้อฉีให้มาที่กองมังกรดำ บอกให้พวกเขารีบมา ห้ามชักช้า”
“ขอรับ!” โป๋เยวเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
และในตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินก็อยู่นอกผู้บัญชาการใหญ่ ซุนหมิงต้งกับเจี่ยงสื้อฉีนำคนกลุ่มหนึ่งมารอยู่นอกประตู
ผ่านไปครู่เดียว จ้านหรูอี้ก็เดินนำคนสองคนออกมา พอเดินออกประตูมาแล้วเห็นผู้ติดตามของซุนกับเจี่ยงเพิ่มขึ้นไม่น้อย นางก็เลิกคิ้วเบาๆ “รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง วันนี้มีคนข้างกายไม่น้อยเลยนะ!”
พอซุนกับเจี่ยงเห็นข้างกายนางนำคนมาแค่สองคน ก็อดไม่ได้ที่จะสบตากัน แอบใคร่ครวญว่าฝ่ายตัวเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่ซุนหมิงต้งก็ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางไกล พวกเราก็ต้องนำคนไปเยอะๆ เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของผู้บัญชาการใหญ่”
“หวังว่าคงจะไม่คิดวางแผนร้ายอะไรกับข้าหรอกนะ!” จ้านหรูอี้กล่าวแดกดันอย่างไม่เก็บสำรวมสีหน้า
“มิบังอาจ ผู้บัญชาการใหญ่พูดล้อเล่นแล้ว” ซุนหมิงต้งตอบ
จ้านหรูอี้โบกมือ “ไปกันได้…” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ก็สังเกตได้ว่ามีระฆังดาราส่งข่าวมา จึงโบกมือส่งสัญญาณให้รอก่อน แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อ ทำให้ทราบว่าอีกฝ่ายสั่งให้ตัวเองไปที่กองมังกรดำทันทีบอกว่าท่านแม่ทัพภาคมีเรื่องด่วนเรียกพบ ห้ามชักช้าเด็ดขาด
ขณะที่นางกำลังกลุ้มใจ ซุนหมิงต้งกับเจี่ยงสื้อฉีก็ทยอยกันรับข่าว ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนถลึงตาสลับกับหรี่ตาใส่กัน ทั้งสองฝ่ายต่างแอบเตรียมลงมือสังหารกัน ใครจะคิดว่าจู่ๆ ทางกองมังกรดำจะสอดไม้มาตีกวนแผนการของพวกเขาแล้ว
ที่จริงโป๋เยวก็ไม่รู้เช่นกันว่าจู่ๆ เนี่ยอู๋เซี่ยวเรียกพบคนพวกนั้นหมายความว่าอะไร เดาออกเพียงว่าท่านแม่ทัพภาคอยากจะหยุดยั้งการเข่นฆ่ากันเองของสองคนนั้น
ทว่าจนกระทั่งจ้านหรูอี้ ซุนหมิงต้งและเจี่ยงสื้อฉีมาถึงกองมังกรดำพร้อมกัน พอเนี่ยอู๋เซี่ยวเอ่ยปากก็ทำให้พวกเขางุนงงแล้ว
ซุนหมิงต้ง เจี่ยงสื้อฉีไม่ต้องกลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวย้ายรองผู้บัญชาการทั้งสองของธงพยัคฆ์แดงไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว ส่วนซุนกับเจี่ยงก็ถูกย้ายไปรับตำแหน่งที่ธงพยัคฆ์แดง เท่ากับสลับสลับตัวรองผู้บัญชาการของสองธง พร้อมทั้งสั่งย้ายวัง โหวและหลูเข้าไปอยู่ทัพกลางกองมังกรดำ แล้วสั่งให้โป๋เยวไปคุมที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วยตัวเอง
บนใบหน้าของโป๋เยวเต็มไปด้วยความงุนงง ก่อนหน้านี้ยังจงใจเหลือตัวป่วนของธงพยัคฆ์น้ำเงินเอาไว้ก่อกวนจ้านหรูอี้อยู่เลย ทำไมครั้งนี้ถึงช่วยจ้านหรูอี้เก็บตัว่วนแล้วล่ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างสงสัย “นายท่าน นี่…”
เนี่ยอู๋เซี่ยวยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เอาตามนี้แล้วกัน” เขาเองก็ไม่อยากบอกเหตุผล
ซุนกับเจี่ยงสบตากันอย่างพูดไม่ออก ย้ายตอหนามอย่างพวกเขาไปแล้ว ทั้งยังส่งรองแม่ทัพภาคไปคุมด้วยตัวเอง ชัดเจนว่ากำลังช่วยจ้านหรูอี้ให้ควบคุมธงพยัคฆ์น้ำเงินได้สำเร็จ
