พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1377 แขวนไว้บนเสาธง
สภาพสะบักสะบอมจนจำไม่ได้ก็ว่าแย่แล้ว เสียงร้องไห้เปลี่ยนจากสะอึกสะอื้นกลายเป็นแหกปากคร่ำครวญ เป็นการร้องไห้เหมือนเจ็บปวดรวดร้าวใจ ไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ตาย
มองออกเลยว่าจ้านหรูอี้ที่กำลังร้องไห้ไม่ได้อยากร้องไห้ หลายครั้งที่พยายามจะยืนเพื่อยื่นมือไปหยิบอาวุธที่ลอยอยู่ข้างกาย แต่จนใจที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ร้องไห้อย่างเจ็บปวดถึงขนาดอาศัยวรยุทธ์ทั้งหมดของตัวเองก็ควบคุมได้ยาก เป็นเพราะเหมียวอี้วางยาในปริมาณที่มากเกินไป
สีแดงคืออารมณ์โกรธ สีเขียวคือโศกเศร้า สีฟ้าคือหวาดกลัว สีม่วงคือเคารพรัก สีส้มคือราคะ
ทุกคนไม่ถึงขั้นดูไม่ออกว่าเหมียวอี้วางยาอะไรไว้บนตัวจ้านหรูอี้ สีเขียวก็คือ ‘โศกเศร้า’ ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ‘อารมณ์โศกเศร้า’ ที่กลั่นเป็นของเหลวไว้เต็มขวดถูกใช้บนตัวจ้านหรูอี้หมดดแล้ว นี่ต้องใช้ลูกแก้วพลังปรารถนามากเท่าไรถึงจะหามาได้เยอะขนาดนี้ ไม่ร้องไห้ตายก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้ยกมือขึ้นขยุ้ม เก็บทวนวิเศษของจ้านหรูอี้เข้าในกำไลเก็บสมบัติของเขาแล้ว ก็ก็ก้าวเข้าไปดึงคอจ้านหรูอี้ขึ้นมา รีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของจ้านหรูอี้ ยกจ้านหรูอี้ที่ร้องไห้ครวญครางราวกับถือไก่ตัวหนึ่ง แล้วหันตัวกลับไปที่ดาวหกนิ้วโดยตรง
“หนิวโหย่วเต๋อ รีบปล่อยผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเรา” พวกคังเต้าผิงตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดร้อนใจ
“ถ้ายังกล้าบ่นอีก ก็จับมาให้ข้าให้หมด” เสียงแสยะหัวเราะของเหมียวอี้ดังก้องอยู่ในดาราจักร สวีถังหรานโบกมือทันที
เก่งแค่ไหนก็โดนสถานการณ์บีบบังคับ เมื่อเห็นกำลังพลกลุ่มหนึ่งประชิดเข้ามา พวกคังเต้าผิงก็จำต้องหุบปาก ไม่ค่อยกล้าพูดอะไรแล้ว
กำลังพลส่วนใหญ่ทยอยกันตามเหมียวอี้กลับดาวหกนิ้วไปแล้ว
เจ้าสำนักหกนิ้วไป๋หลันและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก พากันแอบเดาะลิ้น นี่ยังไม่ได้ประมือกันเท่าไรเลย ผู้บัญชาการใหญ่จ้านหรูอี้ของธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เป็นฝ่ายมาท้าสู้เอง ชั่วพริบตาเดียวก็โดนผู้บัญชาการใหญ่หนิวจับเป็นกลับไปแล้ว ได้ยินว่าเป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งด้วย ผู้บัญชาการใหญ่หนิวท่านนี้ช่างใจกล้านัก
เมื่อกลับมาในค่ายกลป้องกัน เฟยหงก็รีบก้าวตามหลังเหมียวอี้ทันที พวกหยางชิ่งก็ตามไปเช่นกัน ไม่รู้ว่าการที่เหมียวอี้หิ้วจ้านหรูอี้ที่ร้องไห้ค่ำครวญเพื่อจะทำโทษอย่างไร
จะลงโทษอย่างไรได้อีกล่ะ? เขาหิ้วจ้านหรูอี้กลับมาโยนลงบนพื้น แล้วสั่งให้ซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ค้นยึดของทุกอย่างบนตัวจ้านหรูอี้จนเกลี้ยง
