พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1378 แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเถอะ
“อะไรนะ?”
กองมังกรดำ เนี่ยอู๋เซี่ยวกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว พอได้ยินข่าวก็อุทานถามอย่างตกใจ เขาลุกพรวดขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่แทบจะถลันออกมาแล้ว “เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจับจ้านหรูอี้แขวนประจานคนบนเสาธงพยัคฆ์ดำเหรอ?”
“ใช่ขอรับ!” โป๋เยวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ ด้วยใบหน้าขื่นขม สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางนี้สั่งไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อฆ่าจ้านหรูอี้ แต่หนิวโหย่วเต๋อทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกดดันให้จ้านหรูอี้ตาย! ต่อให้ปล่อยจ้านหรูอี้ไปแล้ว แต่จ้านหรูอี้มีจิตใจที่หยิ่งผยองอวดดีแบบนี้ จะทนรับการโจมตีแบบนี้ไหวได้ยังไง ยังจะมีหน้ามีชีวิตต่อไปได้อีกเหรอ? ถ้าพูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จ้านหรูอี้ไม่มีหน้าจะอยู่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อไปได้แล้ว เขากำลังตบตากดดันให้จ้านหรูอี้ออกไป จ้านหรูอี้จะได้ไม่ต้องมาหาเรื่องเขาบ่อยๆ”
“เจ้าหมอนี่…ลูกหลานผู้มีอำนาจคนหนึ่งที่ไม่เคยผ่านอุปสรรคอะไรมาก่อนสู้กับพวกไม่กลัวตายที่กล้าพลิกเมฆคว่ำฝนที่ตลาดสวรรค์ ก่อนหน้านี้ข้าก็กังวลนิดหน่อย ว่าจ้านหรูอี้สู้กับเขาแล้วอาจจะเสียเปรียบ ให้เจ้าวาดเส้นตายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ผลปรากฏว่ายังป้องกันไม่ไหว ยอมใช้ทุกวิธีการเพื่อกดดันให้จ้านหรูอี้ออกไป! เบื้องบนส่งสองคนนี้เป็นแบบนี้มาที่กองมังกรดำ มันช่าง…” เนี่ยอู๋เซี่ยวถอนหายใจ แล้วโบกมือบอกว่า “ได้เปรียบไปแล้ว ได้หน้าได้ตาไปแล้ว เจ้าบ้านั่นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปแล้ว ให้เขารีบปล่อยคน ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินที่สง่าภูมิฐานโดนแขวนอยู่บนเสาธงพยัคฆ์ดำ มันเรื่องเสียที่ไหนกัน”
“เขาไม่ยอมปล่อย!” โป๋เยวตอบอย่างจนใจ
เนี่ยอู๋เซี่ยวหันขวับ แล้วถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เขากล้าขัดคำสั่งเหรอ?”