เจตนาดีนี้จ้านหรูอี้ก็รับรู้ได้เหมือนกัน แต่นางกลับไม่ต้องการเจตนาดีแบบนี้ นางเม้มริมฝีปากแน่น โมโหจนเกินทน นางอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองด้วยมือตัวเอง การช่วยเหลือแบบนี้ถือเป็นความอัปยศสำหรับนาง นางอุตส่าห์เตรียมปล่อยหมัดหนักๆ แล้วเชียว แต่ใครจะคิดว่ากลับไม่มีที่ให้โจมตี…
โป๋เยวตามไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว มีโป๋เยวคอยเป็นอุปสรรคขัดขวาง การจัดระเบียบกำลังพลของจ้านหรูอี้ก็ก้าวหน้าอย่างราบรื่น เพียงแต่ต้องเก็บกลั้นความคับแค้นใจ โป๋เยวได้รับการฝากฝังมาจากท่านแม่ทัพภาค ว่าอย่าปล่อยให้นางทำซี้ซั้ว จะให้จ้านหรูอี้จัดระเบียบกำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพใหม่อย่างไรก็ได้ แต่ไม่ให้จ้านหรูอี้ไปทำอะไรบุ่มบ่ามกับผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพสักคน นำคนทั้งหมดที่จ้านหรูอี้พามาไปกดไว้ที่ทัพกลาง และกำชับจ้านหรูอี้ด้วย ว่าถ้ารอให้นางคุ้นเคยกับการบัญชาการรบของธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว ค่อยปรับปรุงตามประสงค์ของนางก็ยังไม่สาย ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อน อย่าทำอะไรซี้ซั้ว
ทำซี้ซั้วงั้นเหรอ จ้านหรูอี้จำต้องถามว่า “แล้วทำไมหนิวโหย่วเต๋อสามารถจัดระเบียบกำลังพลที่ธงพยัคฆ์ดำได้ตามอำเภอใจล่ะ?”
“หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ได้โยกย้ายผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพเช่นกัน” โป๋เยวกล่าว
จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “นั่นเป็นเพราะเขาพาคนที่ใช้งานได้ไปด้วยไม่พอ ไม่อย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่โยกย้าย! รองแม่ทัพภาคโป๋ ถ้าพวกท่านจงใจกลั่นแกล้งข้า ข้าก็จะพูดตรงๆ เลยนะ ถ้ามัวทำตัวเป็นเป็นอุปสรรคขัดขวางทุกอย่างแบบนี้ แล้วข้าจะทำงานได้ยังไง ไม่ต้องเป็นก็ได้มั้งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินเนี่ย!”
“เป็นอุปสรรคขัดขวาง?” โป๋เยวหัวเราะเย้ย “ตอนนี้เจ้าควบคุมทัพกลางได้แล้ว ก่อนจะพูดคำนี้ออกมา ทางที่ดีเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์การโยกย้ายกำลังพลของของวัง โหว หลูที่อยู่ในทัพกลางก่อนเถอะ อย่ามายืนพูดแล้วบอกว่าไม่ปวดเอว[1]อยู่ที่นี่ กองมังกรดำพูดจากันด้วยเหตุผล ในกองทัพต้องเคารพความยุติธรรมพื้นฐาน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าช่วยคนทำเรื่องลำเอียงแบบนี้ ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน เจ้าจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป้นก็ตามใจ ที่กองมังกรดำมีคนมาเสริมชดเชยอยู่แล้ว!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไป
จ้านหรูอี้ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร จึงสั่งให้ลูกน้องไปสืบเรื่องการระดมกำลังพลของทัพกลางก่อนหน้านี้ทันที
ตอนที่สืบรู้ว่าครั้งก่อนตอนที่นางเตรียมจะลงมือจัดการซุนกับเจี่ยง ซุนและเจี่ยงจึงเตรียมทหารที่เก่งกาจไว้สามพันคนเพื่อจัดการนาง จ้านหรูอี้ก็หน้าซีดทันที ถึงได้รู้ว่าตัวเองเลอะเลือนไป สนใจแต่จะสู้กับหนิวโหย่วเต๋อจนเกือบพาตัวเองไปตกอยู่ในความตาย ที่จริงเป็นกองมังกรดำที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนางได้ทันเวลา
ไม่ต้องพูดถึงนางแล้ว ลูกน้องพวกนั้นของเขาก็ถูกทำให้ตกใจแล้วเหมือนกัน ถ้าครั้งนั้นก้าวเท้าออกไปจริงๆ เกรงว่าคงไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีใครรอดกลับมาสักคน น่าหวาดเสียว!
