พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1391 ธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา
สายตาประมุขชิงจ้องตรงไปที่เขา “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงาทำ?”
เกาก้วนตอบว่า “ไม่แน่ใจขอรับ แต่เหมือนมากจริงๆ ข้าน้อยสามารถพาพยานมาได้” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้ประมุขชิงสอบถามด้วยตัวเอง
“ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างมีความรับผิดชอบได้ ว่าข้ารู้จักสถานการณ์ของหน่วยองครักษ์เงาดี ช่วงนี้ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวเลย” ประมุขชิงพูดเหมือนยืนยันอีกครั้ง เหมือนกำลังเตือนเกาก้วนว่าอย่าพูดเหลวไหล
แม้แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนยังแอบส่งสายตาให้เกาก้วน แต่เกาก้วนกลับพูดอย่างจริงจังมากว่า “ฟังจากคำให้การของพยาน คนที่สังหารหานหมิงซานมีวรยุทธ์ไม่สูง แค่ระดับบงกชรุ้งเท่านั้น ต่อให้หน่วยองครักษ์เงาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ในหน่วยองครักษ์เงาอาจจะมีผู้สืบทอดอยู่ข้างนอกหรือเปล่าขอรับ?”
“เจ้าหมายความว่า ในหน่วยองครักษ์เงามีคนเปิดเผยเคล็ดวิชาฝึกตนสู่ภายนอกงั้นเหรอ?” ประมุขชิงหรี่ตาถาม
“ข้าน้อยแค่สงสัยเท่านั้นเองขอรับ เช่นนั้นก็แปลว่าการวินิจฉัยของข้าน้อยผิดพลาด ควรจะค้นหาหลักฐานเพื่อวินิจฉัยไปในทิศทางอื่น” เกาก้วนตอบ
ประมุขชิงเงียบแล้ว เกาก้วนอยู่กับเขามานานหลายปีขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้จักลักษณะการทำงานของเกาก้วน ถ้ามั่นใจในตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนขนาดนี้ โดยส่วนใหญ่จะไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นเกาก้วนคงไม่พูดออกมาต่อหน้าเขา จะต้องมีเรื่องจริงให้อ้างอิงแน่นอน
ดังนั้นระดับความจงรักภักดีของหน่วยองครักษ์เงาทำให้เขารู้สึกสั่นคลอน นั่นคือหน่วยกล้าตายที่เขาแอบฝึกเองอย่างลับๆ ถ้าขยายการตรวจสอบหน่วยองครักษ์เงาจริงๆ ล่ะ? ถ้าขยายการตรวจสอบ ก็จะส่งผลต่อระดับความจงรักภักดีของขุนนางหน่วยองครักษ์เงาอยู่ดี แต่ถ้าจะไม่ตรวจสอบ พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังพลที่จงรักภักดีกับตนที่สุดอาจจะมีปัญหา เขาก็กินอยู่หลับนอนไม่เป็นสุขแล้ว…
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมู่หรงซิงหัว!
เมื่อทราบว่ามู่หรงซิงหัวนำคนมาปรากฏตัวที่สำนักหกนิ้ว พวกเหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย
คนมาถึงจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว มู่หรงซิงหัวยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยใบหน้าอมยิ้ม สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มู่หรง นี่เจ้านำคนมารับงานที่นี่ต่อเหรอ?”
