พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1366 เป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบ
ยุให้รำ ตำให้รั่ว? เหมียวอี้กลับเริ่มสนใจแล้ว ไม่รู้ว่าสวีถังหรานจะยุให้รำ ตำให้รั่วอย่างไร ชำเลืองมองเขาที่เดินจากไป
รองผู้บัญชาการทั้งสองเกรงใจมาก! ลิ่งหูหลานจื่อที่กำลังรับมือกับพวกนางพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารองผู้บัญชาการทั้งสองกำลังหาพวก
สำหรับชื่อเสียงของสองคนนี้ มีหรือที่นางจะไม่เคยได้ยินข่าว ในฐานะที่เป็นผู้หญิง จึงไม่อยากจะคบกับคนที่จะทำให้ชื่อเสียงตัวเองเสียหายไปด้วย ทว่าพวกนางทั้งสองมีรองแม่ทัพภาคโป๋เยวหนุนหลัง คงไม่ดีถ้าจะไปขัดใจ ทำได้เพียงเสแสร้งทำตัวเป็นมิตร นอกจากนี้ นางก็ไม่รู้ด้วยว่าผู้บัญชาการใหญ่มีเจตนาอะไร จนทุกวันนี้ยังไม่แบ่งธงอินทรีที่รองผู้บัญชาการทั้งสองดูแลออกมาเลย ไม่รู้ว่าในภายหลังใครจะได้เป็นผู้บังคับบัญชาของตน แบบนี้ยิ่งไม่กล้าล่วงเกิน
จู่ๆ นางก็แววตาวูบไหว สังเกตเห็นว่าผู้บัญชาการทัพกลางสวีถังหรานที่อยู่ไม่ไกลกำลังส่งสายตาให้นาง นางยังไม่สนิทกับสวีถังหรานจนถึงขั้นมองตาก็รู้ใจ แต่สวีถังหรานมีกลลวงเยอะมาก จู่ๆ เผยฝ่ามือให้เห็น ตรงฝ่ามือเขียนเอาไว้ว่า : ล่อออกไปหนึ่งคน
ดังนั้นลิ่งหูหลานจื่อจึงเข้าใจว่าการที่สวีถังหรานส่งสายตาให้หมายความว่าอะไร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมสวีถังหรานต้องการให้นางทำแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าจะต้องมีเหตุผลแน่นอน กอปรกับในสายตาของทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ สวีถังหรานถือเป็นลูกน้องคนสนิทที่สุดของผู้บัญชาการใหญ่ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่ก็ได้ นางย่อมต้องปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว
ลิ่งหูหลานจื่อมีตัวอย่างให้เลียนแบบ จึงส่งสายตาให้ชวีหย่าหงเช่นกัน ชวีหย่าหงเข้าใจ เอามือลูบผมนิดหน่อย แล้วเดินเข้ามาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ผู้บัญชาการลิ่งหู ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไปเดินดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“เชอะ!” มู่อวี่เหลียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วพูดพึมพำเหมือนเหน็บแนม “มีใครบ้างที่ไม่ได้มาครั้งแรก”
ลิ่งหูหลานจื่อทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าเดินตามชวีหย่าหงไปแล้ว
พอสองคนนั้นเดินออกไปแล้ว สวีถังหรานก็ทำตัวราวกับคนว่างงาน ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “นายท่านมู่ ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?”
มู่อวี่เหลียนบุ้ยปากไปทางเงาหลังของคนสองคนที่เดินออกไป “ผู้บัญชาการสวี อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ เจ้าเห็นพวกนางสองคนรึยัง? คนอื่นอาจจะไม่รู้จักนิสัยชวีหย่าหงดี แต่ข้ากลับรู้ดีมาก ผู้หญิงคนนี้กำลังหาพวกอีกแล้ว เจ้าเป็นคนที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ควรจะเตือนให้ผู้บัญชาการใหญ่ระวังตัวไว้หน่อยนะ”
“เฮ้อ!” สวีถังหรานส่ายหน้า เม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วถามว่า “พวกนางสองคนไปหลบทำอะไรกันลับๆ ล่อๆ?”
“ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน” มู่อวี่เหลียนตอย
สวีถังหรานพยักหน้าอีก เอามือลูบหนวดสั้นๆ ที่คางพลางครุ่นคิด แล้วพูดอึกๆ อักๆ “นายท่านมู่ มีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าข้าควรจะบอกดีมั้ย”
มู่อวี่เหลียนหันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร จึงเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการสวี พวกเราสนิทกันขนาดนี้ ยังมีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดอีกล่ะ มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
สวีถังหรานเหลียวซ้ายแลขวา แล้วบอกว่า “นายท่านมู่ ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา เหมือนข่าวจะปล่อยมาจากนายท่านชวี”
“ข่าวลืออะไร?” มู่อวี่เหลียนแปลกใจ
“เอ่อคือ…อันนั้น…” สวีถังหรานพูดตะกุกตะกัก แล้วก็ทำท่าเหมือนแข็งใจพูดว่า “นายท่านมู่ระวังเอาไว้นะ ช่วงนี้มีข่าวลือว่านายท่านมู่เป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ อาศัยเส้นสายของผ้าคาดกระโปรงถึงไต่เต้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ได้” คำพูดนี้คือเรื่องจริง
ร่างงามของมู่อวี่เหลียนสั่นเล็กน้อย ใบหน้าสวยซีดขาวในทันที แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เหลวไหล! เจ้าแน่ใจเหรอว่าฝั่งชวีหย่าหงเป็นคนปล่อยข่าว?”
“เปล่าๆๆ ก็แค่ได้ยินมาเฉยๆ ข้าไม่ได้มีหลักฐานอะไร” สวีถังหรานรีบโบกไม้โบกมือ ทำราวกับว่าพูดผิดไป พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วรีบหนีไปเลย
ผ่านไปไม่นาน ถือโอกาสตอนที่ลิ่งหูหลานจื่อเดินออกไปและทิ้งชวีหย่าหงให้อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าสวีถังหรานโผล่มาจากไหนอีก เข้ามาอยู่ข้างกายชวีหย่าหง หลังจากทำทู่ดคุยกันลับๆ ล่อๆ แล้ว สวีถังหรานก็พูดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด “นายท่านชวีระวังไว้หน่อยนะ ช่วงนี้มีข่าวลือว่านายท่านชวีเป็นชู้รักของรองแม่ทัพภาคโป๋ อาศัยเส้นสายของผ้าคาดกระโปรงถึงไต่เต้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการใหญ่ได้”
ชวีหย่าหงยืนเหม่อค้างอยู่กับที่ เหมือนจะมึนงงนิดหน่อย หลังจากได้สติกลับมาแล้ว แล้วกล่าวพร้อมหายใจถี่ด้วยความโมโห “เหลวไหลสิ้นดี! ข้าจะฉีกปากนางตัวดีนั่น!”
“นายท่านชวี…” สวีถังหรานรีบยื่นมือไปห้ามนาง “ข้าก็แค่ได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานชี้ว่านายท่านมู่เป็นคนพูด ถ้านายท่านชวีไปเปิดโปงนางตรงนั้นเลย จะไม่ทำให้ทุกคนรู้กันหมดหรอกเหรอ แบบนั้นเป็นการทำลายชื่อเสียง อันดีงามของนายท่านชวี”
ชวีหย่าหงเรียกได้ว่าเดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าไปฉีกหน้ามู่อวี่เหลียนต่อหน้าสาธารณะ ถ้ามู่อวี่เหลียนตะโกนออกมาต่อหน้าฝูงชน แบบนั้นก็…
สวีถังหรานไม่ได้มีเจตนาจะอยู่ต่อด้วย เมื่อเห็นยืนกัดฟันโดยไม่พูดอะไร ก็กุมหมัดคารวะแล้วเดินออกไปเงียบๆ
ระจนกระทั่งลาดตระเวนฝั่งนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนที่เหมียวอี้เรียกรวมกำลังพลเตรียมจะกลับ ก็เห็นได้ชัดว่ามู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงสีหน้าแย่มาก บางครั้งทั้งสองก็สบตากันด้วยสายตาเคียดแค้น
รอจนกระทั่งสวีถังหรานเดินเข้ามาใกล้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ผู้หญิงสองคนนั้นทำหน้าบูดบึ้ง เจ้าทำอะไรพวกนางไป?”
สวีถังหรานมองซ้ายมองขวาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พวกนางสองคนเป็นผู้บังคับบัญชาของข้า ข้าจะไปกล้าทำอะไรพวกนางได้ยังไง แค่พูดความจริงก็เท่านั้นเอง ก็แค่…” เขาบอกเรื่องเด็ดที่ตัวเองทำให้เหมียวอี้ฟัง
เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเวรนี่ถนัดทำเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสันดานหมาชอบกลับไปกินขี้ ช่างเป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบจริงๆ
สวีถังหรานไม่ละอายใจ กลับรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ เอาแต่หัวเราะหึหึอยู่ตรงนั้น “ต่อไปผู้หญิงสองคนนี้จะต้องทะเลาะกันแบบไม่ตายไม่เลิกแน่นอน ถ้านายท่านเป็นคนกลางไกล่กลี่ย น่าจะช่วยลดความยุ่งยากให้นายท่านไม่น้อย”
“เจ้าไม่กลัวเหรอว่าพวกนางสองคนจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้โป๋เยวรู้ ถ้าโป๋เยวเรียกทั้งสองฝั่งไปถาม ก็จะพบทันทีว่าเจ้าเป็นคนยุยง” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้าได้ยินมาจากพวกลูกน้อง เรื่องนี้แพร่ไปทั่วแล้ว ข้าเองก็ได้ยินมาจากลูกน้องจริงๆ ถ้ารองแม่ทัพภาคโป๋ไม่เชื่อก็ส่งคนมาสืบสวนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าได้เลย แล้วอีกอย่าง ข้าว่ารองแม่ทัพภาคโป๋คงไม่ดึงพวกนางสองคนมาถามยืนยันด้วยกันหรอก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลักลอบแบบให้ใครเห็นไมได้ รองแม่ทัพภาคโป๋คงจะไม่อยากให้ผู้หญิงทั้งสองรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่าย ถ้าเปิดเผยขึ้นมาจริงๆ ก็ถึงคราวที่รองแม่ทัพภาคโป๋จะได้ปวดหัว ถึงตอนนั้นคอยดูว่าเขาจะช่วยฝั่งไหน”
เหมียวอี้เบาะข้างเดียว แล้วถามว่า “แล้วตอนหลังเจ้าเตรียมจะทำยังไงต่อ?”
