พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1397 เงาผีที่ทำให้สับสน
สำหรับการเตรียมการแบบนี้ ในใจเหมียวอี้เป็นกังวลอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นการค้นหาแบบดึงแห แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใกล้กับนอกวงล้อมที่ทอดแหออกไป เขากังวลว่ากำลังพลที่อยู่ข้างจะเจอเยียนเป่ยหงก่อน อาศัยกำลังของเยียนเป่ยหงก็ไม่มีทางต้านทานการร่วมมือรุกโจมตีของทัพใหญ่ได้เลย ต่อให้เป็นกลุ่มเล็กๆ แค่ไม่กี่ร้อยคน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เยียนเป่ยหงจะต้านทานไหว
ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือตัวอยู่ในแหและรอบข้างมีเพื่อนร่วมงาน ไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว
เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้ออกเดินทาง เยียนเป่ยหงตกอยู่ในกับดักเพราะตัวเอง เหมียวอี้จึงไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว ตอนที่ผู้บัญชาการเหยียนหั่วเพิ่งจะวางแผนภารกิจเสร็จและกำลังแจกระฆังดาราจำนวนมากให้หัวหน้าของกลุ่มมารับ เหมียวอี้ที่คิดไปคิดมาไม่กี่ตลบก็กุมหมัดคารวะต่อหน้าฝูงชน “ผู้บัญชาการเหยียน กำลังลพลธงพยัคฆ์ดำของข้าน้อยยินดีจะเป็นกองหน้าขอรับ!”
ตอนนี้เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการชั่วคราวคนหนึ่ง ทำหน้าที่บัญชาการกำลังพลสองพันห้าร้อยที่ตัวเองพามา
ส่วนเหยียนหั่วก็ยิ่งแย่ เดิมทีเขาเป็นรองหัวหน้าภาคของทัพเป่ยโต้ว ตอนนี้ลดขั้นกลายเป็นผู้บัญชาการชั่วคราว คอยบัญชาการทัพใหญ่ห้าหมื่นที่ดึงตัวมาจากทัพเป่ยโต้ว สาเหตุที่ไม่ให้กำลังพลระดับล่างของแต่ละกองมารับหน้าที่นี้ ก็เพราะกลัวว่าแต่ละกองจะถือหางปกป้องพรรคพวกของตัวเองยามปฏิบัติภารกิจ แล้วคนของแต่ละกองมีใครกลัวใครเสียที่ไหน กลัวจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นขึ้น จึงให้รองหัวหน้าภาคมาคุมเองเสียเลย แบบนั้นใครก็ไม่กล้าก่อเรื่องซี้ซั้ว
ตอนนี้ ‘ผู้ช่วยผู้บัญชาการ’ ชั่วคราวเกือบยี่สิบคนที่เหลือของแต่ละกองมองเหมียวอี้ราวกับเป็นอะไรสักอย่าง
จัวอิ๋งฮว่า ผู้บัญชาการใหญ่จัวที่มาจากกองมังกรฟ้า อย่าไปมองแต่ความสวยของนางเชียว ท่ามกลางคนกลุ่มนี้นางเป็นคนที่แรกที่ข่มอารมณ์ไม่ไหว นางแสยะยิ้มและพูดแขวะว่า “สมกับเป็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อหนิวที่ชื่อเสียงโด่งดัง”
เมื่อเจอกับคนที่ดันทุรังออกหน้าอย่างเหมียวอี้ ในใจทุกคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ทำเหมือนเก่งมากอย่างนั้นแหละ ต้องทราบไว้ว่าที่นี่ล้วนมีคนของแต่ละกองอยู่ด้วย แล้วจะให้ทุกคนทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร แต่ดันไม่สะดวกจะไปแย่งเรื่องแบบนี้กับเหมียวอี้อีก การที่ผู้บัญชาการใหญ่เกือบยี่สิบคนนี้มาเป็น ‘ผู้ช่วยผู้บัญชาการ’ ชั่วคราวอยู่ที่นี่ได้ ที่จริงก็เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้มาก ตอนแรกไม่มีใครอยากมา แค่คิดจะส่งรองผู้บัญชาการใหญ่สักคนมานำกลุ่มก็พอ แต่ฝั่งกองมังกรดำดันมีผู้บัญชาการใหญ่สองคนกระโดดออกมานำกลุ่ม ทำเอาแม่ทัพภาคของกองอื่นไม่อยากให้เบื้องบนรู้สึกว่าฝั่งตัวเองทำเรื่องนี้อย่างขอไปที ถึงได้ส่งผู้บัญชาการใหญ่พวกนี้มา ดีเลย ตอนนี้เจ้าหนุ่มนี่จะแย่งเป็นกองหน้าอีกแล้ว แต่ไม่มีใครไปแย่งกับเขา ทำได้เพียงอวยพรในใจว่าขอให้เหมียวอี้รีบไปรีบตาย
จ้านหรูอี้ก็พูดไม่ออกมากเช่นกัน จนกระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครรู้ชัดว่าสถานการณ์ในทะเลดาวสับสนเป็นอย่างไร เจ้าต้องการจะเข้าไปก็ว่าหนักแล้ว นี่ยังจะพุ่งไปอยู่ข้างหน้าอีกเหรอ?
