พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1393 ดักซุ่ม ธนูดาวตก!
“เอื้อ…เจ้า…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบิกตากว้างมีเลือดไหลออกจากมุมปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาพาลเกเรกำเริบเสิบสานมาหลายปีขนาดนี้ อาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลเพื่อใช้อำนาจบาตรใหญ่ แม้แต่เรื่องชั่วก็ทำล่วงเกินคนอื่นมาหมดแล้ว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีวันนี้ ที่สำคัญคือเขาไม่รู้เลยว่าคนที่โผล่มาฆ่าเขาอย่างต่อเนื่องกันต้องการจะฆ่าเขาเพราะอะไร
เงาแสงกระบี่วับวาบอีกครั้ง พอศีรษะเอียง ทั้งตัวก็ล้มลงไปข้างหลัง
เผยโม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังจางหลวนซาน มองดูจางหลวนซานล้มลงวางกระบี่ในบี่อย่างช้าๆ เลือดสีแดงสดไหลลงตามคมกระบี่ กำลังมองดูจางหลวนซานหายใจรวยริน ทั้งสองไม่มีความแค้นต่อกันมาก่อน ทั้งยังคบค้ากันมาหลายปี เพียงแต่ไม่คิดว่าก่อนว่าต้องฆ่าเขาในการเดินทางครั้งนี้ เพราะที่นี่เกิดเหตุไม่คาดคิดนิดหน่อย จำเป็นต้องลงมือ
ตอนที่เลือดหยดที่สองไหลตกลงตามคมกระบี่ จู่ๆ เผยโม่ที่ร่ายอิทธิฤทธิ์มองไปโดยรอบก็โบกกระบี่ในมือ กระบี่กลายเป็นลำแสง บึ้ม! แทงทะลุไหล่เขาลูกหนึ่งจนเป็นโพรง
ที่ด้านหลังไหล่เขา ชายชราคนหนึ่งที่มีสีหน้าตกใจกลัว กำลังย่องคลำหินผาเพื่อไปซ่อนตัว พอหันหน้ามาก็ตกใจจนหน้าถอดสี “เอื้อ…” ลำแสงที่ยิงออกมาตัดศีรษะของเขาโดยตรง ศีรษะกับร่างกายอยู่คนละที่กัน กลิ้งล้มอยู่ที่พื้น
ลำแสงนั้นเลี้ยวกลับมาตกอยู่ในมือของเผยโม่แล้ว พอสะบัดรอยเลือดบนกระบี่ทิ้ง เผยโม่ก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จากนั้นเก็บกระบี่วิเศษ แล้วรีบจัดการศพหลายศพอย่างรวดเร็ว ปลอมแปลงบาดแผลบนตัวศพ เดิมทีหน้าที่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็คือการสืบคดีอยู่แล้ว เขาอยู่ที่หน่วยหน่วยตรวจการฝ่ายขวามาหลายปี ชำนาญการใช้วิธีการนี้มาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าลงมือง่ายๆ แบบนี้
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าที่ถืออยู่ในมือเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตกอยู่ในมือเขา เขารีบลบต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วใส่ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไปควบคุมของวิเศษนี้
หลังจากศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดแล้ว ก็โบกมือโยนกระเป๋าออกมา กระเป๋าขยายใหญ่ขึ้นและกางออก คายคนคนหนึ่งออกมาพร้อมเสียงลมพัด จากนั้นกระเป๋าก็หดกลับทันที ถูกคว้าอยู่ในมือของเผยโม่แล้ว
เยียนเป่ยหงที่หลุดออกมาได้ถือดาบมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองออกมาอีกครั้งได้อย่างไร สายตาเขาหยุดจ้องอยู่ที่มือเผยโม่ จ้องกระเป๋าวิเศษในมือเผยโม่ แล้วก็กวาดมองร่างของพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัย
เผยโม่ที่ยืนอยู่ข้างล่างโบกกระบี่ชี้มา ถามว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นคนฆ่าพวกเขาเหรอ?”
