พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1368 ต้องรบกวนทั้งสองแล้ว
มู่อวี่เหลียนมองศพสองร่างที่นอนอยู่บนพื้นอย่างตะลึงงัน นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ยังเริงรมย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้กันอยู่บนเตียง นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว
นางถึงขั้นสงสัยนิดหน่อยว่าวันนี้ตัวเองโดนวางกับดักแล้วรึเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงทำเรื่องเหลวไหลกับผู้ชายสองคนพร้อมกันได้ มีบางสิ่งบางอย่างที่หลอกคนอื่นได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่ตอนที่เห็นชายงามทั้งสี่ขึ้นเวที นางก็รู้แล้วว่าตัวเองหัวใจเต้นแรงนิดหน่อย นั่นคือความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของนาง ไม่ได้มีปฏิกิริยาของการโดนกับดักอะไรทั้งนั้น จากนั้นในระหว่างที่ดื่มสุราในงานเลี้ยง เมื่อเห็นชายสี่คนนั้นรองเพลงและเต้นนางก็ยิ่งทนความรู้สึกไม่ไหว
นางสามารถตัดความเป็นไปได้ว่ามีคนเล่นตุกติกกับนาง เพราะนางไม่ใช่มือใหม่ไร้ประสบการณ์ ย่อมต้องระมัดระวังตัวอยู่แล้ว
ถ้าจะบอกว่านางติดกับดักจริงๆ เช่นนั้นอย่างมากก็ติดกับดักของชายงาม แต่ถ้าตัวเองไม่เต็มใจ แล้วจะติดกับดักได้อย่างไร นางไม่มีทางใช้เหตุผลนี้แก้ตัวกับภายนอกได้
ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลที่สุดก็คือ ถ้าให้โป๋เยวรู้เรื่องนี้ ให้รู้ว่านางทรยศเขา ผลที่ตามมาตอนหลังก็ยิ่งร้ายแรงจนไม่กล้าจินตนาการถึง
ชวีหย่าหงที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็มีความกลุ้มใจแบบเดียวกัน กำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจอยู่ในห้อง
แต่ชายงามทั้งสองกลับยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงขนาดไหน ทั้งยังเดินเปลือยกายเข้ามา มาโอบหน้าโอบหลังชวีหย่าหง เดี๋ยวก็จูบเดี๋ยวก็กอด เดี่ยวก็ลูบไล้เดี๋ยวก็อุ้ม ชวีหย่าหงที่ยังมีความพิศวาสอยู่บ้างรีบบิดตัวให้สองคนนั้นออกไป ทว่าทั้งสองเกาะแกะไม่ยอมปล่อยนาง สุดท้ายก็ทำให้นางที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วโมโห ตะคอกว่า “ไสหัวไป!”
ชายทั้งสองเพิ่งจะถอยออกไปอย่างอ่อนปวกเปียก ชวีหย่าหงพลันหันหน้ากลับมา เห็นเพียงซ่างหย่วนถิงผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางและพรรคพวกบุกเข้ามาอีกแล้ว
“หยุดนะ…” ชวีหย่าหงยื่นมือร้องอุทาน แต่ห้ามไม่ได้ “อ้า!” ลงดาบสองครั้งจนเกิดเสียงกรีดร้อง ชายงามทั้งสองโดนฟันจนล้มลงพื้น
ขณะมองดูเลือดที่ไหลนองบนพื้น ชวีหย่าหงก็ตกตะลึงแล้ว จะว่าไปแล้วก็เหลวไหล แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้เริงรมย์กับชายสองคนนี้แล้ว ก็ทำให้นางเกิดความเสน่หากับพวกเขาอยู่บ้าง อยากจะชุบเลี้ยงชายสองคนนี้ไว้
ทว่าสวีถังหรานทำเรื่องแบบนี้ได้โหดเหี้ยมอำมหิตมาตลอด มีหรือที่จะทิ้งพยานอย่างชายงามทั้งสี่ไว้ คำสัญญาอันสวยหรูที่ให้ไว้กับทั้งสี่ ก็ให้พวกเขาไปทวงเอากับผีก็แล้วกัน
