พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1371 เฝ้าไว้
“ผู้บัญชาการใหญ่” ฝูชิงกุมหมัดคารวะก่อน
“ผู้บัญชาการใหญ่ฝู” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะตอบ
ในสายตาของฝูงชน อดีตเจ้านายกับลูกน้องที่เพิ่งแยกจากกันไปไม่นานมาเจอหน้ากันอีกแล้วทักทายกันอย่างร่าเริง
มีพ่อค้าไม่น้อยที่อยู่ในเมืองอยากจะเห็นภาพเหตุการณ์ข้างนอก แต่ช่วยไม่ได้ที่กำแพงสูงบังไว้ ประตูเมืองก็ถูกปิดสนิทเช่นกัน
ที่ด้านนอกเมือง กลุ่มลูกน้องเก่า กลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรของเหมียวอี้ก็ทยอยกันเข้ามาทักทายเช่นกัน สวีถังหรานกับพวกหยางชิ่งก้าวขึ้นมาทักทายฝูชิง
หลังจากทั้งสองฝ่ายกล่าวทักทายปราศัยกันเสร็จแล้ว ฝูชิงก็เดินมาข้างกายเหมียวอี้อีก ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า เจ้าพาคนมาเยอะขนาดนี้ คงไม่ได้คิดจะล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์จริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
หลังจากทั้งสองอยู่ในตำแหน่งระดับเดียวกัน คำเรียกก็กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนโดยไม่รู้ตัว
“มาคิดบัญชีกับคนพวกนั้นจริงๆ เพียงแต่ไม่พังตลาดของท่านหรอก” เหมียวอี้ตอบ
ดวงตาฝูชิงฉายแววสงสัย ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร คิดบัญชีแต่ไม่พังตลาด แล้วยังจะเรียกว่าคิดบัญชีอยู่อีกเหรอ? จึงเตือนว่า “คนที่เจ้าอยากจะคิดบัญชีด้วยหนีไปหมดแล้ว”
“ถึงอย่างไรพระก็หนีวัดไม่พ้นหรอก” เหมียวอี้แสยะยิ้ม
ฝูชิงมองเขาพลางถอนหายใจ ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน จึงหันไปมองกำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ด้านหลัง แล้วถามว่า “พาคนมาด้วยเยอะขนาดนี้ นี่เจ้าคิดจะเหมาะโรงเตี๊ยมของทั้งตลาดสวรรค์เหรอ?”
“โรงเตี๊ยมน่ะไม่ต้องหรอก ตั้งค่ายชั่วคราวอยู่ข้างนอกก็พอ” เหมียวอี้ตอบ
ฝูชิงจึงถามว่า “เจ้าเตรียมจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน? ข้าสั่งให้คนเก็บกวาดเรือนพักหลังหนึ่งที่ตำหนักคุ้มเมืองให้เจ้าแล้ว”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ไปตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ถึงยังไงตอนนี้ข้าก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ไม่สะดวกจะเข้าใกล้กำลังพลของอำนาจฝ่ายอื่นเกินไป ตั้งค่ายชั่วคราวกับลูกน้องตัวเองข้างนอกก็พอแล้ว” พูดจบก็หันกลับไปเรียกสวีถังหราน แล้วออกคำสั่งให้ตั้งค่ายชั่วคราวนอกเมือง
พอออกคำสั่งแล้ว กำลังพลก็เคลื่อนไหวรอบทิศ มีคนไม่น้อยรีบเหาะไปตัดไม้ในป่าใกล้ๆ
ใช้เวลาไม่ถึงครั้งชั่วยาม สถานที่ตั้งค่ายบริเวณกว้างก็ล้อมไว้เรียบร้อยแล้ว นอกประตูเมืองเหนือใต้ออกตกล้วนถูกล้อมไว้บริเวณหนึ่ง นอกจากกำลังพลทัพกลางของเหมียวอี้ที่อยู่นอกประตูเมืองตะวันออก กำลังพลสองหมื่นที่เหลือก็แบ่งกันอยู่นอกประตูเมืองเหนือ ใต้และตะวันตกอีกสามแห่ง
ไม้ที่ถูกตัดก็ทยอยกันขนย้ายกลับมาเช่นกัน เริ่มจากลงเสา ล้อมรั้วกั้น มัดเชือกดึงกระโจม นอกประตูของทั้งสี่เขตเมืองล้วนกำลังงานยุ่ง