เยียนเป่ยหงสงสัยนิดหน่อย ตอนแรกเขาก็ยังนึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนฆ่า ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะถามว่าเขาฆ่ารึเปล่า อย่าบอกนะว่ายังมีคนอื่นอีก? หรือว่าเหมียวอี้ส่งคนอื่นมาด้วยเพื่อป้องกันความผิดพลาด?
เยียนเป่ยหงรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่น ก็ถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นใครกัน?”
เผยโม่เผยป้ายคำสั่งในมือพร้อมตอบว่า “หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์! เจ้าเป็นใคร?”
เยียนเป่ยหงตกใจแล้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์ เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
ดาบในมือขยับเล็กน้อย เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฆ่าปิดปาก ทว่าสายตาไปหยุดอยู่ที่กระเป๋าวิเศษในมืออีกฝ่าย ทำให้กังวลใจอยู่บ้าง เมื่อครู่เขาเพิ่งได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของอาวุธวิเศษชิ้นนี้ บวกกับไม่รู้ถึงความตื้นลึกในพลังของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตายไปแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนฆ่าก็ตาม สรุปก็คือตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเองยังสวมหน้ากากอยู่บนใบหน้า อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จึงรีบพุ่งตัวขึ้นฟ้าหลบหนีแล้ว
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เผยโม่ตะโกนอย่างเดือดดาล แล้วถลันตัวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ลำแสงสายหนึ่งถูกปล่อยออกจากมือ ยิงสังหารขึ้นไปบนท้องฟ้า
แกร๊ง! เยียนเป่ยหงโบกมือฟันออกมาดาบหนึ่ง ทำให้กระบี่บินกระเด็นออกไป แล้วก็รีบหนีห่างออกมา
พอเรียกกระบี่บินกลับมาแล้ว เผยโม่ก็ตามติดไม่ยอมปล่อย ไล่ตามไปจนถึงดาราจักร เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อย เหมือนวรยุทธ์ของทั้งสองจะพอๆ กัน แต่ที่จริงวรยุทธ์ของเผยโม่สูงกว่าเยียนเป่ยหงไม่น้อย
เยียนเป่ยหงที่หันกลับมามองเป็นระยะตกใจมาก เห็นเผยโม่หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังติดต่อตำหนักสวรรค์ ตำหนักสวรรค์มีคนเยอะมีกำลังมาก สามารถระดมพลกลุ่มใหญ่ได้ทุกเมื่อ ถ้าถูกกำลังพลตำหนักสวรรค์ดักขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว ตรงหน้ากลับสลัดฝ่ายตรงข้ามทิ้งไม่หลุด อบากจะฆ่าทิ้งก็กลัวของวิเศษในมืออีกฝ่าย เขายังนึกไม่ออกว่ามีวิธีการไหนสามารถรับมือกับของวิเศษชิ้นนั้น
เยียนเป่ยหงที่กำลังรีบหนีหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจหาจุดที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอด นับเป็นความโชคดีในความโชคร้าย สถานที่ที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นให้มาอยู่ค่อนข้างเปลี่ยวห่างไกลความเจริญ จุดที่ไม่ห่างจากตรงนี้มากก็คืออาณาเขตดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ มันถูกเรียกว่า ‘ทะเลดาวสับสน’ เยียนเป่ยหงเริ่มขมวดคิ้วจ้อง การหนีเข้าไปใน ‘ทะเลดาวสับสน’ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว แต่เขาก็ไม่อยากหนีเข้ามาที่นี่ สาเหตุที่เรียกที่นี่ว่าทะเลดาวสับสน ก็เพราะคนที่ล่วงล้ำเข้าไปจะหลงทางได้ง่ายมาก ถ้าไปหลงทางอยู่ในนั้นแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะออกไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต
แต่เขาไม่มีทางเลือก หลังจากที่อื่นได้รับข่าว กำลังพลตำหนักสวรรค์จะต้องมาปิดล้อมในทันทีแน่นอน ตัวเขาเองโดดเดี่ยวกำลังน้อย ถ้าไปที่อื่นก็เกรงว่าจะหนีพ้นได้ยาก ภายใต้ความจำใจ เขาทำได้เพียงแข็งใจล่วงล้ำเข้าไปทาง ‘ทะเลดาวสับสน’ แล้วค่อยคิดหาทางเอาตัวรอดอีก
ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ด้านนอกทะเลดาวสับสนมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งล้อมไว้แล้ว จุดประสงค์หลักก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ร้ายหลบหนีไปซ่อนตัวในนั้น
ระหว่างทาง เยียนเป่ยหงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เช่นกัน รีบบอกสถานการณ์ทางนี้ให้เหมียวอี้รู้ ไม่ว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไร แต่สรุปก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงตายแล้ว จะได้แก้ไขความกังวลให้เหมียวอี้ได้
ในค่ายของทัพกลาง เหมียวอี้นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเพียงลำพัง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว สีหน้าก็ค่อนข้างแย่
ไม่ผิดหรอก เขาเป็นคนส่งเยียนเป่ยหงไปฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่กลับประเมินเซี่ยโห้วหลงเฉิงต่ำไป เยียนเป่ยหงทำพลาดแล้ว ขนาดเยียนเป่ยหงเองยังเกือบจะตายน้ำตื้นเลย แต่ที่แปลกก็คือ เขากลับไม่รู้ว่าใครกันที่ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแล้ว จู่ๆ ดันมีคนหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์โผล่มา และตอนนี้ก็กำลังตามกัดเยียนเป่ยหงไม่ปล่อย
เรื่องนี้แปลกนิดหน่อย เบี่บงเบนไปจากสิ่งที่เขาคาดคิดเยอะมาก ตอนนี้เท่ากับสร้างปัญหาใหญ่ให้เยียนเป่ยหงแล้ว ทั้งยังสร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเองด้วย ถ้าเยียนเป่ยหงตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ขึ้นมา ต่อให้เขาจะเชื่อใจว่าเยียนเป่ยหงจะไม่ทรยศเขา แต่ด้วยวิธีการสืบสวนต่างๆ นาๆ ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าจะทำให้เยียนเป่ยหงทำตามใจตัวเองไม่ได้
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงส่งเหยียนซิวไปจัดการเรื่องนี้แล้ว เหยียนซิวติดตามอยู่ข้างกายเขามาหลายปี เคยเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาก่อน สามารถทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงลดความระวังตัวได้ จะทำให้การลอบสังหารสำเร็จได้ง่ายมาก แต่ประเด็นสำคัญที่คิดในตอนนั้นก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากอาณาเขตของเซี่ยโห้วหลงเฉิงมากเกินไป ในฐานะที่เหยียนซิวเป็นกำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าหายตัวนานเกินไปก็จะถูกคนสงสัยได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาตายอย่างกะทันหันหลังจากที่ถูกตระกูลเซี่ยโห้วถามถึงเรื่องปีศาจโลหิต ถึงอย่างไรข้างกายเหมียวอี้ก็ยังมีสายลับของตำหนักสวรรค์อยู่หนึ่งคน ถึงได้ส่งคนที่สามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ความน่าสงสัยตกมาถึงตัวเหมียวอี้ได้อย่างเยียนเป่ยหงไป แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้
