พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1370 กระแสที่ไม่ดีมาจากไหน
ซือหม่าเวิ่นเทียนข่าวสารรวดเร็ว พอเกิดเรื่องขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าราชันสวรรค์จะพบเขา ตอนที่ถูกเรียกพบเขาก็อยู่ระหว่างทางแล้ว ไปถึงตำหนักดาราจักรก่อนก้าวหนึ่ง
“ฝ่าบาท!”
หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพแล้ว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “เจ้าลูกลิงน้อยนั่นจะทำอะไรกันแน่ เขาต้องการจะล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาต้องการจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงหรือเปล่า แต่เขาระดมกำลังพลไปที่ดาวเทียนหยวนจริงๆ เพียงแต่ก่อนออกเดินทางเขาจงใจให้คนปล่อยข่าวลือที่ตลาดสวรรค์ จงใจกุข่าวว่าเขาจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์”
“ข่าวลือ?” ประมุขชิงงุนงงไปชั่วขณะ สีหน้าขุ่นเคืองจางลงทีละนิด รู้สึกได้ว่าเหมียวอี้มีจุดประสงค์อีกอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องจงใจปล่อยข่าวลือ “ข่าวลืออีกแล้วเหรอ? ครั้งก่อนก็ใช้ข่าวลือสั่นคลอนหัวใจทหาร ครั้งนี้ก็ปล่อยข่าวลือว่าจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์อีก เจ้าลูกลิงน้อยตัวนี้ชอบปล่อยข่าวสร้างเรื่องเป็นพิเศษ”
ซือหม่าเวิ่นเทียน “ข้าน้อยคิดว่าครั้งนี้เขาคงจะไม่ก่อเรื่อง เพียงอยากกู้หน้ากลับมาเฉยๆ” ประมุขชิงกำลังรอให้เขาพูดต่อ เขามองดูปฏิกิริยาของประมุขชิงแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ครั้งก่อนตอนที่เขาออกจากตลาดสวรรค์ กลุ่มพ่อค้าวิ่งไปเยาะเย้ยให้เขาอับอาย เขาจึงประกาศตรงนั้นเลย ว่าเดี๋ยวจะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ ตอนนั้นเขาทำให้พ่อค้าพวกนั้นตกใจมากจริงๆ แต่คาดว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะรู้ชัด ว่าการนำหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จะมีผลอะไรตามมา แต่ตอนแรกเขาพูดโอ้อวดไว้ขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นจึงต้องดึงกำลังพลไปที่นั่น ส่วนจุดประสงค์ของข่าวลือก็คือจะทำให้คนพวกนั้นตกใจหนีไป พอคนหายไปแล้ว เขาก็มีบันไดลงแล้ว เรื่องนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน”
“อืม! ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง” ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็นแบบนี้ เพราะเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่คนโง่ น่าจะรู้ว่าถ้านำกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่ว่าใครก็ปกป้องเขาไม่ได้ทั้งนั้น จึงถามว่า “คนพวกนั้นถูกเขาทำให้ตกใจจนหนีไปแล้วจริงเหรอ? อย่าให้ถึงเวลาจริงแล้วลงจากหลังเสือไม่ได้นะ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “ผู้จัดการร้านค้าของตระกูลขุนนางพวกนั้นกลัวหนิวโหย่วเต๋อราวกับเป็นเสือดุ พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนำทัพมาแล้ว ก็พากันตัวสั่นเป็นแถบๆ ตกใจหนีกันไปหมดแล้วขอรับ ไม่มีใครกล้าเดิมพันว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังขู่พวกเขาหรือเปล่า หลบหลีกคมอาวุธก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทุกคนปิดร้านหนีไปแล้ว”
“ฮึ! ช่างน่าเกรงขามเสียจริง” ประมุขชิงแสยะยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดนี้เป็นคำชมเชยหรือว่าลดขั้น ถามอีกว่า “ทางหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั่นยังไงกันแน่ ทำไมถึงปล่อยให้เขาโยกย้ายกำลังพลเพ่นพ่านไปทั่ว แม้แต่วินัยทหารก็ไม่มีสักนิดเลยเหรอ?”