ฝูชิงติดตามเหมียวอี้เดินดูรอบเมือง รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง พบว่าการทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการล้อมประตูเมืองทั้งสี่เอาไว้
“นี่เจ้าจะช่วยเฝ้าประตูเมืองให้ตลาดสวรรค์ใช่มั้ย?” หลังจากกลับมาถึงประตูเมืองตะวันออก ฝูชิงก็พูดล้อเล่นแต่ไม่เหมือนล้อเล่น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน” เหมียวอี้พูดปลอบใจ
ฝูชิงรู้สึกอับจนปัญญา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ลูกน้องเก่าบางส่วนต้องการจะแสดงน้ำใจ จัดงานเลี้ยงไว้ให้ในเมือง”
เหมียวอี้มองดูสถานที่ตรงนั้นที่กำลังงานยุ่ง แล้วบอกว่า “ท่านกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไปหาท่าน”
ฝูชิงพยักหน้าแล้วพาคนกลับไปก่อน มู่หรงซิงหัวยังไม่ไป เป็นฝ่ายขอรับผิดชอบหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนเหมียวอี้ตรงนั้น
หลังจารอพวกฝูชิงเข้าเมืองไปแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปที่ไหล่เขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง แล้วถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะออกไปจากตลาดสวรรค์แล้วเหรอ?”
มู่หรงซิงหัวเดินช้าๆ มายืนอยู่ข้างกายเขา ขณะมองดูคูเมืองขนาดใหญ่ตรงหน้า สายตาก็ดูเหม่อลอย ตอบอย่างรู้สึกปลงว่า “ตั้งแต่ก้าวเข้าแดนฝึกตนมา เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตข้าก็ใช้อยู่ที่นี่ ตอนนี้กำลังจะไปแล้ว ยังอาลัยอาวรณ์นิดหน่อย”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ใช้เวลาอยู่ที่ตลาดสวรรค์นานที่สุดแล้ว จึงถามว่า “เตรียมจะไปที่ไหน?”
มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนแรกก็คงไปกับเจ้าแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนั้นเฉาว่านเสียงไม่เห็นด้วย ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกว่าให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะไม่เหมาะแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนแข็งทื่อเกินไป ตอนนี้ข้าทำได้เพียงกลับไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉาว่านเสียง รอให้ปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนดีกัน ข้าก็อาจจะกลับไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวได้”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา “ทางปี้เยว่ข้ายังพอคุยให้ได้นิดหน่อย ถ้าอยู่ฝั่งนี้ไม่ไหว จะให้ข้าหาสักตำแหน่งให้เจ้าที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นมั้ยล่ะ”
มู่หรงซิงหัวยกมือขึ้นทัดผมข้างหู แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ช่างเถอะ ไปอยู่ข้างกายเฉาว่านเสียงแล้วกัน ถ้าแยกจากกันนานๆ เกรงว่าจะกลายเป็นฮูหยินเถาฮวาคนที่สอง ที่ปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนทะเลาะกันแบบนี้ ก็คงจะเป็นเพราะแยกกันนานเกินไปเหมือนกัน”
เหมียวอี้ไม่บังคับ เพียงยิ้มให้เฉยๆ ไม่พูดอะไรมากแล้วเช่นกัน
กำลังพลหลายหมื่นลงมือทำงานพร้อมกัน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ค่ายทหารที่เกิดจากกระโจมทอดยาวเหยียดก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ในม่านของทัพกลาง ประตูม่านสองฝั่งม้วนขึ้นสูง กว้างใหญ่สะอาดเรียบร้อย ข้างนอกข้างในแบ่งเป็นสองห้อง ค่อนข้างมีสง่าราศี