วันนี้จ้านหรูอี้นับว่าได้รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ล้อเล่นกับชีวิตขนาดไหน ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองเสียเปรียบอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะสร้างผลงาน อีกฝ่ายยอมแลกอย่างไม่เสียดายชีวิต
นางรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าควรจะใช้สติปัญญาสักหน่อย ไม่ควรทำเรื่องนี้โดยใช้อารมณ์ แต่เรื่องบางเรื่องนางก็ควบคุมตัวเองไม่ไหว ต่อให้ยามปกติจะแสร้งทำตัวยดีขนาดไหน แต่ในส่วนลึกนางก็ยังเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นนางจึงแข็งใจก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะตาม “กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินของข้าน้อยยินดีจะเป็นกองหน้าสำรวจเส้นทางค่ะ”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจด้วยความเศร้า อีกประเดี๋ยวก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกน้องจะบ่นนางอย่างไรบ้าง
สองคนนี้ล้วนเป็นคนของกองมังกรดำ เรียกได้ว่าทำให้คนมองเหยียดไม่หยุด
สายตาของเหยียนหั่วไปหยุดอยู่บนใบหน้าสองคนที่เป็นฝ่ายเสนอตัวครู่หนึ่ง ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ในเมื่อมีคนยินดีจะรับผิดชอบงานเต็มที่ก็ดีกว่าให้คนที่ไม่เต็มใจไปเป็นแนวหน้าจนเสียเรื่องอยู่แล้ว เขาพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “อนุมัติ! ถ้าสร้างผลงานได้ เดี๋ยวกลับไปข้าจะขอผลงานต่อหน้าแม่ทัพภาคให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง!”