“ข้าเป็นฝ่ายขอมาเอง” มู่หรงซิงหัวตอบพร้อมรอยยิ้ม
สวีถังหรานแปลกใจ “ที่นี่เหมือนจะอยู่นอกอาณาเขตของเฉาว่านเสียงไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้า…” เขาเอามือตบหน้าผากทันที เป็นคำถามที่ง่ายมาก ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่อาณาเขตของเฉาว่านเสียง แต่กลับเป็นอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวน ตราบใดที่ระหว่างหัวหน้าภาคใต้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวนไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน การไว้หน้ากันก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร
“เลื่อนตำแหน่งแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ
คนที่จะมารับงานต่อในอาณาเขตผืนนี้ของเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนระดับผู้บัญชาการใหญ่ของอำนาจท้องถิ่น ไม่อย่างนั้นกำลังทหารที่ควบคุมดูแลอาจจะไม่พอ แต่ในเมื่อมู่หรงซิงหัวสามารถมารับงานต่อได้ ก็เห็นได้ชัดว่าเลื่อนตำแหน่งแล้ว
ทว่ามู่หรงซิงหัวกลับส่ายหน้าตอบ “เปล่าหรอก เพียงแต่มาแทนผู้บัญชาการใหญ่ชั่วคราว รอให้ขุดแร่ที่นี่เสร็จแล้ว ถ้าหากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่โต”
ทุกคนทำท่าเข้าใจกระจ่างในทันที พอจะเข้าใจบ้างแล้ว มู่หรงซิงหัวเพิ่งจะถูกย้ายออกมาจากตลาดสวรรค์ ไม่มีประสบการณ์อะไรในท้องที่เลย ถ้าจะให้เลื่อนขั้นโดยตรงก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป นี่เป็นการทำงานเพื่อหาประสบการณ์เฉยๆ สร้างผลงานสักนิดหน่อย ในภายหลังเมื่อแต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการก็จะสมเหตุสมผลแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว การเฝ้าจุดขุดแร่ ความเสี่ยงอะไรก็ไม่มี ทั้งยังมีเฉาว่านเสียงหนุนหลัง คาดว่าในเขตของท่านโหวเทียนหยวนคงจะมีไม่กี่คนที่กล้ากลั่นแกล้งนาง ในภายหลังเรื่องนี้ย่อมราบรื่น การมีคนหนุนหลังทำให้เลื่อนขั้นสะดวกจริงๆ
เรื่องราวในตอนหลังก็ไม่ซับซ้อนเช่นกัน หัวหน้าที่รับส่งต่องานทั้งสองฝ่ายยืนยันตัวตน อนุญาตให้กำลังพลจากอำนาจท้องถิ่นไปจุดขุดแร่ที่ธงอินทรีสิบกองทัพควบคุมเพื่อรับงานต่อ หลังจากยืนยันแล้วว่าการส่งต่องานเบื้องล่างไม่มีอะไรผิดพลาด ธงอินทรีสิบกองทัพก็จะถอนกำลัง ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ดาวหกนิ้วแล้ว
ค่ายกลป้องกันที่คุ้มครองสำนักหกนิ้วถูกถอนออกไปแล้ว ธงพยัคฆ์ดำก็ถอนกำลังแล้วเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักหกนิ้วจะผ่อนคลายได้ สำนักหกนิ้วกลับอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาด้วยซ้ำ สถานที่อื่นไม่มีที่พักที่ดีกว่านี้แล้ว มู่หรงซิงหัวต้องการจะใช้สำนักหกนิ้วเป็นฐานประจำการชั่วคราว
เมื่อเทียบกันแล้ว กำลังพลธงพยัคฆ์ดำประจำการอยู่ที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่มู่หรงซิงหัวกลับต้องประจำการที่นี่ในระยะยาว ถ้าขุดแร่ไม่เสร็จก็คงจะไม่ออกไป แล้วเจ้าถิ่นก็ดันก้าวราวเผด็จการเสียด้วย เดิมทีดาวหกนิ้วก็อยู่ในสังกัดของอีกฝ่ายอยู่แล้ว สามารถทำผิดอย่างเหิมเกริมได้เลย ไม่ได้มีวินัยในตนเองเหมือนทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ โชคดีที่เหมียวอี้เห็นแก่ไมตรีที่มีต่อกันมาหลายปี ก่อนจะไปก็ได้บอกมู่หรงซิงหัวไว้ว่า “หลายปีมานี้นับว่าเจ้าสำนักไป๋ช่วยเหลือข้าพอสมควร หวังว่ามู่หรงจะดูแลแทนสักหน่อย”