หลังจากเข้ามาข้างในแล้วเดินวนได้สองรอบ ด้วยการนำทางของมู่หรงซิงหัว เหมียวอี้นำลุกน้องไม่กี่คนตามนางไปร่วมงานเลี้ยงในเมือง พอเข้ามาในเมือง ก็ ‘บังเอิญ’ เห็นอวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่อยู่ในร้านค้าริมถนน เจอกันแต่ไปทักทายกันไม่ได้
วันนี้จัดงานเลี้ยงในตำหนักคุ้มเมือง กลุ่มลูกน้องเก่าที่ตลาดสวรรค์คอยอยู่เป็นเพื่อน การร้องเพลงเต้นระบำเสริมความบันเทิงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
พอกลับมาถึงค่ายทัพกลางที่อยู่นอกเมือง เหมียวอี้ก็เดินเข้าไปในผ่านม่านที่ปิดอยู่อย่างอดใจรอไม่ไหว ก่อนหน้านี้บอกใบ้ให้หยางชิ่งส่งตัวอวิ๋นจือชิวมาแล้ว
แต่ใครจะคาดคิด หลังจากเปิดม่านดูแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปชั่วขณะ เห็นเพียงสาวสวยรูปร่างสูงสง่ากำลังนั่งนั่งยองๆต้มน้ำชาอยู่ข้างใน อากัปกิริยางามสง่า ไม่ใช่ใครที่หน เป็นจีเหม่ยลี่นั่นเอง
เหมียวอี้ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างโต๊ะ ทั้งสองสบตากันอย่างพูดไม่ออก แล้วจีเหม่ยลี่ก้มหน้าต้มน้ำชาของตัวเองต่อไป
หลังจากต้มน้ำชาเสร็จ จีเหม่ยลี่ก็รินน้ำชาเต็มถ้วยและผลักไปตรงหน้าเขา “พรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว ฮูหยินให้ข้ามาที่นี่ ให้ถามท่านว่ามีอะไรจะสั่งข้าหรือเปล่า”
เหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก แล้วบอกว่า “ติดต่อกันเหมือนเดิม เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย ถ้ามีเวลาข้าจะไปหาเจ้า”
“อื้ม!” จีเหม่ยลี่พยักหน้า แล้วยกถ้วนน้ำชาขึ้นมาเป่าเบาๆ
ทั้งสองคุยกันแบบถามคำตอบคำ เหมียวอี้เองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับนางดี ที่จริงก็รู้ว่านางพะวงเรื่องที่เขาฆ่าพี่สาวนางอยู่ในใจมาตลอด นี่ก็คือช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างทั้งสอง
รอจนกระทั่งน้ำชาหมดกาแล้ว จีเหม่ยลี่ก็เก็บโต๊ะน้ำชา นำชัยภูมิถ้ำสวรรค์ออกมาวางไว้ข้างๆ แล้วเปิดประตูเดินเข้าไป เหมียวอี้ก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน
ข้างในมีน้ำร้อนที่อุ่นแล้ว ตรงข้างอ่างอาบน้ำ จีเหม่ยลี่ช่วยเขาถอดเสื้อผ้า แล้วสุดท้ายก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเอง เรืองร่างที่ทำให้ผู้พบเห็นเลือดลมสูบฉีดเปิดเผยออกมา นางเคยชินกับความเขินอายแบบนี้แล้ว ร่างเปลือยแช่ลงไปในอ่างน้ำพร้อมกับยเขา ช่วยอาบน้ำให้เขา หลังจากอาบน้ำไปได้ครู่เดียว เขาก็ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด…
กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่ได้เฝ้าประจำอยู่นอกเมืองโดยไม่ได้ไปไหน พวกเขาผลัดกันเข้าไปเที่ยวเล่นในเมือง เดินเล่นซื้อของ หอนางโลมที่มีทิวทัศน์งดงามพวกนั้นคือแหล่งที่พวกเขาโปดปรานที่สุด ถ้ายศยังไม่สูงพอก็ให้ครอบครัวติดตามกองทัพไปด้วยไม่ได้
สวีถังหรานดูน่าเกรงขามมาก ข้างหลังมีแม่ทัพเกราะม่วงติดตามสิบกว่าคน ถัดไปเป็นทหารสวรรค์เกราะทองร้อยคน
“ผู้บัญชาการสวี!”
