พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1380 ไปดูตัว
บทที่ 1380 ไปดูตัว
เรื่องบางเรื่องสามารถจินตนาการได้ ต่อให้จะไม่กล้ามาก่อเรื่องล้างแค้นที่กองทัพองครักษ์ แต่การที่จ้านฮูหยินถ่อมาถึงนี่ก็คงไม่ได้มาเพื่อขอบคุณเขาแน่นอน เป็นไปได้สูงว่าจะมาขู่คุกคาม แล้วเขาจำเป็นจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเหรอ? ย่อมไม่ให้เข้าพบอยู่แล้ว
“อะไรนะ? ไม่ยอมพบเหรอ? พวกเจ้าไม่ได้บอกหนิวโหย่วเต๋อเหรอว่าข้าคือใคร?”
ในดาราจักร อิ๋งลั่วหวนที่โดนขวางไว้รับแจ้งว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพบตน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่พบตน จึงถามด้วยความรู้สึกตกตะลึงมาก
ที่จริงทหารแลวที่ดักนางไว้ก็รู้สึกกดดันมาก นี่ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งเชียวนะ ทั้งใต้หล้านับว่าเป็นลูกหลานของผู้มีอำนาจได้ จึงตอบอย่างสุภาพเกรงใจว่า “จ้านฮูหยินขอรับ ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้ว ว่าพวกเราไม่มีทางยืนยันตัวตนของท่านได้ คนที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ก็ไม่อาจให้เข้าพบ!”
อิ๋งลั่วหวนตะคอกว่า “เหลวไหลสิ้นดี! แผ่นหยกคำสั่งอยู่นี่แล้วไง ทำไมยังยืนยันตัวตนไม่ได้อีก?” นางโบกแผ่นหยกในมือขณะที่พูด
“ตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกของท่าน ที่ฝั่งพวกเราไม่มีใครเคยเห็นสักคน และหาอะไรมามาเทียบไม่ได้ด้วยขอรับ ไม่มีทางตรวจสอบได้!” ทหารเลวกล่าว
“…” อิ๋งลั่วหวนพูดไม่ออก สงสัยจะเป็นเพราะระดับคำสั่งของตนสูงเกินไป คำสั่งของนางราชันสวรรค์เป็นผู้ประทับให้โดยตรง คนระดับล่างยังไม่มีทางยืนยันได้
ลูกน้องสิบกว่าคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังนางก็อึ้งเช่นกัน แต่ก็สามารถเข้าใจได้ ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ ที่อยู่ใต้สังกัดหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้จริงๆ
อิ๋งลั่วหวนบอกอีกว่า “งั้นเจ้าให้หนิวโหย่วเต๋อออกมาพบข้าก็ได้”
ทหารเลวตอบว่า “ท่านให้เกียรติข้าน้อยแล้วจริงๆ ข้าน้อยจะมีสิทธิ์อะไรเรียกให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปนั่นมาที่ ผู้บัญชาการใหญ่งานยุ่งมากขอรับ”
อิ๋งลั่วหวนเดือดดาลทันที นางลดศักดิ์ศรีถ่อมาไกลเพื่อพบผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ คนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ให้เข้าพบ ไม่น่าเชื่อว่าจะอ้างเรื่องงานยุ่งมาปฏิเสธนางอย่างขอไปที จึงตะคอกบอกว่า “ไปบอกหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ให้เขาโผล่หัวออกมา ไม่อ่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าบุกเข้าไปโดยตรง!”