“ฝ่าบาท ตอนแรกเพื่อที่จะดำเนินการเรื่องนี้ได้สะดวก ก็เลยเลือกที่ใกล้ๆ หน่อย ตอนนี้ธงพยัคฆ์ดำที่หนิวโหย่วเต๋อควบคุมอยู่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการเช่นกัน เขาขอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
“ผู้บังคับบัญชาคนไหนที่เลอะเลือนอนุญาตให้เขาเคลื่อนย้ายกำลังพลมาทำเรื่องแบบนี้?” ประมุขชิงถาม
คำถามนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ตอบได้ยากเหมือนกัน สายลับที่แทรกไปไว้ข้างกายก็ใช่ว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทุกเรื่องได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงอยากจะดูละครลิง เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่มีทางให้สายลับคนนั้นไปเข้าร่วมเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเข้าไปยุ่งทุกอย่างก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ที่เขาแทรกสายลับคนนั้นไปไว้ข้างกายเหมียวอี้ ก็เพื่อจะยืนยันให้แน่ใจว่าเหมียวอี้มีปัญหาหรือจุดที่น่าสงสัยหรือไม่ ถ้าพบว่าไม่น่าไว้ใจก็จะได้แจ้งประมุขชิงได้ทันเวลา จะได้หลีกเลี่ยงให้ไม่ต้องใช้งานคนที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่ตกอับไปเป็นอนุภรรยาที่เอาแต่ร่วมวงเรื่องทางทหารเพื่อสืบข่าวเล็กน้อยแค่นี้ แบบนั้นเหมาะสมเหรอ? ต่อให้เป็นฮูหยินเอกก็ไม่เหมาะจะทำแบบนี้เช่นกัน
ดังนั้นเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ใช้ข้ออ้างอะไรโน้มน้าวกองมังกรดำเพื่อให้ระดมพลไปทำเรื่องนี้
แต่ที่โชคดีก็คือ คนที่จะตอบคำถามเขาได้มาถึงแล้ว ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำเดินเข้ามาในตำหนักดาราจักร เขามีรูปร่างผอมและค่อนข้างเตี้ย ผมและหนวดเครายาวดำขลับดุจน้ำหมึก เดินก้าวยาวเข้ามา สายตาเฉียบแหลม แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลัง เขาคือโพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนั่นเอง
“ฝ่าบาท!” โพ่จวินยืนทำความเคารพ แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ให้ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็พยักหน้าเช่นกัน นับว่าทักทายกันแล้ว
“เวิ่นเทียน เจ้าบอกเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อให้เขารู้รึยัง” ประมุขชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังจะเอ่ยตอบ แต่โพ่จวินยกมือห้าม แล้วเหล่ตามพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้หมดแล้ว”
“ทำไมหนิวโหย่วเต๋อนั่นถึงโน้มน้าวขอผู้บังคับบัญชาเพื่อเคลื่อนย้ายกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปทำเรื่องแบบนั้นได้?” ประมุขชิงถาม
โพ่จวินตอบว่า “ตามสถานการณ์ที่กำลังพลเบื้องล่างรายงานมา หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้บอกว่าจะพาคนไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ บอกเพียงว่าเพิ่งได้ควบคุมธงพยัคฆ์ดำเป็นครั้งแรก มีปัญหาเรื่องทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการภารกิจหน้าที่ จึงนำคนจำนวนหนึ่งออกไปเพื่อปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อย เป็นคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าน้อยไม่คิดว่ามีจุดไหนที่เบื้องล่างทำผิด”
ประมุขชิงพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่เขาอธิบาย ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบพูดต่อว่า “โพ่จวิน เจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นเงียบสงบเกินไป? ไปหยุดหนิวโหย่วเต๋อให้ทันเวลาเถอะ อย่าให้คนที่คิดไม่ซื่อฉวยโอกาสใช้ประโยชน์”
โพ่จวินกล่าวอย่างกระฉับกระเฉงว่า “พวกขุนนางใหญ่เงียบสงบแล้วเกี่ยวอะไรกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายของข้าล่ะ? กำลังพลเบื้องล่างไม่ได้รายงานขึ้นมาเสียหน่อยว่าจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ แค่นำคนออกไปฝึกนิดหน่อยเอง ที่จริงหนิวโหย่วเต๋อก็อาจจะไม่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ได้ ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งทางทหารถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีความผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรทั้งนั้น หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะเปลี่ยนคำสั่งถอยกลับไปเราะโดนพวกขุนนางใหญ่ขู่ให้ตกใจได้อย่างไร?”