โป๋เยวตอบว่า “ก็ไม่ใช่การขัดคำสั่งหรอกขอรับ เขาบอกว่า ถ้าจ้านหรูอี้ต้องการจะสู้ตายกับเขาขึ้นมา เขาก็ย่อมต้องปกป้องตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีมีทางปล่อยให้จ้านหรูอี้เข่นฆ่า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับจ้านหรูอี้ เรื่องนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว”
“…” เนี่ยอู๋เซี่ยวพูดไม่ออก คิดไปคิดมาเขาก็รู้เช่นกัน ด้วยนิสัยหยิ่งผยองอวดดีของจ้านหรูอี้ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อปล่อยนาง นางไม่สู้ตายก็แปลกแล้ว เกรงว่าจะสมปรารถนาหนิวโหย่วเต๋อพอดี จะได้ถือโอกาสเอาชีวิตจ้านหรูอี้ได้สะดวก ถึงตอนนั้นตัวจ้านหรูอี้อยู่ในทัพกลางธงพยัคฆ์ดำ จะยังมีชีวิตได้อยู่อีกเหรอ
เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้ก็เพื่อปัดความรับผิดชอบไว้ก่อน! เนี่ยอู๋เซี่ยวส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าเวรนี่…อย่าให้เกิดเรื่องอะไรจะดีกว่า เจ้าไปด้วยตัวเองสักเที่ยวเถอะ พาคนไปเยอะๆ หน่อย อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นกับจ้านหรูอี้ จ้านหรูอี้หัวสูงแต่ฝีมือต่ำ ไม่มีทางเล่นชนะหนิวโหย่วเต๋อได้ จำเป็นต้องรับประกันความปลอดภัยของนาง ไม่ว่าจะนางจะเป็นหรือตาย ก็จะให้อยู่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อไปไม่ได้แล้ว นั่นเป็นเรื่องของนาง หลังจากออกจากที่นี่ไปแล้ว นางจะเป็นจะตายอย่างไรก็ได้ สรุปก็คืออย่ามาตายบนอาณาเขตกองมังกรดำให้พวกเราเดือดร้อน”
“รับทราบ!” โป๋เยวเอ่ยรับ แล้วบอกอีกว่า “ที่จริงจ้านหรูอี้ไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี เห็นได้ชัดว่านางตามมาเพื่อล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อ ถ้านางไปแล้ว กองมังกรดำของพวกเราก็จะสงบเงียบแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าวุ่นวายต่อไปก็ไม่รู้จะจบเมื่อไร จะว่าไปแล้วหนิวโหย่วเต๋อก็ทำเรื่องที่ดีขอรับ” เขายังลำเอียงเข้าข้างเหมียวอี้ เพราะก่อนหน้านี้ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนส่งข่าวมาบอกเขาแล้ว ว่าจ้านหรูอี้กำเริบเสิบสานเกินไป น่ารังเกียจเกินไปแล้ว
เนี่ยอู๋เซี่ยวพยักหน้าเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “รีบไปจัดการ คนยังแขวนอยู่บนเสาธงตลอด เบื้องล่างจะปะทะกันภายในจนวุ่นวายขนาดไหน ถ้าข่าวแพร่ออกไปกองมังกรดำก็จะมีชื่อเสียงไม่ดี”
“ขอรับ!” โป๋เยวกล่าวขอตัวแล้วจากไป
“อะไรนะ? แขวนอยู่บนเสาธงเหรอ?”
ประมุขชิงเดินเล่นเนิบนาบอยู่ในวังสวรรค์ พอได้ยินข่าวก็หยุดฝีเท้า หันกลับมามองซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างหลังด้วยสีหน้างงงัน
ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ให้ฟังรอบหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พูดสรุป “ยังไม่ได้ประมือกันซึ้งๆ หน้าเลย แค่เผชิญหน้ากันไม่กี่ครั้ง หนิวโหย่วเต๋อก็โยนของวิเศษสองสามชิ้นออกไปวางกับดักนางแล้ว”
ประมุขชิงเดินช้าๆ ไปข้างหน้าต่อ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “นางหนูนั่นตาไม่ค่อยมีแววเลย ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าลูกลิงนั่นใช้วิธีการกระโดดขึ้นกระโดดลง กล้าหลับหูหลับตาพุ่งเข้าใส่โดยไม่เตรียมตัวให้เต็มที่ นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนเดินตามหลัง “เป็นเพราะโดนความแค้นทำให้สมองเลอะเลือน หรือไม่ก็สำคัญตัวผิดจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ไม่เคยรับความลำบากขื่นขมแบบจริงจังมาก่อน เพียงแต่ว่า จ้านหรูอี้นั่นโดนทรมานจนสะบักสะบอมขนาดนี้ เกรงว่าจะชื่อเสียงไม่ดี เรื่องเข้าวัง…” เขายังพูดไม่ทันจบ
แต่ประมุขชิงเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ตราบใดที่ไม่เสียความบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นไร เสียเปรียบมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร หวังว่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วกัน ถ้าไม่เฉลียวฉลาดขึ้นสักหน่อย แล้วจะมีที่ยืนในวังหลังได้อย่างไร? วังหลังเป็นสถานที่ที่กินคนไม่คากระดูกนะ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่พูดอะไรอีก ในใจแอบทอดถอนใจแทนเหมียวอี้ ฝ่าบาทดึงดันจะแต่งตั้งจ้านหรูอี้ให้เป็นสนมโปรด หนิวโหย่วเต๋อล่วงเกินจ้านหรูอี้ยับเยินขนาดนี้ หากวันใดจ้านหรูอี้กลายเป็นสนมโปรดของฝ่าบาท ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อถึงเวลานั้นหนิวโหย่วเต๋อจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…
“วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง!”