สวีถังหรานเปิดเผยให้ฟังทันที…
เหมียวอี้ได้ฟังแล้วหนังตากระตุก ถามเสียงเรียบว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเจ้ารับผิดชอบคนเดียวนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านะ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” พูดจบก็กวักมือเรียกข้างหลัง แล้วเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน ราวกับอยากจะอยู่ให้ห่างจากสวีถังหรานสักหน่อย
หลังจากนั้นสองวัน ที่สำนักหกนิ้ว แดนที่หนาวเย็นรกร้าง พื้นดินสีเหลืองที่ไร้ขอบเขตสูงต่ำไม่เสมอกัน พอลมพัดมาวูบหนึ่ง ก็ม้วนฝุ่นสีเหลืองตลบอบอวลขึ้นมา
ฝุ่นเหลืองซัดสาดผ่านไปราวกับมังกรกลิ้งบนพื้น เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านท้องฟ้าลงมา เหยียบลงบนเนินดินสีเหลืองแล้วมองไปรอบๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือสวีถังหรานนั่นเอง
หินก้อนใหญ่ใต้เนินดินกลิ้งออก เผยอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่งออกมา ชายชราชุดดำคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากอุโมงค์นั้น เป็นสหายเก่าของสวีถังหราน เหมียวอี้ก็รู้จักเขาเช่นกัน หวงเสี้ยวเทียน ปีศาจสิงโตที่พากลับมาจากสถานที่ไร้ชีวิตในปีนั้น ตอนนี้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจของสวีถังหราน หลายปีมานี้พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในที่ลับ คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งที่ตลาดสวรรค์ สมคบคิดกันทำเรื่องไม่ดี คนหนึ่งเป็นขุนนางที่ตลาดสวรรค์ คนหนึ่งภายนอกทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ แต่ลับหลังค้าขายอยู่ในตลาดมืด ไม่รู้ว่าการร่วมหุ้นของสองคนนี้ได้สร้างคดีใส่ร้ายไว้มากเท่าไรแล้ว กอบโกยไปแล้วไม่น้อยเลย
หวงเสี้ยวเทียนกวักมือเรียกสวีถังหรานที่อยู่ข้างบน สวีถังหรานถลันตัวลงมา แล้วทั้งสองก็ทยอยกันเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน พอหวงเสี้ยวเทียนกวักมือ หินก้อนใหญ่ก็กลิ้งกลับมาปิดอุโมงค์ไว้
ในอุโมงค์มีไข่มุกราตรีหลายลูก สว่างทั่วถึง หวงเสี้ยวเทียนโค้งหัวกุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง “ยินดีด้วยที่นายท่านได้เลื่อนขั้น”
“ยินดีบ้าอะไรล่ะ ก็ยังเป็นผู้บัญชาการเหมือนเดิม” สวีถังหรานกล่าว
หวงเสี้ยวเทียนยิ้มสู้ “แต่นั่นไม่เหมือนกันแล้ว ตอนที่นายท่านอยู่ที่ตลาดสวรรค์มีผู้บัญชาการไม่กี่คน แต่ตอนนี้ได้บัญชาการกำลังพลนับหมื่นแล้วจริงๆ ทั้งยังเป็นกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์อีกด้วย ทรัพยากรอาจจะน้อยลงนิดหน่อย แต่ฐานะต่างออกไปแล้ว อนาคตก็ยิ่งยาวไกล เมื่อมีอำนาจแล้ว ในภายหลังยังจะกลัวไม่รวยอีกเหรอ”
สวีถังหรานโบกมือ “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นเลย ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ?”