รู้สึกพ่ายแพ้! จ้านหรูอี้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างลึกซึ้ง ทำให้นางอารมณ์ตกต่ำมากอยู่สักพัก…
ในอุโมงค์เหมืองแร่แห่งหนึ่งที่ขุดจนลึก ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่กลับใความรู้สึกมหัศจรรย์เกี่ยวกับการมองเห็น มีแสงระยิบระยับขมุกขมัว บนผนังหินเต็มไปด้วยทรายระยิบระยับ ในนั้นฝังเลี่ยมผลึกแดงรูปแบบต่างๆ เอาไว้
เหมียวอี้เดินมาถึงก้นอุโมงค์พร้อมกลุ่มลูกน้อง แล้วเอามือลูบคลำผนังหินที่เปล่งแสงระยิบระยับ
นี่คือเหมืองสายแร่ผลึกแดงแห่งหนึ่งที่ถูกพบใหม่ในอาณาเขตที่ธงพยัคฆ์ดำประจำการชั่วคราว หลังจากสำรวจออกมาได้แล้ว ธงพยัคฆ์ดำก็รีบส่งคนมาควบคุมทันที เหมียวอี้ได้ยินข่าวและมาตรวจดู ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในเหมืองเหรียญผลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมืองแร่ผลึกแดง
ใช้นิ้วแกะผลึกแดงก้อนหนึ่งที่ฝังเลี่ยมอยู่บนผนังหิน มีเสียงดังแกร๊ก แต่ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต้องอาศัยแรงเยอะมากกว่าจะแกะลงมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันของเหมืองเหรียญผลึกแข็งแกรงทนทานมาก เก็บไม่ได้ง่ายๆ แต่นี่ก็ยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรก
ปั้ง! จู่ๆ เหมียวอี้ก็ใช้ฝ่ามือถล่มไปบนผนังหินอีกหนึ่งครั้ง ผนังหินระเบิดออกมาก้อนหนึ่ง ลอยกระจายอยู่กลางอากาศ แต่ที่แปลกก็คือ หลังจากจุดเล็กๆ ที่เปล่งแสงระยิบระยับแปลกเป็นผุยผง แสงขมุกขมัวก็ค่อยๆ จางหายไป
แต่ในผนังหินที่โดนฝ่ามือตีไปหนึ่งทีกลับนมีเสียงดังโครมครามไม่หยุด ดังจากใกล้ไปไกล ดังไกลไปถึงใต้ดิน แล้วก็ดังแว่วกลับมา
เหมียวอี้แปลกใจทันที กดฝ่ามือบนผนังหินอีกครั้ง ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอย่างช้าๆ เขาศึกษาความลี้ลับที่ทำให้ขุดเก็บเหมืองเหรียญผลึกได้ยาก ที่สำคัญเป็นเพราะโครงสร้างของแร่รวมมหัศจรรย์มาก ความแข็งแรงทนทานเป็นเพียงส่วนหนึ่ง วิธีการกำจัดแรงชัดเจนมาก สามารถถ่ายทอดพลังโจมตีที่ตอนขุดไปยังจุดที่ลึกและไกลมากได้ถึงได้ทำให้พลังอ่อนแอลง พอเป็นแบบนี้ ที่เหลือก็แค่ต้องอาศัยเครื่องช่วยขุดนิดหน่อยเท่านั้น จักรวาลกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ
เหมียวอี้ครุ่นคิดว่าจะนำเยารั่วเซียนมาศึกษาที่นี่ได้หรือไม่ ดูว่าจะสามารถนำวิธีการกำจัดแรงแบบนี้ไปใช้กับอาวุธได้หรือไม่ แต่พอลองเปลี่ยนมุมมองก็พบว่าตัวเองคิดมากไป โครงสร้างการกำจัดแรงประเภทนี้จะต้องมีระความกว้างที่เพียงพอ จะให้แบกอาวุธที่ใหญ่เหมือนภูเขาไว้บนตัวก็ดูจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าใช้งานได้จริงก็คงไม่ถึงคราวของเขาหรอก คงจะมีคนนำไปใช้ประโยช์นานแล้ว
ก็แค่คิดดูเท่านั้นเอง จากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากห้องถ้ำ เหมียวอี้บอกว่า “ส่งคนมาดูไว้ให้ดี อย่าให้โดนคนขโมยไป ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางรายงานกับเบื้องบนได้”