มู่หรงซิงหัวย่อมเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในนั้นดี จึงยิ้มให้ไป๋หลันพร้อมบอกว่า “เจ้าสำนักไป๋วางใจได้ ข้าบอกกำลังพลเบื้องล่างไว้แล้ว นอกจากนี้ ในรายชื่อขุดแร่ก็จะให้สิทธิพิเศษก่อนเช่นกัน”
เจ้าสำนักไป๋หลันดีใจทันที กุมหมัดคารวะขอบคุณซ้ำๆ “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองที่ดูแลค่ะ” นางส่งสายตาซาบซึ้งไปให้เหมียวอี้
เหมียวอี้ไปแล้ว ไม่มีความอสลัยอาวรณ์ต่อดาวหกนิ้วเช่นกัน นำทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงพยัคฆ์ดำเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว กลุ่มคนที่หนาแน่นดำพืดหดเล็กลงและหายไปจากขอบฟ้า
ดาวจูจื่อ กองบัญชาการชั่วคราวของกองมังกรดำ กำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพทยอยกันมารวมตัวอย่างโอ่อ่าอลังการ
กำลังพลธงพยัคฆ์ดำมาถึงแล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ทยอยกันมาถึงแล้ว ทัพกลางของกองมังกรดำส่งคนออกไปนำมาประจำการ
กำลังพลที่อยู่ทางนี้เพิ่งจะจัดหาที่พักเสร็จ อีกด้านหนึ่งของภูเขาก็มีเงาคนกลุ่มหนึ่งแฉลบมา จ้านหรูอี้ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินนำลูกน้องมาถึงแล้ว
เจอผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว เหมียวอี้ค่อนข้างสับสนใจความรู้สึก ปรากฏว่าจ้านหรูอี้เป็นฝ่ายยิ้มและกุมหมัดคารวะทักทายก่อน “พี่หนิวมาแล้วเหรอ”
เหมียวอี้จำต้องกุมหมัดคารวะทักทายกลับอย่างขอไปที “จ้านคนสวย”
“ข้าเองก็เพิ่งมาถึง ไปพบท่านแม่ทัพภาคด้วยกันเลยดีมั้ย” จ้านหรูอี้กล่าว
พี่น้องของธงพยัคฆ์ดำเห็นฉากนี้แล้วทำสีหน้าแปลกๆ เหมียวอี้ก็อึดอัดมากเช่นกัน ดันไม่สะดวกจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าลูกน้อง จึงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วนำคนเดินไปพร้อมกับจ้านหรูอี้
พอมาถึงตีนเขาที่ตั้งของจวนแม่ทัพภาค พวกลูกน้องรออยู่ตรงนี้ แล้วทั้งสองก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน ไปพบเนี่ยอู๋เซี่ยว
เมื่อเห็นทั้งสองมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตัวเองพร้อมกัน เนี่ยอู๋เซี่ยวกับโป๋เยวก็ทำสีหน้าแปลกนิดหน่อย เหมียวอี้เองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน กลับเป็นจ้านหรูอี้ที่เยือกเย็นสงบนิ่งเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน กลับทำให้ผู้ชายทั้งสามดูใจแคบนิดหน่อย
ทั้งสองก็แค่คารวะตามมารยาท ถึงอย่างไรก็มาที่นี่แล้ว ถ้าไม่คารวะก็จะฟังดูเหลวไหล ส่วนเรื่องงานที่จะต้องปรึกษาหารือกันจริงๆ ก็ต้องรอให้กำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพมาถึงครบก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะแต่ละกองทัพก็ไปประจำการค่อนข้างไกล
จากนั้นหลังจากลงจากเขาแล้ว ทั้งสองก็ต่างคนต่างกลับค่ายของตัวเอง
ในวันนั้นกำลังพลธงพยัคฆ์สิบกองทัพมากันครบแล้ว วันต่อมาเนี่ยอู๋เซี่ยวถึงได้ออกคำสั่งเรียกพบ
หลัวอวี้ของทัพกลาง ทังเยี่ยนจวี๋ของธงพยัคฆ์ฟ้า หยางหรงก่วงของธงพยัคฆ์ม่วง ฟู่หลินชุนของธงพยัคฆ์ขาว อูเจ้าชิงของธงพยัคฆ์ทอง เหวยเหรินฟางของธงพยัคฆ์เขียวเงิน เฮ่อจือโย่วของธงพยัคฆ์ดิน หนิวโหย่วเต๋อของธงพยัคฆ์ดำ เหวินเหรินโหย่วเต้าของธงพยัคฆ์แดง อวี๋ว่านหลี่ของธงพยัคฆ์เขียว จ้านหรูอี้ของธงพยัคฆ์น้ำเงิน ผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำทั้งสิบเอ็ดคนมาถึงครบแล้ว เมื่อบวกกับกำลังพลเดิมของกองมังกรดำ ก็รวมได้ทั้งหมดยี่สิบคนที่กำลังประชุมอยู่ในตำหนักใหญ่