“ขอบคุณที่ผู้บัญชาการช่วยให้สมปรารถนา!” จ้านหรูอี้ขอบคุณตามเหมียวอี้ ในใจเรียกได้ว่าขื่นขม ขนาดนางยังเริ่มรำคาญตัวเองแล้วเลย
พอเหยียนหั่วโบกมือ ก็นับว่าวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว แล้วเริ่มแจกระฆังดาราชุดใหญ่ที่ได้มาจากเบื้องบน ต้องรับประกันว่าหลังจากกำลังพลชุดใหญ่เข้าไปในทะเลดาวสับสนแล้วจะสามารถติดต่อกันอย่างทั่วถึงได้ จะได้สะดวกต่อการยืนยันตำแหน่งของทุกงคนได้จากหลายมุม
กำลังพลสิบล้าน ทุกคนใช้ระฆังดาราคนละหลายอัน กำลังทรัพย์แบบนี้ใช่ว่าใครก็จะจ่ายไหว ถ้าไม่มีรากฐานก็ไม่มีทางเข้าไปจับคนในทะเลดาวสับสนได้เลย
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฝั่งทัพเป่ยโต้วก็จัดให้กำลังพลของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปอยู่ตำแหน่งกองหน้า
วันต่อมา ทัพใหญ่สิบล้านมารวมตัวอยู่นอกทะเลดาวสับสนอย่างโอ่อ่าอลังการตรงนี้ระดมกำลังพลท้องถิ่นหลายล้านและกำลังวางกำลังอยู่นอกทะเลดาวสับสนตั้งนานแล้ว เป็นการกระจายกำลังที่หละหลวมมาก เมื่อทอดสายตามองไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่ ก็แทบจะมองไม่เห็นคนเลย
แต่ท่ามกลางกำลังพลท้องถิ่นที่กำลังกระจายตัว กลับมีคนไม่น้อยที่ตกตะลึงกับการมาของกองทัพองครักษ์สิบล้าน
ทัพใหญ่สิบล้านถูกกำลังพลท้องถิ่นดักไว้ตรงจุดที่ไม่ไกลจากทะเลดาวสับสน ทำแบบนี้ก็เพื่อยืนยันตัวตน และก็ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ถ้าอยากจะปลอมแปลงคนจำนวนมากขนาดนี้ ก็มีอัตราความเป็นไปได้ไม่สูง
หลังจากทั้งสองฝ่ายเจอกันและแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็ตั่งค่ายทัพกลางบนดวงดาวรกร้างหนาวเย็นดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ทันที เป็นการบัญชาการโดยรวมความรับผิดชอบไว้ที่คนคนเดียว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ทัพใหญ่สิบล้านก็ได้รับคำสั่งกองทัพ แล้วเริ่มกระจายกำลังแบบสามมิติทันที กองทัพก็ขยายแถวออกไปเป็นเส้นตรงในแนวลึกพร้อมกัน ทัพหน้าราวกับแหผืนใหญ่ที่หว่านเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่ที่กำลังเปล่งแสงสลัว
จ้านหรูอี้ที่กำลังกระจายกำลังอยู่ข้างหน้าเอียงศีรษะมอง พบว่าเหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูดตัวเองจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะพุ่งไปอยู่แถวหน้าสุดของกำลังพลธงพยัคฆ์ดำ ต้องการจะเข้าไปในทะเลดาวสับสนคนแรก
จ้านหรูอี้เกิดความคิดที่จะบีบคอท่านขุนนางเหมียวให้ตายแล้ว นางแอบกัดฟัน และพุ่งไปอยู่หน้าสุดของธงพยัคฆ์น้ำเงินเช่นกัน กระโจนเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่แล้ว
ทัพใหญ่สิบล้านกำลังกระจายตัวแบบสามมิติ ข้างหน้ากำลังกระจายตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ส่วนข้างหลังก็ทยอยกันเข้าไปแบบขั้นบันได สุดท้ายก็หยุดอยู่กับที่โดยไม่ขยับไปไหน ต้องรอให้กำลังพลที่เข้าไปในหมอกหน้าผืนใหญ่ดึงระยะห่างจนถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเต็มที่ก่อน
ข้างหน้ามีหมอกหนาบังตา สามารถมองเห็นในระยะสิบกว่าจั้งเท่านั้น เหมียวอี้ที่นำกำลังพลพุ่งเข้าไปในหมอกหนาผืนใหญ่ก็รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปเช่นกัน ว่าให้ทุกคนถือระฆังดาราเอาไว้ไม่ปล่อย เพื่อที่จะยืนยันแต่ละตำแหน่งได้ทุกเมื่อ…