ณ จวนอ๋องสวรรค์อิ๋งที่กว้างใหญ่ไพศาล ในตำหนักประชุม อ๋องสวรรค์อิ๋งอิ๋งจิ่วกวงโบกมือตะคอกอย่างเดือดดาล โมโหจนเดินไปเดินมาไม่หยุด โมโหจนส่ายหน้าบอกว่า “เสียหน้านัก! ถ่อไปหาเรื่องเขาแต่โดนเขาจับแขวนบนเสาธง ตระกูลอิ๋งเสียหน้าเพราะพวกเจ้าหมดแล้ว!” ให้ความรู้สึกเหมือนโมโหจนขนและหนวดจะตั้งขึ้นมา
เบื้องล่างเป็นสตรีวัยกลางคนที่กำลังยืนด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ นางเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวหมดจด หน้าตางดงามมีเสน่ห์ หน้าตาคล้ายจ้านหรูอี้อยู่เจ็ดส่วน มีรูปร่างสูงสง่าเช่นเดียวกัน ดูโตกว่าจ้านหรูอี้ไม่เท่าไร แต่ให้ความรู้สึกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่กว่าจ้านหรูอี้ นางคืออิ๋งลั่วหวน มารดาของจ้านหรูอี้นั่นเอง
“ท่านพ่อ หรูอี้ไม่อยากให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้า ถึงได้ไปหาเรื่องเจ้าเวรนั่น แต่เจ้าเวรนั่นเจ้าเล่ห์เกินไป หรูอี้ถึงได้เสียเปรียบ” น้ำเสียงของอิ๋งลั่วหวนเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
“เจ้า…ตระกูลอิ๋งจำเป็นต้องให้ลูกสาวของคนที่แต่งงานออกไปแล้วแบบเจ้ามาออกหน้าให้ด้วยเหรอ? พวกเจ้าสร้างปัญหาให้น้อยๆ หน่อยตระกูลอิ๋งก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว” อิ๋งจิ่วกวงหันตัวมา ปลายนิ้วแทบจะจิ้มหน้าอิ๋งลั่วหวน “พ่อแม่รังแกฉัน! แบบนั้นเรียกว่าเจ้าเล่ห์อะไรกัน เจ้ายังมีสมองอยู่มั้ย หนิวโหย่วเต๋อนั่นเริ่มต้นมาจากทหารต่ำต้อย ภายใต้ความอับจนก็สังหารฝ่าหนทางให้ตัวเอง ประสบการณ์โชกโชน เดินมาถึงวันนี้ได้โดยไม่มีที่พึ่งใดๆ ขนาดข้าที่เป็นพ่อเจ้ายังต้องชมเขาเลย เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปดูถูกเขา? แค่เพราะตระกูลเจ้ามาจากกองเงินกองทองเหรอ เด็กสาวที่หัวสูงแต่ฝีมือต่ำ สำคัญตัวผิด ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะถือรองเท้าให้อีกฝ่ายด้วยซ้ำ คิดว่าอาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของตัวเองแล้วจะกร่างไปทั่วแผ่นดินได้แล้วเหรอ? ไร้ความรู้! โง่เง่า! ไม่ทันได้เตรียมตัวก็ถ่อไปประลองกับอีกฝ่าย ตอนนี้สูงส่งพอรึยังล่ะ ให้เขาแขวนไว้บนเสาธงสูงส่งเชียว!”