ไม่กี่ปีมานี้ ทุกคนล้วนเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ทุกคนรู้จักกันหมด เพียงแต่เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วสะดุดตานิดหน่อย มีแค่เขาคนเดียวที่สวมเกราะรบทหารเลวหกแถบ คนที่เหลือล้วนสวมเกราะรบแม่ทัพสีม่วงเหมือนกันหมด
หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบ้องบนถามถึงสถานการณ์การส่งต่องานแล้ว ก็กวาดสายตามองทุกคนแล้วถามว่า “ครั้งนี้ขอบใจทุกคนที่ลำบากเฝ้าจุดขุดแร่ เดี๋ยวในภายหลังเบื้องบนจะแบ่งตามปริมาณแร่ที่ขุดได้เพื่อแจกจ่ายให้พวกเราเป็นรางวัล นอกจากนี้ ข้าก็ได้คำสั่งมาจากเบื้องบนด้วย ตอนนี้กองมังกรดำยังไม่มีภารกิจอะไร ให้เฝ้าอยู่ที่ดาวจูจื่อชั่วคราว หลังจากทุกคนลงไปแล้วก็จัดหาที่พักปรับปรุงกำลังพล แล้วรอฟังคำสั่งจากเบื้องบนเงียบๆ”
“หา! ไม่มีภารกิจเหรอ…”
คนในตำหนักที่เดิมทีฟังคำสั่งเงียบๆ ตอนนี้มีเสียงฮือฮาทันที เหมือนจะวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว เริ่มแย่งกันวิพากษ์วิจารณ์แล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบื้องบนทำสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ทางซ้ายขวาด้านหลังสุดสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก เหมือนจะผิดคาดกับปฏิกิริยาของคนในนี้นิดหน่อย ถึงอย่างไรทั้งสองก็เพิ่งมาเข้าร่วมประชุมรวมทั้งกองมังกรดำเป็นครั้งแรก
“ท่านแม่ทัพภาค ข้าน้อยได้ยินมาว่าหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาต้องการดึงกำลังพลออกไปเกือบกองละสองล้านห้าแสน รวมเป็นกำลังพลห้าล้านเพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่น่านฟ้าเถาะติง ทัพเป่ยโต้วของข้าช่วงชิงรายชื่อมาได้สองธงพยัคฆ์ จะไม่มีภารกิจได้อย่างไร?” เสียงตะโกนถามของผู้หญิงดังขึ้น ทังเยี่ยนจวี๋ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้าเอ่ยถามนำเป็นคนแรก
เนี่ยอู๋เซี่ยวกล่าวเสียงต่ำว่า “ภารกิจของสองธงพยัคฆ์แบ่งให้กองมังกรฟ้ากับกองมังกรดิน”
เฮ่อจือโย่วผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดินตะคอกตามว่า “ทำไมถึงให้กองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินล่ะคะ ท่านแม่ทัพภาคได้พยายามช่วงชิงมาเต็มที่หรือเปล่า?”
เนี่ยอู๋เซี่ยวตอบว่า “ย่อมพยายามช่วงชิงมาเต็มที่อยู่แล้ว แต่รายชื่อมีน้อยเกินไป แต่ละกองล้วนอยากได้ สุดท้ายท่านหัวหน้าภาคใช้วิธีจับฉลากเพื่อตัดสินใจ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเราดวงไม่ดี จะบอกว่าแม่ทัพภาคไม่ได้พยายามเต็มที่ได้ยังไง?”
อูเจ้าชิง ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ทองแสยะยิ้ม”การจับฉลากครั้งนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ทำไมกองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินถึงได้ไปพอดีล่ะ?”
ปั้ง! เนี่ยอู๋เซี่ยวพลันตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วตะคอกว่า “อูเจ้าชิง เจ้าหมายความว่ายังไง? หรือเจ้าสงสัยว่าท่านหัวหน้าภาคเล่นตุกติก?”
อูเจ้าชิงตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ เพียงแต่การจับฉลากโดนกองมังกรฟ้ากับกองมังกรดินพอดี จะไม่ให้คนสงสัยก็คงยาก ถ้าอยากจะให้ยุติธรรม ไม่สู้เปลี่ยนจากรายชื่อธงพยัคฆ์สองกองทัพให้เป็นธงอินทรียี่สิบกองทัพไปเลยสิ แบบนี้จะได้ฝนตกทั่วฟ้าได้ทุกกอง ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดรายงานขึ้นไป!”