พอกล่าวคำพูดนี้ออกมา ก็อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ลูกน้องที่ติดตามนางตกใจก่อนใคร แม่นมชราคนหนึ่งรีบก้าวขึ้นมาถ่ายทอดเสียงห้าม “ฮูหยิน ไม่ได้เด็ดขาด คนนอกจะบุกเข้าฐานประจำการของกองทัพองครักษ์ไมได้ หาเกิดเรื่องขึ้น แม้แต่อ๋องสวรรค์ก็จะปกป้องท่านไม่ได้เช่นกัน”
กลุ่มทหารยามของธงพยัคฆ์ดำมองหน้ากันเลิกลั่ก ทหารเลวยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “จ้านฮูหยิน ท่านเลิกทำให้พวกเราลำบากใจได้แล้ว ท่านคิดหาทางยืนยันตัวตนของท่านก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านฆ่าพวกเรา พวกเราก็ไม่กล้าปล่อยท่านไปอยู่ดี”
อิ๋งลั่วหวนพูดไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าการที่คนนอกบุกเข้าไปในฐานประจำการของหน่วยองครักษ์ซ้ายนั้นหมายความว่าอย่างไร ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่นางจะรับผิดชอบไหว ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะปกป้องนาง ก็ต้องแลกด้วยความชอกช้ำใจแน่นอน เพียงแต่อาศัยฐานะของนางก็ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนขวางไว้ นางรู้สึกไม่ยุติธรรมจริงๆ ต่อให้เป็นวังสวรรค์ ปกติแค่นางรายงานก็สามารถเข้าไปได้แล้ว ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ นี่ถือว่าตัวเองเป็นใครกัน
แต่กฎก็คือกฎ กฎบางอย่างไม่สามารถเลยเถิดได้
สุดท้ายก็ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ อิ๋งลั่วหวนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจ้านผิงผู้เป็นสามี ให้เขาคิดหาทาง
จ้านผิงเกลี้ยกล่อมไม่ให้วุ่นวายแล้ว แต่นางไม่ยอม ถ้าวันนี้เข้าไม่ได้แม้แต่ธงพยัคฆ์ดำเล็กๆ ตัวเองก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
จ้านผิงก็ไม่มีทางเหมือนกัน เรื่องนี้ต่อให้อ๋องสวรรค์อิ๋งเกลี้ยกล่อมก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้เดิมทีอ๋องสวรรค์อิ๋งก็จงใจจะส่งเสริมอยู่แล้ว เขาจึงทำได้เพียงติดต่อกับคนรู้จักในหน่วยองครักษ์ซ้าย นั่นก็คือผู้ตรวจการอวี่จ้งเจินแห่งทัพเป่ยโต้ว
พออวี่จ้งเจินของหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ยินว่าอิ๋งลั่วหวนไปหาเหมียวอี้ ก็รู้สึกตกใจมาก ยังนึกว่าอิ๋งลั่วหวนจะไปล้างแค้นให้ลูกสาว จึงเตือนตระกูลอิ๋งว่าอย่ากำเริบเสิบสาน อย่าทำซี้ซั้ว
จ้านผิงบอกว่า ฮูหยินของตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่อง แต่ของบางอย่างบนตัวลูกสาวยังอยู่ในมือเหมียวอี้ ฮูหยินของตัวเองแค่ถือโอกาสไปเอากลับมาก็เท่านั้น
หลังจากบอกแบบนี้แล้ว ก็ได้รับการรับประกันซ้ำๆ อวี่จ้งเจินถึงได้บอกกำลังพลเบื้องล่าง โป๋เยวจึงติดต่อเหมียวอี้ได้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ที่ได้รับแจ้งเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวน ปากก็พึมพำด่าแล้ว “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น มีแม่แบบไหนก็ให้กำเนิดลูกแบบนั้น คาดว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่นก็คงไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน มารดาเจ้าเถอะ สองแม่ลูกสันดานเดียวกัน อาศัยอำนาจที่สูงทะลุฟ้าแล้วเจ๋งนักรึไง? คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้างั้นเหรอ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ปล่อยเข้ามา ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะกล้าทำอะไร!”
คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่ข้างๆ อกสั่นขวัญแขวน หยางชิ่งเหลือบมองเฟยหงที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยจิตใต้สำนึก พบว่าช่วงนี้เหมียวอี้มักจะพูดจาตามอำเภอใจต่อหน้าเฟยหงบ่อยๆ ขนาดรู้ถึงเบื้องหลังของเฟยหงก็ยังกล้าพูดแบบนี้ ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา อย่าบอกนะว่า…
คนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า คนอื่นๆ ถูกกันไว้นอกค่ายกลป้องกันทั้งหมด ทหารยามให้แค่อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมเข้ามา
พอเดินเข้ามาในค่ายกลป้องกัน อิ๋งลั่วหวนก็เหลือบมองธงพยัคฆ์ดำที่ปลิวสะบัดรับลมอยู่เบื้องสูงโดยจิตใต้สำนึก ได้ยินว่าลูกสาวตัวเองโดนแขวนไว้บนนั้น พอหันกลับมาแล้วไม่เห็นเหมียวอี้เดินออกมาต้อนรับตน จึงถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ?”
“ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออยู่ในจวนขอรับ” หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
อิ๋งลั่วหวนแสยะยิ้ม “ช่างวางมาดเก่งนักนะ”ความประทับใจที่มีต่อท่านขุนนางเหมียวยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว
ในลานบ้าน เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง ด้านซ้ายและขวามีลูกน้องแบ่งยืนเรียงเป็นรูปตัวอักษร ‘八’ ตั้งใจเรียกคนที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำหลายสิบคนมาแสดงพลังอำนาจ วางมาดที่โอ่อ่าให้อิ๋งลั่วหวนดูก่อน จะแสดงลักษณะอ่อนแอฝ่ายตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าตัวเองกลัวนางไม่ได้
เมื่อเห็นอิ๋งลั่วหวนเข้ามาแล้ว บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เดินลงมาอย่างมีพลังอำนาจราวกับเสือมังกรเบื้องย่าง แล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านนี้คงจะเป็นจ้านฮูหยินสินะ ก่อนหน้านี้มีหลายอย่างที่ไม่รู้ ถ้ามีจุดไหนล่วงเกินก็หวังว่าจะอภัยให้!”