ที่สำคัญคือต้องทำต่อหน้าฝูงชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย เขาสามารถเอาชนะจ้านหรูอี้ได้ แต่ชายหญิงมีความแตกต่างกัน เขาไม่สะดวกจะค้นตัวจ้านหรูอี้เอง เรื่องบางเรื่องก็ต้องดูตามหลักความเป็นจริง ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังอะไร เหมียวอี้ก็จะลงมือไปเสียเลย แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งที่อยู่เบื้องหลังจ้านหรูอี้ก็ไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อย ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองชนะแล้ว เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองเช่นกัน
หลังจากค้นยึดสิ่งของบนตัวจ้านหรูอี้ไปหมดแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มมุมปากแอบขำ พูดได้เพียงว่าร่ำรวยแล้ว เมื่อของพวกนี้มาถึงมือตนแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าจะได้คืนกลับไปอีกเลย แน่นอน ของประจำตำแหน่งทางการของจ้านหรูอี้ก็ยังต้องคืนให้ แต่ของอย่างอื่นก็เลิกคิดไปได้เลย ใครใช้ให้ผู้หญิงคนนี้เป็นฝ่ายมาท้าทายก่อนเองล่ะ
ที่จริงตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจกับการต่อสู้ระหว่างตัวเองกับจ้านหรูอี้สักเท่าไร ในปีนั้นที่ประมือกับจ้านหรูอี้ ก็รู้แล้วว่าศักยภาพของจ้านหรูอี้นั้นดูถูกไม่ได้ ในปีนั้นที่เอาชนะได้ล้วนเป็นเพราะจ้านหรูอี้ประมาท ไม่ใช่เพราะทวนเดียวของตนมีอานุภาพมากมายอะไรนัก ไม่ได้ตรวจสอบจึงโดนตนโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส
ใคจะคิดว่าครั้งนี้จะยิ่งทำให้เหมียวอี้เหนือความคาดหมาย ขนาดเขาเองก็แอบรู้สึกขำ ยังไม่ทันได้ประมือแบบจริงๆ จังๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะจับเป็นจ้านหรูอี้ได้แล้ว เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ดี
พอค้นของบนตัวหมดเกลี้ยงแล้ว จ้านหรูอี้ก็โดนคนหิ้วขึ้นมาอีก ถูกจับมัดเอาไว้แล้ว กำลังห้อยอยู่บนเสาธง ตำแหน่งด้านบนที่อยู่ห่างกันครึ่งจั้งก็คือธงพยัคฆ์ดำที่ปลิวสะบัดตามลม จ้านหรูอี้ที่โดนถอดเกราะรบกำลังร้องไห้ ร้องแบบครวญคราง!
กำลังพลทัพกลางที่เห็นฉากนี้ร่าเริงทันที ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้อวดดีแทบตาย ทั้งยังจะให้พวกเขาเดินอ้อมเวลาเห็นคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วย นึกไม่ถึงว่าคนปากจัญไรจะโดนกรรมตามสนองเร็วขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนแขวนประจานอยู่ใต้ผืนธงของธงพยัคฆ์ดำ อยากจะตบหน้าธงพยัคฆ์ดำแต่ก็ตบไม่ได้ กลับกลายเป็นตบหน้าตัวเองแทน ช่างน่าสนุกจริงๆ ครั้งนี้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเสียหน้าหมดแล้ว
คนที่ไม่ได้ออกไปดูการต่อสู้ไปถามเรื่องนี้กับคนที่ได้ออกไปดูทันที เป็นผู้บัญชาการใหญ่จับได้เหรอ?
หยางชิ่งที่ยืนอยู่นอกลานบ้านเอามือไขว้หลังมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอียงหน้าพูดกับหยางเจาชิงที่อยู่ข้างกันว่า “วิธีการของนายท่านสุดโต่งเกินไป เบื้องบนไม่ให้ฆ่าจ้านหรูอี้ แต่นายท่านกำลังกดดันให้จ้านหรูอี้ตายเอง!”
หยางเจาชิงกลับไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้น
ขณะที่มองดูจ้านหรูอี้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างบน เสวี่ยหลิงหลงก็ดึงแขนสวีถังหรานที่กำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา นางชี้จ้านหรูอี้พร้อมถามอย่างสงสัยว่า “นายท่าน จ้านหรูอี้เป็นอะไรไปแล้ว? แพ้ให้กับผู้บัญชาการใหญ่แล้วใช่มั้ย?”
สวีถังหรานได้ยินแล้วขำขัน หันกลับไปมองเงาคนบนเสาธง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เป็นใครล่ะ นั่นคือคนที่สามารถกลิ้งออกมาจากคลื่นลม พลิกฝ่ามือควบคุมเมฆได้นะ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ประเมินกำลังตัวเองเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามาหาเรื่องผู้บัญชาการใหญ่ ในปีนั้นที่แดนอเวจีก็สู้ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้แม้แต่ทวนเดียวด้วยซ้ำ เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วยังไม่รู้จักหลาบจำกับบทเรียนอีก ยังกล้าเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ครั้งนี้ก็ยิ่งเคราะห์ร้ายแล้ว ไม่มีสิทธิ์จะสู้กับผู้บัญชาการใหญ่ด้วยซ้ำ โดนผู้บัญชาการใหญ่ตบหมอบซะแล้ว ยังคิดจะให้คนของธงพยัคฆ์ดำเจอพวกเขาแล้วเดินอ้อมอีกเหรอ ครั้งนี้เล่นเกินขอบเขตไปแล้วทั้ง ผู้บัญชาการใหญ่จึงจับนางแขวนประจานไว้บนเสาธงของธงพยัคฆ์ดำเสาธงเสียเลย ไม่ว่านางจะพูดอะไรออกมา ก็ให้นางกลืนคำพูดนั้นไปเองแล้วกัน นี่เป็นการการตบหน้าชัดๆ คาดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ใช้วิธีนี้ได้โหดทีเดียว จุจุ”
“ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสู้ก็โดนตีหมอบแล้ว หมายความว่ายังไง?” เสวี่ยหลิงหลงแปลกใจ
สวีถังหรานไม่พูดต่อ กลับหยิบระฆังดาราที่มีคนส่งข่าวขึ้นมาฟัง หลังจากเข้าใจแล้วก็ขมวดคิ้ว “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรก็ค่อยคุยกันทีหลัง ข้าจะไปหาผู้บัญชาการใหญ่สักเที่ยว” พูดจบก็รีบก้าวออกไป เสวี่ยหลิงหลงรีบก้าวตาม ไปส่งเขาออกประตูลานบาน
ผ่านไปไม่นาน ในท้องฟ้าไกลๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอย่างมโหฬารพันลึก สัญลักษณ์ธงก็คือธงพยัคฆ์น้ำเงิน。
กำลังพลสามหมื่นเหาะลงมาจากฟ้า กำลังลอยอยู่นอกค่ายกลป้องกัน ทำท่าชักกระบี่ง้างหน้าไม้เพื่อมาช่วยชีวิตคน แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขานึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตัวเองจะมีสภาพเป็นแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนจับแขวนอยู่บนเสาธงพยัคฆ์ดำและกำลังร้องไห้ไม่หยุด
กำลังพลทัพกลางธงพยัคฆ์ดำที่อยู่ในค่ายกลป้องกันทำท่าเหมือนสบายอกสบายใจ มีคนไม่น้อยชี้มาที่คนของธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วยสีหน้าเยาะเย้ย เหมือนไม่กลัวว่าพวกที่ฝั่งพวกเขาคนเยอะกว่าเลยสักนิด และก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยจริงๆ ว่ากันว่าถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน เจ้าบ้านของธงพยัคฆ์น้ำเงินกลายเป็นตัวประกันของพวกเขาแล้ว ใครกล้าขยับก็ลองดูสิ
พวกคังเต้าผิงที่ระดมพลมาแทบจะทนมองไม่ไหว นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะทำอะไรสุดโต่งขนาดนี้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงไม่เรียกคนอื่นๆ มาหรอก ให้คนอื่นๆ ของธงพยัคฆ์น้ำเงินเห็นฉากนี้แล้ว ในภายหลังจ้านหรูอี้ยังจะมีที่ยืนในธงพยัคฆ์น้ำเงินได้อย่างไร
ในขณะนี้ กำลังพลทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินได้เห็นภาพนี้แล้วก็เรียกได้ว่าอับอายเกินทน วันนี้นับว่าธงพยัคฆ์น้ำเงินเสียหน้าหมดแล้ว
“หนิวโหย่วเต๋อรังแกธงพยัคฆ์น้ำเงินเกินไปแล้ว!”