เยียนเป่ยหงบอกเขาไว้แล้ว ว่าเตรียมตัวจะหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสน ถ้าหนีไม่พ้นจริงๆ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ ให้เหมียวอี้ช่วยดูแลหงซิ่วกับหงฝูด้วย
เหมียวอี้รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร เพื่อที่จะปกป้องเหมียวอี้ เยียนเป่ยหงได้เตรียมตัวสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว และเยียนเป่ยหงก็เป็นชายชาตรีที่จะเป็นหรือจะตายก็ได้มาตลอด ไม่ใช่คนที่แยแสความเป็นความตาย
ทว่าสถานที่ไกลเกินไป นอกจากเหมียวอี้จะไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย ยังเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจอีกด้วย ถ้ามีเวลารับมือก็ว่าไปอย่าง แต่ภายในเวลาสั้นๆ เขาไม่สามารถหาใครไปช่วยเหลือได้ทันเวลา ดังนั้นตอนนี้ก็ช่วยอะไรเยียนเป่ยหงไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่หวังว่าเยียนเป่ยหงจะหลบเข้าไปในทะเลดาวสับสนได้อย่างราบรื่น เขาทำได้เพียงนั่งรอฟังข่าวจากเยียนเป่ยหงอยู่ที่นี่
เมื่อได้รับรายงานจากเผยโม่ กำลังพลตำหนักสวรรค์ก็เคลื่อนไหวทันที กำลังพลท้องถิ่นที่ประจำอยู่รอบทะเลดาวสับสนรีบดักเส้นทางหลบหนีของเยียนเป่ยหงตามที่ได้รับรายงานจากเบื้องบน มีข่าวส่งมาหาเผยโม่ไม่ขาดสาย ทำให้สามารถดักทางได้อย่างแม่นยำ
หมอกดาวกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ไม่ใช่หมอกดาวจริงๆ หรอก เป็นฝุ่นละออง ฝุ่นละอองที่มีแสงเล็กน้อยเมื่ออยู่ภายใต้การส่องหักเหของแสง ฝุ่นละอองบริเวณกว้างหยุดนิ่งอยู่นดาราจักร เป็นสีขาวขมุกขมัว ราวกับเป็นหมอกดาวขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
ชั่วพริบตาที่เยียนเป่ยหงพุ่งตัวเข้ามา กำลังพลหลายหมื่นก็พุ่งออกจากฝุ่นละอองอย่างกะทันหัน การวางกำลังที่หนานแน่นดักทางอยู่ข้างหน้า ผู้ที่บัญชาการกำลังพลกลุ่มนี้ก็คือแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เห็นคนที่สวมเกราะม่วงของแม่ทัพแล้ว เห็นเพียงเกราะรบสีทองเหมือนกันหมด
เยียนเป่ยหงตกใจนิดหน่อย ตกตะลึงกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของตำหนักสวรรค์ ส่งคนมาดักทางเขาได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ
เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ประจำการอยู่ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เหมียวอี้เองก็ไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่เช่นกัน
สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาค่อนข้างสงสัย อาศัยนักพรตบงกชทองกลุ่มนี้มีหรือที่จะดักเขาได้ เพื่อเป็นการระมัดระวังตัว เขารีบสวมเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์สูงที่เหมียวอี้มอบให้เขา แล้วถือดาบพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
“เตรียมตัว!” ในทัพใหญ่มีคนตะโกนเสียงดัง