ในขณะเดียวกันนี้เอง เยียนเป่ยหงก็ได้รับข้อความจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน รู้ว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาถึงแล้ว รู้ว่าเหมียวอี้มาช่วยตนแล้ว เขาจึงลงมือเตรียมตัวเช่นกัน ทั้งสองนัดหมายกันไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
พอเก็บระฆังดาราแล้ว เยียนเป่ยหงก็ก้มหน้าก้มตาใช้ความพยายามอีกครั้ง ขุดหินสีแดงเข้มบนดวงดาวที่ตัวเองปักหลักอยามาบดให้กลายเป็นผุยผง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามาสะสมไว้ในกำไลเก็บสมบัติ วันแรกๆ หลังจากได้รับข่าวจากเหมียวอี้ เขาก็ทำเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากต้องใช้ผงหินสีแดงเข้มในปริมาณเยอะมาก
แต่ตอนนี้ไม่มีทางเตรียมต่อไปได้อีก เพราะกำลังพลตำหนักสวรรค์ออกเดินทางแล้ว หลังจากทำซ้ำแบบเดิมอีกหนึ่งชั่วยาม เยียนเป่ยหงที่ทยอยสะสมมาตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนหลังจนเต็มกำไลนับพันวงก็วางมือ ก่อนจะเหาะไปยังดาราจักรที่มีหมอกหนาอย่างเหี้ยมหาญ
หลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดก็ได้ใช้งานผงหินสีแดงเข้มที่เก็บสะสมไว้แล้ว เยียนเป่ยหงที่ถือกำไลเก็บสมบัติยื่นแขน ลากดึงผงสีแดงให้ไหลออกมา ตามการร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นของเขา ผงสีแดง แผ่กระจายตลบฟุ้งตลอดทาง เกลื่อนกลาดเข้าไปในฝุ่นผงสีขาวอันกว้างใหญ่ ระบายสีเลือดเข้าไปในสีขาวแล้ว
นี่ก็คือเรื่องที่เหมียวอี้สั่งให้เขาทำ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะอาศัยวิธีการนี้ช่วยตนออกไปได้อย่างไร เมื่อเทียบกับทะเลดาวสับสนอันกว้างใหญ่ไพศาล ของที่เขาสาดโปรยพวกนี้ก็ดูเล็กน้อยไปเลย มิหนำซ้ำยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ประโยชน์จากสายตาไม่ได้ด้วย
ทว่าหลังจากที่เขาโปรยผงสีแดงในกำไลเก็บสมบัติไปได้ไม่กี่ร้อยวง ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักกลางอากาศ หยิบดาบใหญ่ออกมาแล้วหันตัวมองไป มองไปยังทิศทางที่ตัวเองสาดผงสีแดงไว้ตลอดทาง
เขาสัมผัสได้รางๆ ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่ง จึงร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน ก็พบทันทีว่าตรงผงสีแดงที่ตัวเองสาดไว้ตลอดทางกำลังไหลกระเพื่อมเล็กน้อย พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มนั้นเหมือนกำลังไล่ตามผงสีแดงที่เขาสาดไว้
เมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองฝ่ายสัมผัสเจอกัน พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เยียนเป่ยหงตกใจทันที รู้สึกได้ว่าพลังภายในคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวเองเยอะมาก แบบนี้หมายความว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตน
เป็นใครกัน? อย่าบอกนะว่าคนของตำหนักสวรรค์มาถึงไวขนาดนี้?
แต่ที่แปลกก็คือ ตามหลักการแล้วต่อให้วรยุทธ์จะสูงขนาดไหน แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นฝุ่นผงท่ามกลางหมอกหนาได้ แต่ภายใต้ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ไล่ตามรอยผงสีแดงที่ตัวเองสาดไว้ได้อย่างแม่นยำ นี่มันเป็นพลังอภินิหารอะไรกัน?
