พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1384 ประหลาดใจสงสัย
เขตหวงห้ามของวังสวรรค์ ตำหนักชีพนิรันดร์ สถานที่ฝึกตนราชันสวรรค์ นอกจากราชันสวรรค์ ถ้าราชันสวรรค์ไม่อนุญาตก็ไม่มีใครบุกเข้ามาได้
แต่ในเวลานี้ เกาก้วนทูตตรวจการขวาของตำหนักสวรรค์กลับเร่งฝีเท้าบุกตรงเข้ามา บนศีรษะสวมหมวกทรงสูงสีดำ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แต่ดูจริงจัง ผ้าสีดำที่คลุมบ่าสะบัดตามจังหวะการก้าวเดิน ทหารยามปล่อยให้เขาเข้ามา
ขณะมองดูเกาก้วนเดินก้าวยาวเข้ามา ทหารยามก็แปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าทูตขวาเกาจะดันทุรังมารบกวนการฝึกตนของฝ่าบาท จะต้องพบฝ่าบาทให้ได้ นี่เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมาก พวกทหารยามแอบส่งสายตาให้กัน จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
วังสวรรค์มีสภาพอากาศหลากหลาย พอเข้ามาในอาณาเขตตำหนักชีพนิรันดร์กลับหนาวเย็น แต่เห็นไอของพลังจิตวิญญาณราวกับหมอกจางๆ
พอเดินมาตรงหน้าประตูตำหนักที่ปิดสนิท เกาก้วนก็ใช้แขนสองข้างดัน เปิดประตูที่สูงใหญ่หนาหนักเข้าไปโดยตรง เสียงทุ้มทึบดังขึ้นขณะประตูเปิด เขาก้าวเดินเข้าไปแล้ว
ประมุขชิงกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่กลางตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า เมื่อได้ยินเสียงก็กล่าวถามอย่างเนิบนาบว่า “มีเรื่องอะไรทำไมรีบร้อนขนาดนี้?”
เขาเองก็รู้เช่นกัน ว่าถ้าไม่มีเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ เกาก้วนก็ไม่มีทางรบกวนเขา
เกาก้วนยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกล หลังจากกุมหมัดคารวะแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฝ่าบาท! เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
ประมุขชิงพลันลืมตาสองข้าง ถ้าสามารถทำให้คนเยือกเย็นอย่างเกาก้วนพูดว่า ‘เกิดเรื่องแล้ว’ ออกมาได้ ก็แปล่วาเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน จึงถามว่า “มีเรื่องอะไร? มีข่าวของเจ้าสามไป๋เหรอ?”
“เกรงว่าจะยุ่งยากกว่าเรื่องของคุณชายสามขอรับ” เกาก้วนตอบ
“หืม?” ประมุขชิงยืนขึ้นทันที แล้วหรี่ตามถามว่า “ยุ่งยากกว่าเรื่องของเจ้าสามไป๋เหรอ เรื่องอะไร?”
เกาก้วนมองซ้ายมองขวาในตำหนักชีพนิรันดร์ แล้วตอบว่า “ต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่เร่งด่วน ข้าน้อยพาคนคนหนึ่งมาด้วย เกรงว่าจะต้องดูหมิ่นสถานที่ฝึกตนของฝ่าบาทสักหน่อย”
ประมุขชิงพยักหน้า
เกาก้วนพลิกฝ่ามือคว้า หยิบจิ้งจอกดำสามหางตัวหนึ่งออกมาจากประเป๋าสัตว์ คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวจิ้งจอกดำสามหาง แล้วโยนลงบนพื้น
แสงสีทองสว่างวาบ จิ้งจอกดำสามหางกลายเป็นสตรีชุดดำคนหนึ่ง รูปร่างสวยหยาดเยิ้ม แต่กลับผมยุ่งกระเซิง นอนหมอบข้างตัวสั่นระริกอยู่บนพื้น พยายามส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ปากก็พูดมั่วไปเรื่อยว่า “พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…”
เมือ่กล่าวคำนี้ออกมา ประมุขชิงก็พลันเบิกตากว้าง ลุกพรวดแล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดสตรีชุดดำเข้ามา จับคอเสื้อของนางพลางตะคอกถาม “พูดให้ชัดเจน พระปีศาจหนานโปอยู่ที่ไหน?”