เดิมทีพวกซ่างหย่วนถิงก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ถึงอย่างไรเหตุการณ์ก็ฉุกละหุกจนบังเอิญเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ารองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะเล่นบท ‘หนึ่งหงส์สองมังกร’ ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้เห็นชวีหย่าหงปวดใจเมื่อชายงามทั้งสองโดนประหาร ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะห้ามพวกเขา พบว่าผู้หญิงสองคนนี้ทำตัวสมกับชื่อเสียงที่ร่ำลือจริงๆ
เมื่อลองมองจากบางมุม ก็จะพบว่าเรื่องพวกนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเอามากๆ ถ้าหากเป็นผู้ชายทำเรื่องแบบนี้ ก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติมาก แต่พอผู้หญิงทำแบบนี้บ้าง จุดจบก็คือโดนทุกคนทอดทิ้ง
มาตามคำสั่งของของสวีถังหราน พวกซ่างหย่วนถิงขี้เกียจอยู่ต่อด้วย จึงหันตัวแล้วเดินไปเลย
“นายท่าน จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วขอรับ จับได้คาหนังคาเขา ตอนนี้รองแม่ทัพภาคโป๋ที่หนุนหลังพวกนางกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตพวกนางแล้ว รับรองว่าจะทำให้พวกนางว่านอนสอนง่ายแน่นอน ไม่กล้าเรื่องเยอะเหมือนตอนอยูที่ธงพยัคฆ์ดินแน่”
เมื่อมาถึงจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ สวีถังหรานมาพบเหมียวอี้เพื่อรายงานข่าวลับ
เหมียวอี้ที่เดินช้าๆ อยู่ในลานบ้านกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “ข้าได้ยินว่าสองคนนั้นโดนเจ้าจับได้พร้อมกัน เจ้าไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญไปหน่อยเหรอ?”
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครแอบมาฟ้อง! สวีถังหรานพึมพำในใจ ทว่าเรื่องนี้เขาไปตรวจสอบไม่ได้ด้วยซ้ำ ทัพกลางมีคนแจ้งข่าวบอกผู้บัญชาการใหญ่ มันใช่เรื่องเหรอที่เขาจะไปสืบ? จึงตอบว่า “นายท่าน นั่นก็ต้องดูว่าบังเอิญสำหรับใคร ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ชื่อเสียงของผู้หญิงสองคนนี้ฉาวโฉ่ตั้งนานแล้ว มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ไม่เหมือนเรื่องอื่น เรื่องแบบนี้ทั้งสองน่าจะไม่กล้าป่าวประกาศ แล้วอีกอย่าง ถ้าแม้แต่พวกนางเองยังไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นปัญหา แล้วจะมีใครมาเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกนางเชียวหรือ?”
“พวกนางสองคนไม่ได้โง่ขนาดนั้นมั้ง ทั้งสองเกิดเรื่องพร้อมกัน จะมองเบาะแสไม่ออกสักนิดเลยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหรานเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “พวกนางสองคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอีกฝ่ายเหมือนกัน มิหนำซ้ำข้าน้อยก็เอาของดีนั่นมาจากตลาดมืดนิดหน่อย เล่นไม่ซื่อแล้วผีไม่รู้เทพไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลยที่สองคนนั้นจะสังเกตเห็น”
“มันคืออะไร ทำไมมั่นใจขนาดนี้?” เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจ
สวีถังหรานหันซ้ายหันขวาอย่างลับๆ ล่อๆ แล้วพลิกมือนำของสิ่งหนึ่งออกมา ใช้ฝ่ามือปิดบังสายตาของคนอื่น แล้วเปิดกล่องหยกดำที่มีขนาดเล็กและงามประณีตออก เผยให้เห็นของข้างในที่มีรัศมีสีอำพัน แล้วถ่ายทอดเสียงอธิบายให้ฟังถึงประโยชน์อันเยี่ยมยอดของมัน
แทบจะชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง แล้วหรี่ตามถามว่า “เจ้าเอาของมาจากไหน?”