เยียนเป่ยหงที่มีความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวรีบหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบกลางคัน แล้วพลิกมือพ่นฝุ่นผงในกำไลเก็บสมบัติออกมาทั้งหมด ลูกกลมๆ สีแดงที่กำลังลากฝุ่นผงแล่นไปไกลด้วยความเร็วสูง และในขณะเดียวกันนั้น ตัวเขาเองก็รีบถลันหลบไปด้านข้างเช่นกัน ชั่วพริบตาที่หลบเข้าไปซ่อนตัวในดาราจักรแล้วหันกลับมา ก็เห็นรางๆ ว่าผงสีแดงข้างหลังตัวเองกระเพื่อม แทบจะมาถึงตัวเขาแล้ว โชคดีที่ฉวยโอกาสตัดสินใจได้เร็ว
รู้สึกได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ตัวเขาในเวลานี้ถึงขั้นพยายามสำรวมพลังอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองใช้อย่างสุดความสามารถ อาศัยแรงเฉื่อยตอนพุ่งหนีไปให้ไกล
หลังจากออกจากเขตนั้นมาแล้ว เยียนเป่ยหงถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่ามียอดฝีมือของตำหนักสวรรค์เข้ามาก่อนหรือเปล่า
เหมียวอี้ถามอย่างตกใจ : เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เยียนเป่ยหงเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที บอกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก จะต้องมีพลังไม่ธรรมดาแน่นอน
เหมียวอี้ : ข้าไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์ส่งยอดฝีมือเข้าไปก่อนหรือเปล่า ข้าไม่เห็นด้วย ตามหลักการแล้วถ้ายอดฝีมือของตำหนักสวรรค์สามารถบุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนได้ตามอำเภอใจ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทหารเล็กๆ อย่างพวกเรามาสำรวจทางหรอก
เยียนเป่ยหง : ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ? อีกฝ่ายเหมือนจะตรวจจับผงสีแดงที่ข้าสาดได้อย่างแม่นยำแล้ว เกรงว่าจะไม่สะดวกใช้วิธีการของเจ้าต่อไปแล้ว
เหมียวอี้ : ท่านสาดฝุ่นผงออกมาจากกำไลเก็บสมบัติหลายร้อยวงแล้วเหรอ?
เยียนเป่ยหง : ใช่ เตรียมจะใช้อีกหนึ่งพันวง ตอนนี้ใช้ไปแค่หนึ่งในสามส่วน
เหมียวอี้ : ท่านห่างจุดที่สาดฝุ่นผงไปไกลหรือยัง?
เยียนเป่ยหง : ไม่ใกล้นะ แต่ก็ไม่ไกลมาก
เหมียวอี้ : ท่านอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวเอง รอให้สถานการณ์เป็นใจก่อน ตอนนี้อยู่แถวๆ นั้นเข้าไว้ ข้าจะได้หาท่านเจอได้สะดวก ส่วนที่เหลือข้าจะคิดหาทางเอง
หลังจากทั้งสองติดต่อกันแล้ว เหมียวอี้ก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนอื่นอีก
ในค่ายทัพกลางที่อยู่ข้างนอก หลังจากได้รับข่าวจากลูกน้องแล้ว ไป่หลี่เฟิง หนึ่งในผู้ที่รับหน้าที่บัญชาการก็พลันตะโกนว่า “บอกให้กำลังพลทุกคนหยุดเดินหน้าเดี๋ยวนี้”
ฮ่วนอู๋เปียนหันขวับมาถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ไป่หลี่เฟิงรีบบอกว่า “ให้คนหยุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฮ่วนอู๋เปียนพยักหน้าให้ลูกน้องทันที บอกให้ปฏิบัติตาม
ผ่านไปไม่นาน ทั้งในและนอกทะเลดาวสับสน กำลังพลที่รอเข้าไปรวมทั้งกำลังพลที่เข้าไปแล้วก็รีบหยุดทันที
ในค่ายชั่วคราวของทัพกลาง หลังจากได้ข่าวว่ากำลังพลหยุดเดินหน้าแล้ว ฮ่วนอู๋เปียนก็มองไปทางไป่หลี่เฟิงอีกครั้ง ทำสายตาเหมือนกำลังสอบถาม
ไป่หลี่เฟิงเอามือไขว้หลัง ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อที่นำบุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนส่งข่าวมา บอกว่าเห็นมีคนผ่านไปรางๆ ทั้งยังปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งมากด้วย”
“ใครกัน?” ฮ่วนอู๋เปียนขมวดคิ้วถาม
ไป่หลี่เฟิงตบว่า “เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มองเห็นไม่ชัด แต่เป็นยอดฝีมือแน่นอน แข็งแกร่งกว่านักพรตบงกชรุ้งที่เขาเคยเจอเสียอีก” จากนั้นหันมาตะโกนบอกพวกลูกน้อง “คำนวณตำแหน่งปัจจุบันของหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้”
…………………………