ผลก็คือพบว่าสตรีชุดดำสายตาเลื่อนลอย ไม่มีทางเพ่งมองจุดไหนได้ เอาแต่พึมพำซ้ำๆ ว่า “พระปีศาจหนานโป” บางครั้งก็หลุดพูดคำว่า “อย่านะ” ออกมา น้ำตาและน้ำมูกไหลพร้อมกัน มุมปากยังมีฟองสีขาวด้วย
ประมุขชิงพลันเอียงหน้ามองเกาก้วน “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เป็นบ้าไปแล้ว!” เกาก้วนตอบ แล้วบอกอีกว่า “คนของหน่วยตรวจการขวาบังเอิญได้ยินลูกศิษย์ของสำนักหิมะทะนงที่น่านฟ้าเถาะติงกำลังพูดถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ ตอนที่ข้าน้อยพลิกอ่านรายงานของแต่ละที่ก็ตกใจมาก นำคนไปตรวจตรวจสอบสถานการณ์ที่สำนักหิมะทะนงด้วยตัวเองทันที ตอนที่ข้าน้อยไปถึง จิ้งจอกดำสามหางก็กำลังถูกสำนักหิมะทะนงขังไว้ ตามที่เจ้าสำนักหิมะทะนงบอกมา เป็นนางเองที่ประสาทเสียบุกเข้ามาในเขตของสำนักหิมะทะนง ตอนที่จับนางได้ นางก็เป็นบ้าไปแล้ว ปากพึมพำประโยคนั้นไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่านางหนีมาจากไหน และไม่ทราบถึงตัวตนของนางด้วย ตอนที่นางปรากฏตัวของบนตัวก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรมา ตอนหลังข้าน้อยให้ทุกคนของสำนักหิมะทะนงปิดปากไว้ ห้ามเปิดเผยต่อภายนอกแม้เพียงครึ่งคำ ข้าน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ถึงได้พาปีศาจจิ้งจอกสามหางมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่วังสวรรค์”
“คำพูดของสำนักหิมะทะนงเชื่อถือได้มั้ย?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนตอบว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ข้าน้อยไปสืบสวนด้วยตัวเอง น่าจะไม่ได้โกหก มีคนไม่น้อยเห็นกับตาตัวเองว่าจิ้งจอกดำสามหางบุกเข้ามาในสำนักหิมะทะนง”
“พระปีศาจหนานโป…น่านฟ้าเถาะติง…” ประมุขชิงหรี่ตาพึมพำ “น่านฟ้าเถาะติงมีเขตแดนติดต่อกับแดนสุขาวดี อย่าบอกนะว่าหนีออกมาจากแดนสุขาวดี?”
เกาก้วนตอบว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทางเข้าออกแดนสุขาวดีมีคนเฝ้าอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนสังเกตเห็นตอนนางตอนที่นางบุกเข้าออก แต่ด้วยสภาพของนางแบบนี้ ถ้าหนีไปทั่วดาราจักรก็สะดุดตาเกินไป โดนคนดักไว้ได้ง่ายๆ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ บนตัวนางไม่มีต้นทุนให้ดีได้ไกลขนาดนั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้านางไม่ได้โผล่ออกมาจากทุกซอกทุกมุมของน่านฟ้าเถาะติง ก็คงหนีมาจากดาราจักรนอกน่านฟ้าเถาะติง”
“มีเหตุผล!” ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ครุ่นคิดตามครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอียงหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนไปนอกตำหนัก “เรียกปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว สี่อ๋องสวรรค์ไปประชุมที่ตำหนักดาราจักร”
ปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเป็นชื่อเรียกที่ให้เกียรติ ชื่อเดิมคือเซี่ยโห้วท่า เป็นท่านปู่ของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ส่วนสี่อ๋องสวรรค์ก็มีอิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี
บ้านของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากวังสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่าล้อมพิทักษ์อยู่รอบวังสวรรค์ เมื่อได้รับคำสั่งเรียกพบ หลังจากสี่อ๋องสวรรค์เจอหน้ากันข้างนอกก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน จะสืบข่าวจากกันและกันสักหน่อยว่าประมุขชิงเรียกพบด้วยเรื่องอะไร ผลปรากฏว่าไม่มีใครรู้
ทั้งสี่มาถึงตำหนักดาราจักรก่อน พอรอไปสักครู่ก็เห็นเซี่ยโห้วท่าที่ผมขาวและมีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้าถือไม้เท้ามา
ยามปกติท่านนี้ไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในราชสำนัก ไม่ค่อยปรากฏตัวในราชสำนักเท่าไร หรือพูดได้อีกอย่างว่าตาแก่หนังเหนียวตายยากที่หลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัยก็มาเช่นกัน ทั้งสี่แปลกใจนิดหน่อย ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าประมุขชิงมีเรื่องอะไรถึงได้เรียกท่านนี้มาแล้ว
ถึงแม้จะพึมพำในใจ แต่ก็จะเสียมารยาทไม่ได้ ทั้งสี่กุมหมัดคารวะอย่างเคารพนอบน้อมพร้อมกัน “คารวะท่านปู่สวรรค์!”
ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ทั้งสี่จะมีอำนาจมากกว่าท่านนี้ แต่หลานสาวของอีกฝ่ายคือภรรยาคู่ชีวิตของราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์ที่เป็นมารดาของใต้หล้า เกียรติพิเศษนี้มีเพียงหนึ่งเดียว กอปรกับตระกูลเซี่ยโห้วเป็นตระกูลเก่าแก่จริงๆ ตอนที่ตระกูลเซี่ยโห้วบงการสิ่งต่างๆ ได้ สี่อ๋องสวรรค์ยังเป็นเพียงทหารเล็กๆ ต่ำต้อยอยู่เลย มีสิทธิ์เพียงเฝ้ามองอย่างมีความหวังแต่ไม่ได้ใกล้ชิด ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะข่มใต้หล้าได้ไม่เท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังเป็นต้นไม้ที่มีรากลึก ไม่มีใครรู้ชัดว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่อะไรที่ยังไม่เผยออกมา ประกอบกับเป็นผู้อาวุโสฝ่ายตระกูลราชินีสวรรค์ แม้แต่ราชันสวรรค์เองเวลาพบเขาก็ยังต้องเกรงใจ
ก็เพราะว่ามีความมั่นใจนี้ ราชันสวรรค์ถึงได้แต่งงานกับหลานสาวของเขาที่หน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นจนถึงขั้เรียกได้ว่าหน้าตาพื้นๆ เป็นฮูหยินเอกแต่งตั้งเป็นราชินีสวรรค์
“อืม!” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างวางมาดผู้อาวุโส และไม่ได้คารวะกลับด้วย บอกเพียงว่า “อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก็มาเหมือนกันรึ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกพวกเราเพราะมีธุระอะไร?”
โค่วหลิงซวีตอบว่า “พวกเราก็กำลังครุ่นคิดอยู่เหมือนกัน” อีกสามคนพยักหน้าตาม บอกใบ้ว่าไม่รู้เช่นกัน
พอคนมากันครบ ทางประมุขชิงก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน ไม่นานก็ปรากฏตัวเดินออกมาพร้อมเกาก้วน
ทั้งห้าคนที่อยู่ในตำหนักทำความเคารพพร้อมกัน “คารวะฝ่าบาท!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงยกมือบอกให้ยืนตรง หลังจากนั่งลงหลังโต๊ะยาว ก็เอียงหน้าบอกใบ้เกาก้วนที่ยืนอยู่ข้างกัน
เกาก้วนโบกมือดึงคนคนหนึ่งออกมาทันที โยนลงในตำหนัก คนที่ตกลงบนพื้นก็คือสตรีชุดดำจิ้งจอกดำสามหางนั่นเอง
“พระปีศาจหนานโป…พระปีศาจหนานโป…อย่านะ…พระปีศาจหนานโป…” ฮูหยินชุดดำร้องไห้ตัวสั่นหวาดกลัว เอามือลูบคลำบนพื้น พอเห็นคนก็เอามือปิดหน้าอกอย่างขี้ขลาดตาขาวอีก
พอทั้งห้าคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างได้ยินชื่อ ‘พระปีศาจหนานโป’ ก็เบิกตากว้างทันที เซี่ยโห้วท่าที่แก่จนหนังตาจะปิดก็พลันเบิกตากว้างเช่นกัน พวกเขาจ้องมองสตรีชุดดำที่ตัวสั่นระริกโดยไม่ละสายตา
ผ่านไปครู่เดียวก็หันกลับไปจ้องประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูง เซี่ยโห้วท่าเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถามว่า “ฝ่าบาท นี่คือ?”
“เกาก้วน อธิบายให้ท่านปู่สวรรค์ฟังหน่อย อีกประเดี๋ยวเกรงว่าจะต้องอาศัยให้ปู่สวรรค์ลงมือช่วย” ประมุขชิงตอบ
“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ แล้วเล่าสิ่งที่เล่าให้ประมุขชิงฟังก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง
หลังจากฟังที่เขาเล่าจบ ทั้งห้าก็ทำสีหน้าประหลาดใจสงสัย มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา
หลังจากประมุขชิงเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาแล้ว ก็บอกว่า “ปู่สวรรค์ เจ้ากับพระปีศาจหนานโปเคยคลุกคลีกันมาก่อน ในปีนั้นตระกูลเซี่ยโห้วก็เคยจัดการเรื่องบางอย่างให้พระปีศาจหนานโป นับว่าเจ้าค่อนข้างรู้จักเขา เรื่องนี้เจ้ามองว่าอย่างไร?”
