พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1399 พายุสีขาว
เมื่อหาเยียนเป่ยหงพบแล้ว เขาก็เริ่มคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองอีก ขณะที่ใช้ยาแก่นเซียนฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ เขาก็ใช้งานดวงตาทิพย์อีกครั้งโดยไม่เสียดายพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไป เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งยิงออกมา สำรวจค้นหาจนเจอจุดที่เยียนเป่ยหงปล่อยผงสีแดงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนยังไม่เห็นก็ไม่รู้ พอได้เห็นแล้วก็แอบตกใจ ถ้าจะบอกว่าการร่วมกลุ่มของ ‘วิญญาณสีขาว’ ก่อนหน้านี้ใหญ่มโหฬารเพียงพอแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็ปรากฏเป็นรูปร่างที่ใหญ่กว่านั้น มันกลายเป็นรูปหงส์แล้ว เป็นหงส์สีขาวดุจหิมะตัวหนึ่ง เวลากางปีกแล้วยาวอย่างน้อยร้อยลี้ เหมือนแม่ไก่ตัวหนึ่งที่พาฝูงลูกไก่เดินเตร่ไปทั่ว
ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าวิญญาณสีขาวกลุ่มนี้คืออะไรกันแน่ จู่ๆ หงส์ขาวตัวนั้นก็กระพือปีกสองข้าง แล้วก็พังทลายเสียงดังตูมตาม ร่างกายขนาดมหึมาระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีขาวที่โหมซัดสาด เหมือนกับฝุ่นผงสีขาวที่อยู่รอบข้างไม่มีผิด กลิ้งกระเพื่อมไปทั่วสารทิศราวกับคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สายตาทิพย์ของเหมียวอี้พร่ามัวตามไปด้วย
รอจนกระทั่งสายตามองเห็นกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย บริเวณจุดศูนย์กลางของการระเบิดก็กะพริบแสงราวกับอัญมณีสีขาว ปรากฏเป็นหยดน้ำที่เลื้อยขยุกขยิกกลุ่มหนึ่ง แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นแสงสว่างก็พลันหายไป กลายเป็นสตรีคนหนึ่งที่งดงามราวกับเทพธิดา
กระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ม้วนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆ กระโปรงลอยพลิ้วไหว ผมยาวที่ปลิวล่องลอยเป็นสีขาวราวกับน้ำค้างสีขาวเงิน ทั้งยังมีคิ้วที่ขาวราวกับย้อมมา เมื่อประกอบกับผิวที่ขาวหมดจด ก็ให้ความรู้สึกราวกับทั้งตัวถูกสลักออกมาจากหยกขาว
ความงามของสตรีผู้นี้มีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ ลักษณะท่าทางเหมือนไก่ตัวผู้ที่หยิ่งทระนง ราวกับเขียนคำว่า ‘หยิ่งทระนง’ไว้บนใบหน้า คางเชิดขึ้นเล็กน้อย กำลังยกมือวาดเท้า บงการให้ ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นหัวหมุนทำงาน
ในขณะเดียวกันนี้เอง ทัพใหญ่สิบล้านที่ทยอยเข้าไปในทะเลดาวสับสนโดยทิ้งระยะห่าง โดยส่วนใหญ่นั้นเข้าไปหมดแล้ว เหลือเพียงกำลังพลส่วนน้อยที่อยู่เฝ้านอกค่ายทัพกลางชั่วคราว
เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้วิญญาณสีขาวกลุ่มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็แอบกระวนกระวาย เขาเองก็ไม่สะดวกจะเตือนทัพใหญ่ ไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองพบความผิดปกติล่วงหน้าแล้ว แต่จะไม่เตือนก็ไม่ได้ ถ้าพุ่งชนเข้าไปแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าสัตว์ประหลาดที่ปรับตัวได้อย่างอิสระและซ่อนตัวอยู่ในทะเลดาวสับสนเป็นตัวอะไร
ไม่อาจห่างจากวงนอกไกลเกินไป ไม่อย่างนั้นจะหนีไม่สะดวก! เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ตัดสินใจหยั่งเชิง ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เหมียวอี้แววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เยียนเป่ยหงถูกเรียกออกมาอีกแล้ว ทั้งสองพึมพำคุยกันพักหนึ่ง แล้วเยียนเป่ยหงก็มอบกำไลเก็บสมบัติที่ใส่ผงสีแดงไว้เต็มที่เหลืออยู่ให้เหมียวอี้ทั้งหมด จากนั้นก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เหมือนเดิม
เหมียวอี้กำชับเหยียนซิวอีกนิดหน่อย แล้วก็นำกำไลเก็บสมบัติพวกนั้นให้เหยียนซิว ให้เขานำหน้าไปก่อนด้วยความเร็วสูงสุด กำชับเส้นทางที่รุดหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ร่างกายของเหยียนซิวพลันจมลง เหาะเฉียงลงไปทางด้านล่างแล้ว
การที่ทัพใหญ่สิบล้านเข้ามาที่นี่ ไม่ได้เป็นการแข่งความเร็วในการเหาะ แต่มาเพื่อค้นหา ดังนั้นจึงไม่ได้เหาะเร็ว พวกโก่วเจ๋อก็ไม่ได้เหาะเร็วเช่นกัน รักษาความเร็วเฉลี่ยนให้เท่ากับทัพใหญ่ข้างหลังตลอด นี่เป็นการให้โอกาสเหยียนซิวแล้ว เขาอ้อมผ่านยอดฝีมือสิบคนที่อยู่ข้างล่างไปเสียเลย นำอยู่ข้างหน้าสิบคนนั้นไปแล้ว รอจนกระทั่งออกห่างจากสิบคนนั้นไปไกลแล้ว เหยียนซิวถึงได้หยิบกำไลเก็บสมบัติที่เหมียวอี้ให้ไว้ออกมา แล้วทำตามที่เหมียวอี้สั่ง ปล่อยผงสีแดงออกมาจำนวนมากเหมือนที่เยียนเป่ยหงทำ