ตอนแรกที่เดินเข้ามาประตูมา อิ๋งลั่วหวนก็สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอเห็นตัวเหมียวอี้แล้ว คิ้วดกดำก็เลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาที่สังเกตเห็นได้ยากเป็นประกายนิดหน่อย ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของท่านขุนนางเหมียวจะไม่นับว่าดีมาก ไม่ถือว่ามีสติปัญญาความรู้แต่ชอบอิสระอะไร และไม่ใช่ประเภทท่วงท่าสง่างามด้วย แต่ลักษณะความเป็นลูกผู้ชายกลับสะดุดตามาก ห้าวหาญทระนงองอาจ รูปร่างสูงสง่า ใบหน้าเด็ดเดี่ยว
ในสายตาของอิ๋งลั่วหวน ก็เรียกได้ว่าถูกตาต้องใจ!
“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งลั่วหวนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับว่าความโกรธหายไปในทันทีที่เห็นเหมียวอี้ ทั้งยังมีท่าทีค่อนข้างเสียมารยาท เหลือบมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า แล้วก็เดินวนรอบตัวรอบหนึ่ง วนรอบเหมียวอี้พร้อมสำรวจศีรษะจดเท้า
เหมียวอี้หันซ้ายหันขวาวิ่งตาม ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร รู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองขายเนื้อตอนเด็กๆ กำลังถือมีดเลือกว่าจะเชือดตัวไหน เขาจึงถามว่า “เป็นข้าน้อยเองขอรับ ไม่ทราบว่าจ้านฮูหยินมาที่นี่เพราะมีอะไรจะชี้แนะขอรับ?”
โป๋เยวได้เปิดเผยให้เขารู้แล้ว บอกว่าจะมาเอาของของจ้านหรูอี้ แต่หยางชิ่งไม่เชื่อเลย บอกเหมียวอี้ไว้ว่า ของเล็กน้อยบนตัวจ้านหรูอี้คงไม่มีค่าพอให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาด้วยตัวเอง
อิ๋งลั่วหวนยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าเจือด้วยรอยยิ้มแล้ว กำลังจ้องมองใบหน้าของเหมียวอี้ตรงๆ มุมปากยกยิ้มหยอกล้อ
เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกผ่านแล้ว ท่าทีที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินไปของเหมียวอี้ก็ทำให้นางพอใจเช่นกัน โดยทั่วไปเวลาคนระดับนี้เจอนางก็จะตัวสั่นหวาดกลัว แต่เหมียวอี้ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มาก่อน นางไม่ค่อยพอใจที่จ้านผิงอ่อนโยนและเชื่อฟังนางเกินไป รู้สึกว่าขาดลักษณะของความเป็นลูกผู้ชาย ถึงแม้จะรู้ว่าจ้านผิงทำแบบนี้เพราะบิดาของนาง แต่แบบนี้ก็อาจจะขาดเสน่ห์ของชีวิตคู่สามีภรรยา ภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนางไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ แต่ถ้าขาดเสน่ห์ของชีวิตคู่แบบสามีภรรยา ชีวิตก็ไม่มีความหมายแล้ว
จากมุมมองของนางในตอนนี้ จู่ๆ ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรกับการที่ลูกสาวโดนเจ้าเด็กนี่รังแกจนกลายเป็นแบบนั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นศัตรูกัน ในภายหลังถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ย่อมไม่ต่อสู้เข่นฆ่ากันอีกแล้ว ต่อไปนี้จะมีคนที่คอยสยบลูกสาวที่ดื้อด้านของตัวเองแล้ว ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขเหมือนสามีภรรยาทั่วไป
กอปรกับเหมียวอี้อายุยังน้อยแต่มีฝีมือยอดเยี่ยม มี ‘มีผลงานอันรุ่งโรจน์’ นางพอใจกับตัวเลือกที่จะมาเป็นลูกเขยในคนนี้มาก แต่ควรจะลบคำว่า ‘อนาคต’ ทิ้งสิถึงจะถูก เพราะในสายตานางตอนนี้ ในเมื่อนางถูกใจแล้ว ก็แสดงว่าเหมียวอี้กลายเป็นคนในครอบครัวนางแล้ว วิ่งหนีไม่พ้นเงื้อมมือของนางหรอก
“ถึงแม้เจ้าจะปล่อยลูกสาวข้าไปแล้ว แต่ของบนตัวลูกสาวข้ากลับอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจจะมาเอาคืน” อิ๋งลั่วหวนยิ้มอย่างสนิทสนม
เหมียวอี้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นำกำไลเก็บสมบัติของจ้านหรูอี้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อยให้ลอยไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ของของลูกสาวท่านอยู่ในนี้หมดแล้ว”
นอกจากเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งของผู้หญิง ก็เป็นสิ่งของที่ใช้ในตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ของจ้านหรูอี้ ส่วนของอย่างอื่นเหมียวอี้เก็บกวาดไปหมดแล้ว เขาไม่มีทางคืนให้
อิ๋งลั่วหวนโบกมือ เก็บกำไลของจ้านหรูอี้เอาไว้ทันที ไม่แม้แต่จะมอง แต่กลับมองสภาพแวดล้อมภายในลานบ้าน “เจ้ารับแขกแบบนี้เหรอ? เสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า?”