หวงเสี้ยวเทียนร้องไอ๊หยา แล้วตอบด้วยท่าทางจริงใจว่า “นายท่าน ท่านไม่ยุติธรรมกับข้าเลยนะ การคิดหาวิธีเอาของมาให้ได้นั้นต้องใช้เวลา ท่านเร่งข้าแบบนี้ การที่ข้าหาของมาได้ในเวลาอันสั้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“รีบนำของออกมาให้ข้าดู” สวีถังหรานตาเป็นประกายเล็กน้อย
หวงเสี้ยวเทียนพลิกมือนำกล่องหยกดำที่ประณีตงดงามออกมาใบหนึ่ง กล่องเล็กขนาดเท่าขนมแป้งปิ้งวางบนฝ่ามือ พอเปิดฝากล่องออกเบาๆ ก็เห็นสิ่งของที่เลี้ยงเกลาดุจหยกบรรจุอยู่ในนั้น เปล่งรัศมีสีส้มเล็กน้อย
สวีถังหรานแย่งมาไว้ในมือ พลิกดูไปมา แล้วเอามาจ่อดมตรงจมูก แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “เฒ่าหวง เจ้าอย่าปิดบังข้านะ ของเล็กเท่านี้จะใช้ได้ผลจริงๆ เหรอ? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ ถ้าทำข้าเสียเรื่อง เจ้าก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีมีสุขเลย”
หวงเสี้ยวเทียนทำท่าเหมือนเจ็บใจปวดหัว ส่ายหน้าบอกว่า “นายท่าน อย่าไปมองว่าของมันน้อย เพื่อของเล็กน้อยเท่านี้ ข้าจ่ายเงินไปเยอะมากนะ ข้าเองก็บังเอิญได้ยินจากปากคนอื่นว่าในตลาดมืดมีคนมีสิ่งนี้ ได้ยินว่ามีคนฆ่าสายลับของหน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์แล้วได้มา เป็นสินค้าที่ปรุงขึ้นลับๆ คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินมันด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้ของสิ่งนี้มา นอกจากข้าจะสิ้นเปลืองเงินแล้ว ก็ยังสิ้นเปลืองความคิดอีก กลัวว่าจะชักช้าเสียเวลานายท่าน ถึงขั้นจ้างนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพให้คุ้มกันมาส่งที่นี่ด้วย ท่านคิดดูสิว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากขนาดไหน”
“หน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้าย จริงหรือโกหก” สวีถังหรานพึมพำ แล้วพลิกดูซ้ำไปซ้ำมาต่อไป แล้วก็ดมอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้กลิ่นอะไร
“ข้าเองก็ไม่รู้จริงหรือโกหก ถึงยังไงเขาก็พูดมาแบบนั้น แต่นี่เป็นของดีจริงๆ เอามาใช้ยั่วยวนเพศตรงข้ามได้ดีสุดๆ เลย” หวงเสี้ยวเทียนกล่าว
“ของสิ่งนี้ใช้ยังไง?” สวีถังหรานถาม
หวงเสี้ยวเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วก็หยิบของกลับมาจากมือเขา ชี้ไปที่ของพร้อมอธิบายว่า “นายท่านรู้รึเปล่าว่านี่คืออะไร นี่คืออารมณ์ราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ขอเพียงกินเข้าไปนิดเดียว เหอะๆ นายท่านก็น่าจะรู้ถึงผลที่ตามมาแล้ว”
สวีถังหรานตาเป็นประกายมาก เขาย่อมรู้ว่ากินอารมณ์ราคะไปแล้วจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “อารมณ์ราคะก็เหมือนกับแสง ระเหยง่ายมาก ขังไว้ในนี้ได้ยังไง?”
หวงเสี้ยวเทียนส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง สาเหตุจะต้องอยู่ในวัตถุเหลวแน่นอน ตอนที่นายท่านใช้งานมัน แค่ใช้เล็บขูดนิดเดียวแล้วดีดลงในน้ำสุราก็พอ ของสิ่งนี้ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากรวมกับน้ำสุราแล้วจะมีสรรพคุณอัศจรรย์มาก พอโดนน้ำสุรามันก็จะไร้รูปร่างทันที ไร้สีไร้กลิ่น ไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลย พอดื่มลงท้องไปแล้วเหอะๆ…” ทำท่าเหมือนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
สวีถังหรานเลิกคิ้ว ในดวงตาฉายแววจินตนาการเล็กน้อย จากนั้นก็แย่งกล่องหยกดำนั่นมาปิดฝาไว้ แล้วเก็บไว้กับตัวเอง ก่อนจะถามอีกว่า “คนล่ะ?”
พอหวงเสี้ยวเทียนโบกมือ ก็มีชายหน้าตาหล่อละมุนสี่คนถูกเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที
พอสวีถังหรานเหลือบตามอง ก็เบิกตากว้างอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว ตรงหน้าเป็นผู้ชายสี่คนที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก
…………………………