“จริงๆ เลย…เฮ้อ! วุ่นวายอะไรกัน ไม่มีความสามารถนั้นแล้วจะก่อเรื่องทำไม”
ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินเรียกได้ว่า ‘อับอายขวยเขิน’ ร้องตะโกนไปต่างๆ นาๆ ตำหนิธงพยัคฆ์ดำที่รังแกกันเกินไป คนที่บ่นจ้านหรูอี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน สิ่งที่ยิ่งทำให้คนรำคาญใจกว่านั้นก็คือ ผู้บัญชาการใหญ่จ้านกำลังร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด ฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีคนที่อยากจะยิงจ้านหรูอี้ให้ตายไปเสียเลย ตายแล้วปัญหาทุกอย่างจะได้จบ
“พอแล้ว!” คังเต้าผิงตะคอก ข่มกำลังพลฝ่ายตัวเองที่กำลังวุ่นวาย แล้วกันมาตะโกนบอกค่ายกลป้องกันที่อยู่ตรงหน้าว่า “คนของธงพยัคฆ์ดำฟังให้ดีนะ ปล่อยผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเราเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าโทษที่พวกเราพังทำลายค่ายกล!”
“ปล่อยคน!”
“ปล่อยคน!”
“ปล่อยคน!”
กำลังพลสามหมื่นร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนพร้อมกัน เสียงดังก้อนสะเทือนฟ้าดิน สะเทือนจนฝุ่นบนผิวดินกระเพื่อมขึ้นมา เป็นพลังอันน่าทึ่งตกตะลึง
ศิษย์สำนักหกนิ้วที่อยู่สองฝั่งแม้น้ำอกสั่นขวัญผวา รู้สึกได้ว่าศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว กลัวว่าฝั่งตัวเองจะซวยติดร่างแหไปด้วย
ทว่า จู่ๆ ในค่ายกลป้องกันก็มีเสียงของสวีถังหรานดังขึ้นอย่างไม่หวาดกลัวอะไร “ทหาร ถือแส้ขึ้นไป ถ้าข้างนอกมีเสียงตะโกนหนึ่งครั้ง ก็เฆี่ยนคนบนเสาธงหนึ่งครั้ง”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทัพใหญ่สามหมื่นข้างนอกก็อ้าปากค้าง ถ้าฆ่าจ้านหรูอี้ให้ตายไปเสียเลยก็ว่าไปอย่าง นี่จับมาแขวนเฆี่ยนอยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วจะให้พวกเขาทนความรู้สึกได้อย่างไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทหารเลวคนหนึ่งถือแส้เหาะขึ้นไป เหาะไปอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้ที่อยู่ใต้ธง สะบัดแส้ในมือรอ รอให้คนข้างนอกตะโกนอีกครั้ง
เสียงที่ผ่อนคลายของสวีถังหรานดังขึ้นอีกครั้ง “ข้างนอกฟังข้านะ อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้า ทัพใหญ่ธงพยัคฆ์ดำของข้าอยู่ระหว่างทางกลับแล้ว ถ้าพวกเจ้าไม่ไปตอนนี้ อีกประเดี๋ยวเกรงว่าจะไปไม่ได้แล้ว เป็นพวกเจ้าที่รวมตัวกันท้าทายเพื่อนทหาร อีกประเดี๋ยวถ้าพวกเราโจมตีกลับ ล้อมพวกเจ้าเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
“แล้วที่พวกเจ้าแขวนผู้บัญชาการใหญ่ของเราไว้ที่นี่ ไม่เป็นการท้าทายเพื่อทหารรึไง?” คังเต้าผิงตะโกนถาม
สวีถังหรานขี้เกียจแม้กระทั่งโผลหน้า ตอบกลับไปว่า “เป็นใครกันที่ต้องการให้พี่น้องธงพยัคฆ์ดำเห็นคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้วเดินอ้อม เจ้าไม่มีหูรึไง? เป็นใครกันที่ถ่อมาท้าสู้ก่อน เป็นใครกันที่ดึงดันจะประลองเดี่ยวกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเราให้ได้ ใครกันที่ต้องการจะสร้างความอับอายให้ธงพยัคฆ์ดำ ตาเจ้าไม่ได้บอดละมั้ง? ต่อให้พวกเจ้าพูดจนปากฉีก ฝั่งพวกเราก็มีเหตุผลมากกว่า ถึงอย่างไรพวกเราก็เมตตาเต็มที่แล้ว ถ้าพวกเจ้าไม่ไปตอนนี้ อีกประเดี๋ยวอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจนะ ถ้ายั่วยุเกิดสงครามขึ้นมา พวกเราก็ไม่ต้องรับผิดชอบสักนิดเลย”
คังเต้าผิงย่อมรู้ว่าเรื่องนี้จ้านหรูอี้เป็นคนท้าทายก่อน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ห้ามไม่ไหว!