“ท่านพ่อ!” จู่ๆ อิ๋งลั่วหวนก็กอดแขนอิ๋งจิ่วกวง ตระกูลอิ๋งมีคนทำแบบนี้น้อยมาก แต่ผู้หญิงอย่างนางกลับเป็นข้อยกเว้น นางออดอ้อนด้วยความคับแค้นใจ “ถึงอย่างไรหรูอี้ก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน โดนคนรังแกจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ท่านจะไม่สนใจไม่ได้หรอก ลูกเข้าไปแทรกแซงที่หน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ได้ ไม่ว่ายังไงท่านก็ต้องช่วยลูกสาวระบายความโกรธนี้นะ”
อิ๋งจิ่วกวงสะบัดแขน แล้วกล่าวอย่างโมโห “เจ้าคิดว่าบิดาเจ้าเป็นคนสร้างตำหนักสวรรค์เหรอ คิดว่าอยากจะทำอะไรก็ทำได้รึไง? หน่วยองครักษ์ซ้ายใช่ที่ที่ตระกูลอิ๋งจะลงมือได้ตามอำเภอใจเหรอ?”
อิ๋งลั่วหวนตาแดงก่ำทันที หันตัววิ่งออกไปแล้ว ตอนที่หันหลังให้ก็กล่าวเสียงสะอื้นว่า “ท่านแม่! พอท่านจากไปก็ไม่มีใครรักลูกสาวคนนี้แล้ว ลูกช่างน่าสงสาร โดนคนรังแกก็ยังไม่มีใครสนใจ…”
อิ๋งจิ่วกวงกระตุกมุมปาก แล้วตะคอกถาม “หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้าจะไปไหน?”
อิ๋งลั่วหวนหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าจะยังไปไหนได้ล่ะ ลูกผู้หญิงที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป หรูอี้ได้รับความอัปยศแบบนี้ เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ลูกก็ต้องกลับไปรอรับศพหรูอี้อยู่แล้วล่ะ”
อิ๋งจิ่วกวงชี้นางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ พยามระงับความโกรธให้สงบลง ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “จ้านผิงผู้ชายของเจ้าไปไหนแล้วล่ะ ทำไมให้เจ้ามาคนเดียว?”
อิ๋งลั่วหวนบ่นว่า “เกลี้ยกล่อมทางหรูอี้ไม่ไหว พอจ้านผิงได้ยินก็กลัวว่าจะเกิดเรื่อง จึงไปหาหรูอี้ด้วยตัวเองแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปช้าเกินไป ยังคงเกิดเรื่องขึ้นเหมือนเดิม”
อิ๋งจิ่วกวงเอามือลูบเครา หลังจากหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า “เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้ให้ดี เตรียมให้หรูอี้แต่งงานเถอะ เรื่องเกลี้ยกล่อมหรูอี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ง”
“แต่งงานเหรอ?” อิ๋งลั่วหวนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่เจ็บปวดรวดร้าวใจแล้ว กลับรีบเดินไปตรงหน้าเขา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “หรูอี้แต่งงาน แต่งกับใครคะ?”
อิ๋งจิ่วกวงเหล่ตามองพร้อมบอกว่า “ยังจะแต่งกับใครได้อีกล่ะ? วันนี้นางกลายเป็นแบบนี้แล้ว ชื่อเสียงเสียหายแล้ว ผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมาแต่งงานกับนาง หรือเจ้าอยากจะให้ลูกสาวแต่งงานออกไปแล้วโดนตระกูลผู้ชายตำหนิวิจารณ์ลับหลัง? ถ้าไม่แต่งงานแล้วให้อยู่ในบ้านต่อไป ก็จะก้าวข้ามความรู้สึกผิดไม่ได้ แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วกัน”
“อะไรนะ? แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อหรอ?” อิ๋งลั่วหวนอุทานอย่างตกใจ “ท่านพ่อ ท่านไม่ได้แก่จนเลอะเลือนใช่มั้ย?”