“ให้หวงเสี้ยวเทียนหามาจากตลาดมืด ได้ยินว่าฆ่าสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์ แล้วค้นบนตัวเขามาได้ขอรับ” สวีถังหรานตอบ
เหมียวอี้เม้มปากแน่นในขณะที่แววตาวูบไหว นึกไม่ถึงว่าปริศนาคลุมเครือที่แก้ไม่ได้ก่อนหน้านี้จะถูกสวีถังหรานไขได้โดยบังเอิญแล้ว เขาโบกมือปิดกล่องในฝ่ามือสวีถังหราน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเก็บของสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามนำออกมาใช้ ทางที่ดีหาที่ซ่อนไว้ดีกว่า อย่าเก็บไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นระวังหัวเจ้าจะร่วงลงพื้น! แล้วก็ทางหวงเสี้ยวเทียนด้วย บอกให้เขาปิดปากให้สนิท อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าในมือเจ้ามีของสิ่งนี้ ไม่อย่างนั้นก็ให้เขาระวังชีวิตของตัวเองไว้ให้ดี!”
สวีถังหรานตกใจกับน้ำเสียงดุดันของเขา ในใจอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหมียวอี้ค่อนข้างทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาเองก็รู้ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าเสียหน่อย ถ้าสืบสาวมาถึงตัวพวกเรา ก็สามารถอธิบายอย่างซื่อสัตย์ได้เลยว่าซื้อมาจากตลาดมืด ของที่ใช้เงินซื้อมาแล้ว ใครจะไปรู้ว่าหามาจากไหน
ในใจคิดแบบนี้ แต่ภายนอกยังคงเอ่ยรับซ้ำๆ “ขอรับๆๆ จะไม่ให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
เขายังไม่รู้เรื่องที่เฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไม่รู้เรื่องที่ราชันสวรรค์จงใจจะทดสอบเหมียวอี้ ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับราชันสวรรค์ เหมียวอี้ก็จะไม่เล่นใหญ่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เรื่องเกี่ยวข้องกับราชันสวรรค์แล้ว ถ้าเปิดเผยว่าเขามองทะลุแผนการของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายได้ตั้งแต่แรก แบบนี้จะไม่เหมือนเป็นการปั่นหัวราชันสวรรค์ให้กลายเป็นคนโง่หรอกเหรอ ผลที่ตามมาร้ายแรงจนไม่อยากจะจินตนาการถึง
เหมียวอี้กลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นความสำคัญ จึงพูดเสริมอีกว่า “สวีถังหราน มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด ถ้าเปิดโปงขึ้นมา ทั้งข้าทั้งเจ้าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ กลับไปยืนยันกับหวงเสี้ยวเทียนอีกรอบ ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียว ก็อย่าเก็บไว้ให้เป็นปัญหาในภายหลัง!”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนประหลาดอย่างสวีถังหรานจะหาของประเภทนี้มาได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาจะไม่ให้สวีถังหรานให้มันกับผู้หญิงสองคนนั้น ถ้าโดนคนจับได้จะไม่แย่หรอกเหรอ? อำนาจทางทหารของธงพยัคฆ์ดำอยู่ในมือตัวเอง มีวิธีการที่จะสู้กับผู้หญิงสองคนนั้นอยู่แล้ว ยังไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้
ตอนนี้สวีถังหรานตกใจแล้วจริงๆ ฟังออกถึงความหมายในคำพูดของเหมียวอี้แล้ว ถ้าทางหวงเสี้ยวเทียนมีเค้าที่ส่อให้เห็นว่าไม่เหมาะสมก็ปิดปากได้เลย เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะร้ายแรงถึงขนาดนี้
เรื่องเกิดขึ้นแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงช่วยสวีถังหรานแสดงละครต่อจนจบ
จากนั้นผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางสิบคนก็มาถึง เหมียวอี้กำชับทันทีว่า อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หลุดออกไปเด็ดขาด ใครกล้าทำลายชื่อเสียงของธงพยัคฆ์ดำก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!
หลังจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสิบถอยออกไปแล้ว มู่อวี่เหลียนก็มาถึงแล้วเช่นกัน บอกไม่ถูกเลยว่าสีหน้าดูแย่ขนาดไหน
สุดท้ายชวีหย่าหงที่มาถึงช้าก็ถูกสวีถังหรานที่เฝ้าอยู่นอกลานบ้านดักไว้ มีเรื่องเชิญไปคุยอีกด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากให้ผู้หญิงทั้งสองรู้ว่าเกิดเรื่องเช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย
ดึกดื่นขนาดนี้แต่มีคนเข้าคนออก เฟยหงมีเจตนาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางยกน้ำชาเข้ามาในโถงหลักแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตะคอกอย่างไม่ไว้หน้า “ออกไป!”
เฟยหงตะลึงงัน แล้วก็เม้มริมฝีปากถอยออกไป
แสงโคมไฟในโถงส่องสว่าง เมื่อเห็นมู่อวี่เหลียนที่อยู่ตรงหน้ามีสีหน้าเหมือนคนที่ปีนขึ้นมาจากกองคนตาย เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินมาตรงหน้านาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่มู่ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่ข้าก็บอกทุกคนที่เกี่ยวข้องไว้อย่างเข้มงวดแล้วล่ะ นี่คือเรื่องส่วนตัวของเจ้า การรักใคร่ของชายหญิงเป็นเรื่องปกติมาก ถ้าใครกล้าปากมากก็จะลงโทษอย่างรุนแรง! เออใช่ มีอยู่จุดหนึ่งที่สวีถังหรานทำไม่เลว ฆ่าสี่คนนั้นทิ้งก็ไม่มีพยานแล้ว คนอื่นๆ มีแต่คำพูดปากเปล่าไร้น้ำหนัก ต่อไปถ้ามีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้เลย”
ปฏิเสธ? มู่อวี่เหลียนยิ่งคิดที่คับแค้น ถึงขั้นอยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตายแล้ว คนเห็นเยอะแยะขนาดนั้น จะปฏิเสธยังไงล่ะ? ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป โป๋เยวจะต้องเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาตรวจสอบความจริงแน่ ถ้ามีแค่คนสองคนก็ยังกล้าบอกว่าไม่จริง แต่ทุกคนกล้าพูดจาหลอกลวงรองแม่ทัพภาคเหรอ?