“ใช่! เปลี่ยนจากรายชื่อธงพยัคฆ์สององทัพให้เป็นธงอินทรียี่สิบกองทัพ…” คนอื่นๆ ก็เริ่มตะโกนเห็นด้วยเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นความโกรธของมวลชน ตะโกนกันให้มั่วไปหมดว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดรายงานขึ้นไป!”
ท่ามกลางผู้บัญชาการใหญ่ทุกคน นอกจากหลัวอวี้ผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางแล้ว ก็มีแค่เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ใจเย็นที่สุด ทั้งสองที่ไม่พูดอะไรเลยมองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นฉากแบบนี้แล้วทำไมดูเหมือนกำลังล้อมโจมตีแม่ทัพภาคเลยล่ะ ได้ยินว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวมีอำนาจบารมีมากที่กองมังกรดำไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เห็นได้ชัดว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวโดนเถียงจนหาทางลงไม่ได้ สุดท้ายก็ตะคอกอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า “ข้าจะรายงานความเห็นของพวกเจ้าขึ้นไปให้ แต่เบื้องบนจะอนุมัติหรือไม่ข้าก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจนะ”
กลุ่มคนโวยวายเสียงดังว่า “ก็ต้องดูว่าท่านแม่ทัพภาคจะพยายามเต็มที่หรือไม่”
“แยกย้ายได้แล้ว!” เนี่ยอู๋เซี่ยวโบกมือ แล้วเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
กลุ่มคนในตำหนักใหญ่พากันเดือดดาลในใจอีกพักหนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้แยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ
หลังจากออกจากจวนกองมังกรดำ คนกลุ่มนี้ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความโมโหก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว
เหมียวอี้ชำเลืองมองสองครั้ง แล้วรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฉวยโอกาสดึงตัวเฮ่อจือโย่วผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดิน แล้วกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะ “พี่เฮ่อ เมื่อครู่นี้ที่ทุกคนเถียงจนแม่ทัพภาคหาทางลงไม่ได้เพราะมีเจตนาอะไรเหรอ?” เขามองดูปฏิกิริยาของทุกคนออก เหมือนเป็นกันก่อกวนสร้างความวุ่นวายล้วนๆ
“พี่เฮ่อ!” จ้านหรูอี้ก็ตามเข้ามาฟังเช่นกัน
เฮ่อจือโย่วมองดูท่าทางของทั้งสองแล้วยิ้มบางๆ รู้ว่าสองคนนี้มาใหม่จึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หน่วยองครักษ์ซ้ายขวามีกำลังพลมากมายขนาดนั้น จะเอาภารกิจจากไหนมากมายมาให้ทุกคนไปปฏิบัติพร้อมกันได้ล่ะ แต่หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาอย่างพวกเราไม่มีอาณาเขตของตัวเอง ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวง ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งร่ำรวยก็ต้องหวังพึ่งผลงานทางทหาร ถ้าไม่มีภารกิจแล้วจะรอผลงานทางทหารโง่ๆ จากไหนล่ะ ภารกิจพวกนี้ถ้าไม่แย่งแล้วจะตกมาถึงพวกเราได้ยังไง เด็กที่ร้องไห้เป็นถึงจะมีนมกิน แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้ช่วงชิงมาไม่ได้ก็ต้องโวยวายขึ้นไปสักหน่อย หลังจากกลับไปแล้วจะได้พูดได้สะดวกว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วก็ไม่มีทางอธิบายแก้ตัวกับพวกลูกน้องได้น่ะสิ! พวกเจ้าวางใจเถอะ นายท่านแม่ทัพภาคไม่ถึงขั้นโมโหกับเรื่องแบบนี้หรอก ทั้งข้างล่างข้างบนล้วนเป็นแบบนี้ นี่ก็คือธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา ช่วงชิงมาได้นับว่าเป็นความสามารถ ถ้าช่วงชิงมาไม่ได้ก็สมน้ำหน้าแล้วที่โดนลูกน้องเถียงจนหาทางลงไม่ได้”
…………………………