ดูจากเจตนาของนางแล้ว ก็เหมือนจะอยากอยู่ดื่มน้ำชาคุยกันต่อ เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะอยู่เป็นเพื่อน และยิ่งไม่อยากให้นางพูดถึงเรื่องจ้านหรูอี้ด้วย จึงยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “หนิวคนนี้ยังมีงานต้องทำ ต้องออกไปลาดตระเวนที่เหมืองแร่ มีคำสั่งของเบื้อบนติดตัว ข้าไม่บังอาจฝ่าฝืน ข้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว รองผู้บัญชาการใหญ่ชวี เจ้าต้องรับแขกให้ดีๆ นะ!”
“รับทราบ!” ชวีหย่าหงก้าวขึ้นมาเอ่ยรับคำสั่ง
“ขออภัยที่ต้องขอตัวก่อน!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทิ้งแขกเอาไว้แล้วนำลูกน้องเดินก้าวยาวออกไป
อิ๋งลั่วหวนหันตัวมองตาม ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร แต่กลับหัวเราะคิกคักพลางพึมพำว่า “น่าสนใจทีเดียว”
ให้ความรู้สึกเหมือนแม่ยายที่ยิ่งมองลูกเขยก็ยิ่งถูกตาต้องใจ นิสัยไม่ดีบนตัวคนทั่วไปที่สามารถทำให้นางโกรธได้ จู่ๆ นางก็มองข้ามไปแล้ว
“จ้านฮูหยิน เชิญ!” ชวีหย่าหงก้าวขึ้นมาเชิญให้นางตามตัวเองไป
“ช่างเถอะ! เจ้าบ้านไม่ได้ตั้งใจจะรับแขก จะอยู่ต่อให้ตัวเองโดนเมินทำไม พวกเราไปกันเถอะ!” อิ๋งลั่วหวนกวักมือเรียก แล้วนำแม่นมชราจากไปด้วยกัน เดิมทีนางมาที่นี่ก็เพื่อจะดูหน้าตาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้รู้สึกพอใจมาก นับว่ามีแผนการในใจแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไม่สู้กลับไปรีบจัดการธุระต่อดีกว่า
เหมียวอี้ติดงานเสียที่ไหนกัน รอจนกระทั่งนางไปแล้ว เขาก็ย่อมกลับมาอีกครั้ง
“อ้อ! อิ๋งลั่วหวนนางหนูนั่นก็ไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ? ไปทำอะไรแล้ว?”
บนบันไดสูงตรงประตูของตำหนักดาราจักร ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลังพร้อมเอ่ยถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกายตอบว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลกเหมือนกัน ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร แค่ไปทวงของของลูกสาวที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็ไปเลย ไม่เห็นนางโวยวายใส่ ท่าทีดูเหมือนอ่อนโยนมาก”
“เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่านางคิดจะทำอะไร นางไปดูตัวแล้ว คาดว่าคงอยากเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร” ประมุขชิงพูดหยอก
“หา!” ซือหม่าเวิ่นเทียนถามอย่างตะกตะลึง “นางไปดูตัวหรือขอรับ? หรือว่านางกับจ้านผิงมีปัญหาอะไรกัน?”
ประมุขชิงตอบว่า “ไปช่วยดูตัวให้ลูกสาวนาง! ก่อนหน้านี้อิ๋งจิ่วกวงมาแล้ว บอกว่าหลานสาวเขาได้รับความอับอายจากหนิวโหย่วเต๋อ แต่งงานกับคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว หวังให้ข้าประทานงานแต่งงานให้พวกเขาสองคน!”