“คารวะผู้บัญชาการสวี!”
ตอนที่เดินผ่านเขตเมืองตะวันตก ก็มีคนรู้จักเก่าไม่น้อยเลย ผู้จัดการร้านมากมายพากันออกประตูมาคารวะ พอเห็นข้างหลังเขามีแม่ทัพเกราะม่วงติดตามมากมายขนาดนี้ ก็มีคนไม่น้อยแอบอุทานในใจ เจ้าคนขี้ประจบคนนี้ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งมีหน้าตามีตา
สวีถังหรานพยักหน้าหัวเราะตลอดทาง สิ่งที่ทำให้คนตกใจก็คือ พอเจอร้านค้าที่ปิดไปเนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่าง สวีถังหรานก็จะยกมือชี้ เสร็จแล้วข้างหลังก็จะมีคนบันทึกตำแหน่งร้านค้าและป้ายร้านไว้ทันที และร้านค้าที่ปิดพวกนี้ก็คือร้านค้าของผู้มีอำนาจที่กลัวว่าเหมียวอี้จะมาคิดบัญชี
เมื่อฉากนี้อยู่ในสายตาคนที่อยู่เหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็ชัดเจนว่าเป็นเพราะลูกน้องในปัจจุบันของเหมียวอี้ยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของฝั่งตลาดสวรรค์ กำลังทำความเข้าใจเพื่อลงมือ
ถึงแม้คนของร้านค้าพวกนั้นจะไม่อยู่ แต่ก็สังเกตความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์ฝั่งนี้อยู่ตลอด พอได้ยินข่าวก็อดสั่นขวัญแขวน ถ้ามีใครมาพูดอีกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มาคิดบัญชีกับพวกเขา ต่อให้ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อแล้ว โชคดีที่หนีมาตั้งแต่แรก
ตอนเริ่มแรก ทั้งตลาดสวรรค์ล้วนแอบวิจารณ์กันว่าหนิวโหย่วเต๋อคว้าน้ำเหลว พ่อค้าจากร้านค้าเล็กๆ บางคนถึงขั้นเสียดายที่ปล่อยให้ร้านค้าพวกนั้นหนีไป และมีบางคนกำลังสงสัยเช่นกันว่าที่จริงข่าวลือเรื่องล้างเลือดถูกปล่อยมาจากเหมียวอี้ จุดประสงค์ก็เพื่อจะขู่ให้ตกใจหนีไป ตัวเองจะได้หาบันไดลงได้สะดวก
ทว่าหลังจากเวลาต่อเนื่องไปได้ครึ่งเดือน ก็ยังไม่เห็นกำลังพลธงพยัคฆ์ดำที่เฝ้าอยู่นอกประตูสี่เขตเมืองถอนกำลัง แถมฝั่งธงพยัคฆ์ดำก็ถึงขั้นส่งกำลังพลมาผลัดกันทำงาน ผลัดกันมาเที่ยวเล่นที่ตลาดสวรรค์ ทุกคนล้วนมาผ่อนคลาย การกระทำแบบนี้ดูเหมือนกำลังคุ้มกันตลาดสวรรค์ ดังนั้นจึงเริ่มมีพ่อค้านเมืองแอบรู้สึกบันเทิง พบว่าการล้อเล่นนี้หนักเกินไปแล้ว
“เฝ้าอยู่นอกเมืองครึ่งเดือนกว่าโดยไม่ไปไหนเหรอ?”