อิ๋งจิ่วกวงตะคอกตำหนิว่า “เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ? หรูอี้จิตใจหยิ่งยโส ผู้ชายทั่วไปสยบนางไม่ได้หรอก เจ้าเองก็เห็นแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจัดการนางได้เหมาะสมกันพอดี นางเสียเปรียบรับความอัปยศด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่แค่จะหลบเลี่ยงคำนินทาได้ ในตอนหลังจะกลับกลายเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ข้ากำลังช่วยลูกสาวเจ้า ไม่ได้ทำร้ายนาง แล้วอีกอย่าง ข้าก็ได้ยินมาว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาไม่ได้แย่ เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เป็นบุคคลอัจฉริยะโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน เจ้าสงบจิตสงบใจแล้วคิดดูให้ดีๆ เจ้าเด็กคนหนึ่งที่สามารถหักหน้าขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักได้ ทั้งใต้หล้านี้มีเขาคนที่สองอีกมั้ย? เจ้าเด็กนี่เป็นดาวเด่นเหมือนหงส์มังกรในฝูงมนุษย์ นอกจากจะห้าวหาญชำนาญรบ ยังเป็นคนที่มีทั้งความฉลาดและกล้าหาญแบบที่หาได้ยากด้วย ถ้าได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอิ๋งของข้า อนาคตก็จะยาวไกลไร้ขอบเขต จะต้องเก่งกว่าผู้ชายของเจ้าแน่ ลูกเขยดีๆ แบบนี้ต่อให้จุดโคมไฟหายังหาไม่ได้เลย ในภายหลังถ้ากลุ่มฮูหยินชั้นสูงอย่างพวกเจ้าเอ่ยถึงเวลาคุยกัน พอเจ้าบอกว่าลูกเขยเจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังที่บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตัดหัวข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจทั้งราชสำนัก คนอื่นก็จะมีแต่อิจฉาเจ้า เจ้ายังมีอะไรไม่น่าพอใจอีก?” น้ำเสียงของประโยคท้ายฟังดูแปลกๆ นิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือแววตาก็ล้วนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลอกลวงคน
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักลูกสาวตัวเองอีก รู้ว่าต้องมืออย่างไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อได้ยินแบบนี้ อิ๋งลั่วหวนก็แววตาวูบไหว ในดวงตาฉายแววจินตนาการเพ้อฝันเล็กน้อย เหมือนกำลังวาดฝันถึงภาพที่ตัวเองกำลังอวดลูกเขยอยู่ท่ามกลางกลุ่มฮูหยินจนคนอื่นๆ อิจฉา
แต่ก็สมกับเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ เรื่องบางเรื่องที่ผ่านหูผ่านตามาเยอะก็ไม่ทำให้นางอ่อนต่อโลกเหมือนกัน หลังจากได้สติกลับมา ก็เหลือบมองอิ๋งจิ่วกวงแล้วแสยะยิ้ม “ท่านพ่อ ทำไมข้ารู้สึกว่าที่ท่านบอกว่าท่านคำนึงถึงหรูอี้เป็นเรื่องโกหกล่ะ ที่ชอบหนิวโหย่วเต๋อก็เพราะอยากจะฉวยโอกาสรับหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาใช้งานในตระกูลอิ๋งมากกว่ามั้ง? ท่านคงไม่ได้เห็นหลานสาวของตัวเองเป็นเครื่องมือให้ใช้ประโยชน์หรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกท่านให้นะ ถ้าท่านทำแบบนี้จริงๆ ข้าก็ไม่ตอบตกลงหรอก!”
อิ๋งจิ่วกวงจึงบอกว่า “เรื่องนี้สำคัญด้วยเหรอ? ถ้ามันขัดหูขัดตาเจ้าจริงๆ ข้าก็ไม่ฝืนใจ เดี๋ยวต่อไปถ้ามีคนอื่นมาแย่งไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
…………………………