ลิ่งหูหลานจื่อ ผู้บัญชาการธงอินทรีดินที่รับผิดชอบเขตนี้กล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องห่วง สั่งให้ผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งนำคนมาเฝ้าที่นี่ไว้แล้ว ถ้าพบความผิดปกติอะไรจะรายงานขึ้นไปทันที”
พอออกจากห้องถ้ำ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รอบข้างหนาวเย็นรกร้าง ถ้าไม่ใช่เพราะสำรวจค้นพบ ใครจะไปรู้ว่าบนดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครพูดถึงนี้จะซ่อนเหมืองสายแร่ผลึกแดงเอาไว้
หลังจากเดินมองรอบๆ แล้ว เห็นรองผู้บัญชาการมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงที่มาด้วยกันกำลังดึงลิ่งหูหลานจื่อไปคุยด้วยอยู่ไม่ไกล เหมียวอี้ก็เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกสวีถังหรานที่อยู่ข้างกัน “ให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน นี่ใกล้จะครึ่งเดือนแล้วนะ”
สวีถังหรานตอบว่า “นายท่านไม่ต้องห่วง ข้าน้อยมีแผนในใจแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมลงมือแล้ว จะว่าไปก็น่าขำ หลังจากข้าน้อยหยั่งเชิงดูแล้วถึงได้พบว่า ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนจะไม่รู้ว่าคนนอกรู้แล้วว่าพวกนางเป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ และต่างคนต่างไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์พิเศษกับรองแม่ทัพภาคโป๋”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ เรื่องแบบนี้ปกติมาก อยู่ดีๆ ใครจะไปเที่ยวบอกคนอื่นว่าคนนั้นเป็นชู้กับคนนี้ นั่นไม่ใช่การยั่วโมโหหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ เรื่องแบบนี้ตัวหลักของเรื่องมักจะรู้เป็นคนสุดท้าย ตอนแรกมู่หรงซิงหัวก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นึกว่าทุกคนไม่รู้เรื่องระหว่างนางกับเฉาว่านเสียง เพียงมู่หรงซิงหัวค่อนข้างโชคร้าย ดันไปเจอกับคนขาดคุณธรรมที่ไม่ไว้หน้าใครอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง จึงถูกเปิดโปงต่อหน้าสาธารณชน ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องหลอกตัวเองไปทั้งชีวิต
เขาเดาว่าโป๋เยวก็คงไม่รู้หมือนกันว่าทุกคนนินทาลับหลังเขา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยัดผู้หญิงสองคนนี้มาที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย
“เจ้ารีบลงมือแล้วกัน ต้องอุดปากพวกนางสองคนไว้ ข้าถึงจะนำกำลังพลไปเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนได้สะดวก” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง
สวีถังหรานเบิกตากว้างพูดไม่ออก ไม่หรอกมั้ง เจ้าจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงเหรอ? แต่เพราะครั้งก่อนโดนแส้เฆี่ยนสั่งสอน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าตอบทันทีว่า “ได้ขอรับ ตอนนี้ข้าน้อยจะไปยุให้รำตำให้รั่ว ให้นายท่านได้ดูอะไรสนุกๆ สักหน่อย”
…………………………
[1] ยืนพูดแล้วบอกว่าไม่ปวดเอว 站着说话不腰疼 อุปมาว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