นอกเสียจากคนพวกนี้จะไม่พูด ลูกน้องมากมายเห็นเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ของนาง ต่อไปนางคงแทรกแซงอะไรธงพยัคฆ์ดำไม่ได้แล้ว
หลังจากมู่อวี่เหลียนออกไป ชวีหย่าหงก็เข้ามาอีก เหมียวอี้ยังคงพูดเหมือนเดิม
“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่อยากจะช่วยข้าจริงๆ งั้นก็ให้ข้าออกไปจากที่นี่อย่างมีเกียรติ ผู้บัญชาการใหญ่สามารถหาเหตุผลรายงานขึ้นไปเพื่อย้ายข้าออก ส่วนเรื่องอื่นข้าจะคิดหาทางเอง” ชวีหย่าหงที่ฟังเงียบๆ มาตลอด จู่ๆ ก็พูดประโยคแบบนี้ นางรู้ว่าต่อไปก็พูดจาอะไรที่มีนำหนักในธงพยัคฆ์ดำไม่ได้แล้ว ในภายหลังถ้าเจอหน้าพวกที่เห็นภากนั้นกับตาอีก นางจะเงยหน้าได้อย่างไร อยากจะหนีไปหาที่ใหม่
“ไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ถ้าตอนนี้ปล่อยให้เจ้าไป ข้าจะไม่ดูเป็นคนใจแคบหรอกเหรอ! เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปห้ามไม่ให้เจ้าพูดเรื่องออกไปจากที่นี่อีก ในภายหลังวันที่เจ้ากับข้าต้องทำงานร่วมกันยังอีกยาวไกล” เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธเสียเลย ทำให้รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนนี้กลายเป็นหุ่นเชิดแล้ว เขาจะปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยไปแล้วเบื้องบนส่งคนมาอีกสองคน ก็จะคุยกันไม่ง่ายแบบนี้แล้ว
ชวีหย่าหงกัดริมฝีปาก นางรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ นางถึงขั้นสงสัยว่านี่คือกับดักที่เหมียวอี้วางไว้หรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็หาพยานมายืนยันไม่ได้ ตอนแรกนางก็ใจสั่นกับยอดชายงามสี่คนนั้นจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตัวเองจะติดกับดักชายงาม แต่เหตุผลนี้ไม่มีทางพูดออกมาได้
วันต่อมา ผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพมาถึงแล้ว สวีถังหรานและพวกหยางชิ่งก็อยู่เช่นกัน ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ทำสีหน้าหยิ่งผยองทำเสียงกระซิบกระซาบเหมือนยามปกติอีก ดูเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากผู้บัญชาการทั้งสิบทยอยกันมารายงานสถานการณ์แล้ว เหมียวอี้ก็เริ่มประกาศต่อหน้าทุกคน “จากวันนี้เป็นต้นไป รองผู้บัญชาการใหญ่ชวีหย่าหงรับผิดชอบธงอินทรีฟ้า ม่วง ขาว ทอง เขียวเงิน ส่วนรองผู้บัญชาการใหญ่มู่อวี่เหลียนรับผิดชอบธงอินทรีดิน ดำ แดง เขียว น้ำเงิน”
ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนสบตากันแวบหนึ่ง สำหรับการแบ่งความรับผิดชอบที่มาช้านี้ ทั้งสองกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ!”
เหมียวอี้บอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งด้วย หลังจากธงพยัคฆ์ดำจัดระเบียบกำลังพลใหม่แล้ว ข้ากังวลว่าในด้านการประสานงานกับบัญชาการจะมีอะไรไม่เหมาะสม บวกกับที่ข้ามาอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นครั้งแรก ยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงอยากจะดึงกำลังพลออกมาปรับตัวสักหน่อย ไม่ทราบว่าทุกคนมีความคิดเห็นยังไง?”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่คิดจะเล่นบ้าอะไรอีก
สวีถังหรานกลับอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย สงสัยว่าเขาคิดจะดึงคนไปก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์หรือไม่ จึงกุมหมัดบอกทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ธงพยัคฆ์ดำทำหน้าที่ประจำการที่นี่ ทั้งยังต้องเฝ้าเหมืองผลึกที่สำรวจเจอแล้วอีก ถ้ากำลังพลละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ทางนี้ ก็เกรงว่าเบื้องบนจะไม่เห็นด้วย”
“ไม่ต้องดึงคนไปทั้งหมด ดึงคนไปส่วนหนึ่งเพื่อปรับตัวสักหน่อยก็พอ” เหมียวอี้โบกมือ แล้วก็พูดกับสองคนที่ยืนอยู่ตำแหน่งหน้าสุดข้างล่างอย่างร่าเริงอีกว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจการดำเนินงานของกองมังกรดำสักเท่าไร รองผู้บัญชาการใหญ่ชวีกับรองผู้บัญชาการใหญ่มู่เป็นคนเก่าคนแก่ของกองมังกรดำ เรื่องขออนุญาติจากเบื้องบนก็ต้องรบกวนทั้งสองแล้ว”
…………………………