“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
โพ่จวินเหล่ตาตอบว่า “งั้นก็รอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ยังไม่ทันเกิดเรื่องอะไรเลย จำเป็นต้องตกใจจนทนไม่ไหวแบบนี้เชียวเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนถลึงตาจ้องเขาอย่างพูดไม่ออก คำพูดต่อว่าแบบนี้เหมือนจะไม่ได้ว่าเขาแค่คนเดียว
ประมุขชิงเอามือลูบเคราพลางเงยหน้ามองข้างบน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกำลังนับดาวในตำหนักดาราจักร
คนที่สามารถทำให้ประมุขชิงมอบอำนาจบัญชาการหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายให้ ย่อมต้องเป็นลูกน้องคนสนิทที่อยู่เหนือลูกน้องคนสนิทอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยระดับความจงรักภักดี เพียงแต่บางครั้งก็พูดจาตรงเกินไปหน่อย ทำให้คนหาทางลงได้ยาก
ในตอนนี้ดันมีคนถ่อมาหาเรื่องตัว ด้านนอกมีคนมารายงาน ว่าราชินีสวรรค์มาแล้ว ประมุขชิงบอกให้เชิญนางเข้ามา
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินลากกระโปรงยาวเข้ามา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับโพ่จวินแบ่งไปยืนอยู่ทางซ้ายและขวา แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่รับการทำความเคารพแล้ว ก็เริ่มบ่นว่า “ฝ่าบาท มีคนจะนำกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์แล้ว กำลังจะเกิดเรื่องแล้วเพคะ”
ประมุขชิงเหล่ตามองลูกน้องบางคนที่อยู่เบื้องล่าง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ เขายังไม่ทันจะเอ่ยปาก ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินแห่งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ตอบแทนแล้วว่า “พระนาง ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงใครในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขอรับ? หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมีคนต้องการจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ แต่ทำไมข้าน้อยถึงไม่รู้?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวเล็กน้อย แล้วกล่าวดว้ยสีหน้าจริงจังว่า “ก็หนิวโหย่วเต๋อที่เพิ่งย้ายไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายของพวกเจ้าไง”
โพ่จวินตอบว่า “ทำไมขนาดข้าน้อยยังไม่รู้เลย พระนางรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะนำกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์? เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่บอกท่านเอง หรือว่าเขาทำเรื่องนี้ไปแล้ว? หวังว่าพระนางจะไม่นำข่าวซุบซิบที่ได้ยินมายัดความผิดให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายนะขอรับ”
“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ค่อนข้างพูดไม่ออก นางได้ข่าวจากตลาดสวรรค์ตั้งนานแล้ว เลยตั้งใจรอให้สองคนนี้มาพร้อมกัน นางถึงได้ถ่อมาขอพบฝ่าบาท ที่จริงโพ่จวินก็พูดไว้ไม่ผิด นี่เป็นข่าวที่นางได้ยินมาจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องขึ้น หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง นางก็บอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะนำกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปถึงดาวเทียนหยวนแล้ว”
โพ่จวินก้มหน้าเหลือบตาลง พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “พระนางตั้งใจทำงานที่อยู่ในมือตัวเองให้ดีเถอะขอรับ เรื่องของฝั่งข้าน้อย ไม่จำเป็นต้องให้พระนางมาสนใจ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าเดือดดาลเล็กน้อย “โพ่จวิน เจ้า…”
“พอแล้ว นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาทะเลาะกัน” ประมุขชิงพูดตัดบทได้ทันเวลา ไม่ให้นางได้พูดต่อ ไม่อย่างนั้นรออีกประเดี๋ยวถ้าโพ่จวินหยิบยกความผิดต่างๆ มาตำหนิเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ มาเสนอให้ปลดฐานันดรศักดิ์อีก นางจะต้องโมโหจนจะเป็นจะตายแน่ และตอนหลังถ้าท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยโห้วมาสู้ตายกับโพ่จวิน แล้วโดนโพ่จวินโจมตีจนสาหัส แล้วตัวเองก็ต้องมาปลอบใจ ทั้งยังต้องรับมือกับนางที่ร้องห่มร้องไห้ แบบนั้นยุ่งยากมั้ยล่ะ จำเป็นด้วยเหรอ…
โพ่จวินไม่แยแสเรื่องที่เหมียวอี้จะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ แต่หลังจากกองมังกรดำได้ข่าวแล้วกลับตกใจมาก เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนติดต่อมาถามฝั่งกองมังกรดำ อวี่จ้งเจินผู้ตรวจการของทัพเป่ยโต้วเป็นคนแรกที่ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
ขออนุญาตระดมพลออกจาไปปรับตัวให้เข้ากันสักหน่อย เจ้ามีวิธีปรับตัวให้เข้ากันแบบนี้เหรอ ต้องนำกำลังพลไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ ล้อเล่นอะไรกัน?