ความสงสัยประหลาดใจบนใบหน้าเซี่ยโห้วท่ายากจะหายไป เขาเป็นคนที่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างประมุขชิงกับพระปีศาจหนานโป ถ้าพระปีศาจหนานโปกลับมาอีกครั้ง แล้วรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วไปขอพึ่งพาลูกศิษย์ของศัตรู เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะเผชิญภัยพิบัติ ที่จริงในปีแรกๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถูกสนับสนุนโดยพระปีศาจหนานโป เพียงแต่ตอนหลังพระปีศาจหนานโปยิ่งขาดความเป็นมนุษย์ไปหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหวาดกลัวมากขึ้นทุกวัน การที่เด็กชายหกลัทธิกล้าตัดสินใจลงมือกับพระปีศาจหนานโป ก็เป็นเพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วยุยงอยู่เบื้องหลัง
หลังจากพระปีศาจหนานโปสิ้นอำนาจแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้กลืนคำพูด ช่วยเหลือสนับสนุนเด็กชายหกลัทธิให้กลายเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิในภายหลัง ตอนหลังมีประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ปรากฏตัวออกมา ตระกูลเซี่ยโห้วเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลจึงไปยืนฝ่ายพวกประมุขพุทธะ ตอนหลังก็เกิดความขัดแย้งภายในระหว่างประมุขชิง ประมุขพุทธะและประมุขไป๋ ตระกูลเซี่ยโห้วก็มายืนอยู่ฝ่ายประมุขชิง หลังจากประมุขชิงแต่งงานกับหลานสาวตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เขาก็ใช้อำนาจอิทธิพลของตระกูลช่วยประมุขชิงคุมให้หล้าให้สงบมั่นคง
ที่จริงตระกูลเซี่ยโห้วผ่านความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันมาไม่น้อย ต้องเลือกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ตั้งตระหง่านมั่นคงดั่งขุนเขาได้จนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วชอบทรยศ แต่เป็นเพราะจำใจเลือกยามเผชิญกับความเป็นความตาย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะดับสูญไปตั้งนานแล้ว
เซี่ยโห้วท่าประหลาดใจสงสัยอยู่นานมาก ก่อนจะกล่าวอย่างทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อยว่า “ในปีนั้นเด็กชายหกลัทธิผนึกหนานโปไว้แล้ว ไม่มีใครรู้สถานที่ผนึกนอกจากเด็กชายหกลัทธิ น่าจะไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดไปแล้วมีคนเจตนาไม่ดีปล่อยหนานโปออกมา ผลลัพธ์ก็จะเลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการถึงเลย ไม่มีทางที่หกคนนั้นจะไม่รู้ถึงหลักการนี้ น่าจะผิดปากไว้สนิทสิถึงจะถูก”
ประมุขชิงกล่าวว่า “ตามหลักการแล้ว เด็กชายหกลัทธิควรจะผนึกพระปีศาจหนานโปไว้แน่นหนาดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ไม่มีทางที่จะให้โอกาสเขาหลุดออกมาง่ายๆ เพียงแต่ทำไมปีศาจต่ำต้อยคนหนึ่งจึงเอ่ยถึงพระปีศาจหนานโปแล้วหวาดหวั่นเช่นนี้? จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ท่านปู่สวรรค์ เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกที ท่ามกลางผู้คนในปีนั้น จะมีใครมั้ยที่อาจรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”
เซี่ยโห้วท่าจมอยู่ในความคิด มือข้างหนึ่งประคองไม้เท้า มืออีกข้างฝั้นขยี้หนวดเครา
“ก่อนที่เด็กชายหกลัทธิจะตาย พวกเขาได้บอกสถานที่ผนึกให้คนที่ลงมือสังหารรู้หรือเปล่า?” อ๋องสวรรค์ฮ่าวถาม
ประมุขชิงกล่าวว่า “ความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก ถ้าเด็กชายหกลัทธิอยากจะล้างแค้นจริงๆ บอกที่สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปรู้ ถ้าจะปล่อยก็คงปล่อยออกมานานแล้ว คงไม่ขังไว้นานขนาดนี้แล้วค่อยลงมือ”
เซี่ยโห้วท่าราวกับถูกเตือนความจำ พูดต่อว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ เด็กชายหกลัทธิรู้ถึงความน่ากกลัวของพระปีศาจหนานโป และรู้ด้วยว่าพระปีศาจหนานโปมีพลังอภินิหารในการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระปีศาจหนานโปต้องการจะล้างแค้น ต่อให้เด็กชายหกลัทธิตายไปแล้ว พระปีศาจหนานโปก็สามารถทำให้พวกเขาเกิดได้อีกครั้ง ทำให้พวกเขาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะลทุกข์ตลอดไปโดยไม่ให้กลับตัว ต่อให้เด็กชายหกลัทธิจะต้องการบอก ก็จะบอกเพียงคนที่สามารถทำลายจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปทิ้งได้เท่านั้น ดังนั้นคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปคงจะเป็น…คุณชายสาม!”
…………………………