ด้านนอกค่อนข้างชักช้าลังเล เขาเองก็ดูออกเช่นกัน อาศัยแค่พวกเขาไม่มีทางช่วยจ้านหรูอี้ออกมาได้ ทำได้เพียงขอให้เบื้องบนช่วยแก้ไขปัญหา ถ้ารอต่อไปอาจจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ภายใต้ความอับจนหนทาง เขาทำได้เพียงรีบระดมพลให้ถอนทัพ แล้วรอให้เบื้องบนแก้ไขปัญหา
กำลังพลกลุ่มใหญ่ถอยไปแล้ว มีลูกน้องคนสนิทสองคนของจ้านหรูอี้ที่ยังอยู่ คอยเฝ้าอยู่บนภูเขาด้านนอก ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นจะได้ติดต่อกับทางตระกูลจ้านได้ทัน
ในตอนนี้ตระกูลจ้านได้ข่าวจากฝั่งนี้แล้ว เรียกได้ว่าแตกตื่นเป็นมดซ่านบนหม้อร้อน พวกเขาเองก็ไม่มีอำนาจจะไปสั่งให้คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายทำอะไรได้
สองชั่วยามหลังจากนั้น ทัพใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำก็รวมตัวกันมาถึงแล้วเช่นกัน ผู้บัญชาการธงอินทรีรวมตัวกันไปคารวะเหมียวอี้ในค่ายกลป้องกันของทัพกลาง พอเห็นคนที่อยู่บนเสาธงก็แปลกใจนิดหน่อย ลิ่งหูหลานจื่อเรียกทหารเลวคนหนึ่งเข้ามา แล้วชี้เสาธงพร้อมถามว่า “คนคนนั้นเป็นใคร ทำไมไปร้องไห้อยู่บนเสาของธงพยัคฆ์ดำ?”
ทหารเลวหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่จ้านหรูอี้ของธงพยัคฆ์น้ำเงิน ดึงดันจะหาเรื่องใส่ตัว มาท้าประลองเดี่ยวกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเรา ผลก็เป็นอย่างที่เห็นขอรับ”
“หา! จ้านหรูอี้? นี่…เอ่อ…” ผู้บัญชาการหลายคนตกใจ ตกใจจนแทบจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปแล้ว
“รีบบอกมาว่ามันเรื่องอะไรกันแน่?” หวังลี่คุนรีบถาม
“นางดึงดันจะประลองเดี่ยวกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเราให้ได้…” ทหารเลวเล่าสถานการณ์ให้ฟังรอบหนึ่ง
พอได้ยินว่าจ้านหรูอี้ต้องการจะให้คนของธงพยัคฆ์ดำเดินอ้อมหลบเมื่อเจอคนของธงพยัคฆ์น้ำเงิน พวกผู้บัญชาการก็พากันหัวเราะเยาะทันที รู้สึกสมน้ำหน้าจ้านหรูอี้ทันที เพียงแต่วิธีการนี้ของผู้บัญชาการใหญ่อาจจะโหดเกินไปหน่อย!
จ้านหรูอี้ยังคงร้องไห้อยู่บนเสาธงไม่หยุด แต่เมื่อเสียงนั้นมาถึงหูของกำลังพลธงพยัคฆ์ดำ ทำไมมันฟังดูไพเราะเสนาะหูอย่างนั้นล่ะ?
…………………………