เนี่ยอู๋เซี่ยวโมโหนิดหน่อย ติดต่อกับเหมียวอี้ด้วยตัวเองแล้ว ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร?
เหมียวอี้แสร้งทำเป็นโง่เลอะเลือน บอกว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย แค่นำกำลังพลไปซื้อของบางอย่างที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น แต่ซื้อของจะกลายเป็นล้างเลือดตลาดสวรรค์ได้อย่างไร
เนี่ยอู๋เซี่ยว : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดีนะ ถ้าอยู่ดีๆ กำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปโจมตีตลาดสวรรค์โดยไม่มีเหตุผล ระวังเจ้าจะรักษาหัวตัวเองเอาไว้ไม่ได้
เหมียวอี้ : ท่านแม่ทัพภาค จะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีเรื่องแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เวรที่ไหนมันวางกับดักข้า เรื่องแบบนี้ต่อให้ข้าออกคำสั่ง แต่ก็ต้องอาศัยให้ลูกน้องเชื่อฟังด้วยนะ!
เนี่ยอู๋เซี่ยวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ แต่เพื่อให้มั่นใจและเชื่อถือได้ เขาสั่งให้โป๋เยวแอบสืบให้รู้เบื้องหลัง พอสืบแล้ว ก็พบว่ากำลังพลที่ออกเดินทางพร้อมหนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีใครที่ได้ยินเรื่องล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์มาก่อนเลย…และแน่นอน เรื่องนี้กำลังพลเบื้องล่างก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน นอกจากคนข้างกายเหมียวอี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เนี่ยอู๋เซี่ยวแปลกใจทันที ไปเอากระแสไม่ดีจากไหนมาสร้างข่าวลือนี้?
เมื่อนึกถึงความแค้นที่หนิวโหย่วเต๋อเคยมีกับตลาดสวรรค์ คิดไปคิดมาก็ยังทำให้โป๋เยวแอบออกคำสั่งกับคนที่อยู่ในกลุ่มผู้ติดตามเหมียวอี้แล้ว ว่าถ้าเหมียวอี้ออกคำสั่งล้างเลือดตลาดสวรรค์ ก็ให้เอาคำสั่งที่เบื้องบนใช้กับธงพยัคฆ์ดำออกมาห้ามการกระทำที่บุ่มบ่ามของเหมียวอี้ไว้ทันที
มู่อวี่เหลียนนำกำลังพลส่วนน้อยเฝ้าอยู่ที่ดาวหกกนิ้ว ส่วนชวีหย่าหงติดตามไป โป๋เยวส่งคำสั่งลับนี้ให้ชวีหย่าหง ทว่าโป๋เยวไม่รู้ว่าชู้รักทั้งสองคนโดนคนอื่นจัดการไปแล้ว ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าชวีหย่าหงจะมีความกล้ากระโดดออกมาห้ามเหมียวอี้หรือไม่
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่กำลังพลมาถึงนอกเมืองของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน พอเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกชวีหย่าหงที่อยู่ข้างๆ ว่า “ทางกองมังกรดำได้บอกให้เจ้าประกาศคำสั่งลับในเวลาสำคัญหรือเปล่า?”
ชวีหย่าหงทำสีหน้าไม่ถูก แอบถ่ายทอดเสียงเรื่องคำสั่งลับของโป๋เยวให้ฟังทันที
“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ไม่ได้หัวเราะโป๋เยวกับชวีหย่าหง เขาเดินก้าวยาวออกมาจากกลุ่มคน ตรงหน้าเห็นฝูชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากเมืองมาต้อนรับ
ฝูชิงกวาดสายตามองกำลังพลหลายหมื่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มขื่นขม พูดในใจว่า เจ้าบอกว่าไม่ใช่แล้วใครจะเชื่อล่ะ!
ทหารยามที่อยู่ตรงประตูรวมทั้งบนกำแพงเมืองเห็นทัพใหญ่ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านนอก พบว่าในจำนวนนั้นยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่สวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วง ไม่ใช่หนึ่งคนแต่เป็นหนึ่งกลุ่ม ทุกคนแอบเดาะลิ้น โชคดีที่พ่อค้าพวกนั้นปิดร้านหนีไปเร็ว ไม่อย่างนั้นอดีตผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนมีเมตตาปราณี ตอนแรกประกาศต่อหน้าทุกคนไว้แล้วว่าจะนำกำลังพลมาคิดบัญชี
…………………………