ที่ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่ได้ฟังรายงานอึ้งไปครู่เดียว จากนั้นก็ส่ายหน้าหลุดขำ “ชัดเจนว่าเขากำลังวางรูปแบบสถานการณ์ว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ล้มเลิก”
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยนอยู่ข้างล่างยิ้มเจื่อน “ตอนนี้เขาไม่ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์โดยรวมของทั้งตลาดสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ พวกขุนนางใหญ่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่การที่เขาเฝ้าอยู่อย่างนั้น ตราบใดที่เฝ้าไปอีกหนึ่งวัน ร้านค้าพวกนั้นก็ไม่กล้าเริ่มประกอบกิจการไปอีกหนึ่งวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกวัน ร้านค้าพวกนั้นก็เสียหายไปไม่น้อยเลย คาดว่าใกล้จะแบกรับไม่ไหวแล้ว”
“เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ ลูกลิงน้อยทำแบบนี้เสียหายไปหน่อยนะ” ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ
ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ย้ายเขาออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ล้อมตลาดสวรรค์ไว้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เป็นไปได้สูงว่าโพ่จวินก็กำลังรอดูละครสนุกๆ เหมือนกัน”
“เรื่องนี้ต่อเนื่องไม่นาน คาดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าพวกนั้นกำลังจะโต้ตอบแล้ว หวังว่าโพ่จวินจะแยกแยะความสำคัญได้ อย่าทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต” ประมุขชิงกล่าว
ที่หน้าน้ำตกริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ขณะมองตามเงาคนเหาะขึ้นฟ้าจากไปไกล เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังก็ถอนหายใจเบาๆ อวิ๋นจือชิวไปแล้ว!
ทั้งสองอยู่กระหนุงกระหนิงกันสามวัน สุดท้ายก็ยังต้องจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อวิ๋นจือชิวนำคนของร้านโฉมเมฆาจากไปด้วยกัน
หลังจากเงียบงันอยู่นาน เหมียวอี้ถึงได้ออกจากภูเขากลับมาในค่ายทัพกลางที่อยู่นอกประตูเมืองตะวันออก เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ด้านนอกก็มีคนมารายงานว่า “ฝูชิงผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขอพบ”
เหมียวอี้ยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าให้เชิญเข้ามา
รอสักสักประเดี๋ยว ฝูชิงก็เดินก้าวยาวเข้ามา พอเจอหน้าก็ถามว่า “เจ้าห้า ทำไมพวกน้องสะใภ้ขายร้านทิ้งหมดเลยล่ะ?”
“ไปกันหมดแล้ว” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
“ไปที่ไหน?” ฝูชิงประหลาดใจ
เหมียวอี้โบกมือส่ายหน้า แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนไม่อยากพูดมาก
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีก “ผู้จัดการร้านเยี่ยนแห่งร้านค้าเจ็ดอารมณ์ของขอพบขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา แล้วเรียกสวีถังหรานกับหยางชิ่งมาด้วย” เหมียวอี้ถาม
ฝูชิงขมวดคิ้ว เดินมาข้างๆ แล้วนั่งลง เห็นได้ชัดว่าอยากจะเห็นว่าผู้จัดการร้านเยี่ยนถ่อมาทำอะไรที่นี่ เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าเจ็ดอารมณ์นี้ก็คือจวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เรียกได้ว่าผูกความแค้นกับเหมียวอี้แบบฝังลึก ตอนนี้ถ่อมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร?
สวีถังหรานกับหยางชิ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้ามาคารวะในค่ายแล้ว ก็มายืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของเหมียวอี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็มาถึง เขากวาดสายตามองในค่ายแวบหนึ่ง กุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยคารวะผู้บัญชาการใหญ่หนิว คารวะผู้บัญชาการใหญ่ฝู คารวะนายท่านทั้งสอง”
“มีเรื่องอะไรมาพบข้า?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
…………………………