กำลังพลหลายหมื่นที่กำลังถืออาวุธชูสลอนรีบเผยเชือกมัดเซียนออกมา แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ต้องสงสัยจะพุ่งเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ราวกับมองข้ามความสามารถในการทำลายอิทธิฤทธิ์ของเชือกมัดเซียน มองเห็นพวกเขาเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้แล้วว่าเยียนเป่ยหงเอาความมั่นใจมาจากไหน
“ปล่อย!” ผู้บัญชาการทัพตะโกนสั่งเสียงดัง
เชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นยิงเข้ามาราวกับห่าฝนทันที แทบจะฝังให้ศัตรูอยู่ในกองเชือก
“เฮ่อ!” เยียนเป่ยหงตะโกนอย่างเกรี้ยวดราด ทั้งตัวพุ่งออกไปราวกับลูกธนูคม หมุนตัวออกดาบ ดาบล่องหนหลายสายพุ่งออกไปทั่วสารทิศด้วยความเร็วสูง ราวกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน
เสียงระเบิดดังอย่างหนาแน่นก้องดาราจักร เมื่อคมดาบไปถึงตรงไหน เชือกมัดเซียนที่บินเข้ามาก็จะระเบิดขาด ต้านทานความคมของดาบใหญ่ผลึกแดงนี้ไม่ได้
“อ๋า…” มีเสียงร้องตกใจดังขึ้นเป็นแถบๆ
ท่ามกลางเชือกมัดเซียนที่ขว้างออกมาอย่างหนาแน่น มีดอกไม้ดอกหนึ่งระเบิดออกมา ไม่น่าเชื่อว่าศัตรูจะถือดาบมือเดียวสังหารฝ่าออกมาแล้ว
พอเยียนเป่ยหงพุ่งออกมา ก็รีบโบกดาบกวาดบนร่างกายตัวเอง ป้องกันร่างกายท่อนบนได้ แต่กลับป้องกันร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ร่างกายท่อนล่างโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้แล้ว ซวบ! พอคมดาบผ่านไป เชือกมัดเซียนกองใหญ่ที่มัดท่อนล่างไว้ก็ระเบิดออกทั้งหมด จากนั้นแสงดาบก็พุ่งออกมา ทั้งตัวโจมตีไปยังกลุ่มคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ราวกับโยนหินก้อนใหญ่ลงในน้ำ คลื่นคนกระจายไปทั่วไป
“อา…” เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบ
กลุ่มคนที่หนาแน่นอยู่ข้างหนาหลบการโจมตีที่รวดเร็วของเยียนเป่ยหงไม่ทัน ทำให้มีคนตายนับร้อยในชั่วพริบตาเดียว
สถานการณ์การสู้รบวุ่นวายมาก เยียนเป่ยหงสังหารฝ่าออกมาในอึดใจเดียว ฉวยโอกาสพุ่งตัวหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสนอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ใครจะคิดว่าตอนที่เขากำลังจะเข้าใกล้ฝุ่นละอองผืนใหญ่ ลำแสงสิบสายก็ยิงออกมาจากฝุ่นละอองด้วยความเร็วสูงราวกับดาวตก ดักซุ่มโจมตี ธนูดาวตก!
เยียนเป่ยหงสะบัดแขน ดึงตัวทหารสวรรค์ที่ดิ้นรนคนหนึ่งมาขวางไว้ตรงหน้า
เขาเป็นคนที่เลี้ยงชีพด้วยการสู้รบ ประสบการณ์ในการเข่นฆ่าโชกโชนยิ่งกว่าเหมียวอี้เสียอีก ก่อนหน้านี้ตอนเห็นสถานการณ์สู้รบแบบนี้ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ทหารสวรรค์เกราะทองสีเดียวกันหมด คนที่ยศต่ำนั้นไม่มี คนที่ยศสูงก็ไม่มีเช่นกัน เขาสงสัยแล้วว่าจะมีการเล่นตุกติก ตอนที่สังหารฝ่าออกมาจึงถือโอกาสจับตัวประกันหลายคนเอามาคอยป้องกัน
ฉึก! ลำแสงรวมตัวกัน แทงทะลุเกราะทองตรงหน้าอกตัวประกันโดยตรง เกิดเป็นรูเลือด แล้วก็ทะลุเกราะรบด้านหลังอีกด้วย ถึงแม้อานุภาพการโจมตีจะสิ้นกำลังลงไม่น้อย แต่ก็ยังมีอานุภาพมากอยู่ดี เสียงแกร๊งๆ ดังต่อเนื่องหลายรอบ แสงดอกธนูแหลมคมทะลุคนที่อยู่ข้างหน้า และโดนบนร่างกายเยียนเป่ยหงอย่างแรง
…………………………