ตาทิพย์ของเหมียวอี้กำลังจ้องปฏิกิริยาของ ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มนั้น เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ วิญญาณสีขาวกลุ่มนั้นไวต่อการปะปนของผงสีแดงมาก สาวงามหยิ่งทระนงที่คิ้วขาวผมขาวพลันจ้องมองมาทางนั้น จู่ๆ ก็ถลันแวบไปยังทิศทางที่เหยียนซิวอยู่ด้วยความเร็วราวกับดาวตก
ความเร็ซระดับนั้นทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก เขารีบเขย่าระฆังดาราส่งข่าวให้เหยียนซิว
เหยียนซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนกำไลเก็บสมบัติในมือแล้วรีบถลันอ้อมออกไปด้านข้าง อ้อมกลับมาด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
รอจนกระทั่งเหยียนซิวกลับมารายงานผลอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ก็แค่โบกมือตอบ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น กำลังจับตาดูสาวงามหยิ่งทระนงที่พุ่งเข้ามา กลุ่มวิญญาณสีขาวที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามไปติดๆ เช่นกัน เหมียวอี้รู้สึกนิดหน่อยว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้นั้นขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว ตอนนี้พวกโก่วเจ๋อกำลังมุ่งไปยังผงสีแดงที่เหยียนซิวปล่อยเอาไว้ คนสองกลุ่มกำลังจะปะทะกันเร็วๆ นี้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกโก่วเจ๋อจะรับมือไหวหรือไม่
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ทำได้เพียงให้ยอดฝีมือสิบคนนั้นไปหยั่งเชิงก่อน ถ้าแม้แต่พวกโก่วเจ๋อยังรับมือไม่ไหว เขาก็จะเลี้ยวหนีทันที ไม่จำเป็นต้องนำลูกน้องพุ่งเข้าไปรนหาที่ตาย
“เอ๋! ทำไมตรงนี้มีผงสีแดงได้?”
คนที่อยู่ข้างหน้าสุดของกระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมพบความผิดปกติ จึงรีบส่งข่าวบอกโก่วเจ๋อที่คุมสถานการณ์อยู่ตรงกลาง
โก่วเจ๋อเรียกรวมคนที่เหลือทันที แล้วเร่งความเร็วเพื่อไปดูว่าเป็นอะไรกันแน่ ทั้งสิบคนเพิ่งจะเจอหน้ากันแล้วโผล่ออกมาจากผงสีแดง สตรีชุดขาวก็ทะลุฝ่าหมอกหนามาปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสิบคนแล้ว
ทั้งสองฝ่ายรีบหยุดอย่างกะทันหันและประเมินกันและกัน สตรีสีขาวสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ฝุ่นผงสีขาวที่อยู่โดยรอบหายไปอย่างรวดเร็ว ขยายเป็นพื้นที่ว่างบริสุทธิ์รูปทรงกลมที่มีรัศมีหลายลี้
โก่วเจ๋อรีบแจ้งข่าวให้ทางค่ายทัพกลางรู้ จากนั้นก็โบกมือชี้พร้อมตะโกนถาม “เจ้าเป็นใคร?”
สตรีสีขาวมองดูเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ที่ทำจากผลึกแดงบนตัวทั้งสิบคน แล้วก็มองดูผงสีแดงข้างหลังของพวกเขาอีก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “เป็นพวกเจ้าเองเหรอที่ทำให้อาณาเขตของข้าสกปรก?”
“อาณาเขตของเจ้าเหรอ?” โก่วเจ๋อแสยะยิ้ม “ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน คนที่มาคุมพื้นที่นี้ มิมิผู้ใดไม่ใช่ขุนนางของราชัน พูดจาโอหังนัก ที่นี่เป็นอาณาเขตของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?”
ทางค่ายทัพกลางตกใจไม่เบา นี่ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ไม่น่าเชื่อว่าในทะเลดาวสับสนจะมีคนไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระจริงๆ
ทัพใหญ่สิบล้านได้รับแจ้งอย่างเร่งด่วนจากเบื้องบน ว่าให้หยุดปฏิบัติการชั่วคราว
เพียงแต่พวกเหมียวอี้กลับแอบร่ำร้องอย่างขมขื่น เนื่องจากพวกเขาติดตามอยู่ข้างหลังโก่วเจ๋อ เบื้องบนสั่งให้พวกเขารีบไปรวมตัวกันเดียวนี้ ในสายตาของเบื้องบน เห็นได้ชัดมากว่าความเป็นความตายของทหารต่ำต้อยอย่างพวกเขาไม่สำคัญเท่าพวกโก่วเจ๋อ เหมียวอี้ทำได้เพียงเก็บตาทิพย์ แล้วรอให้กำลังพลของตัวเองเข้ามาหา
และสตรีสีขาวคนนั้นก็เหมือนจะหวั่นกำลังพลของตำหนักสวรรค์อยู่เหมือนกัน ไม่อยากเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์ นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดเหมือนกำลังฝืนนิสัยตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร เอาเป็นว่าข้ากับตำหนักสวรรค์ไม่เกี่ยวข้องกันเหมือนน้ำคลองไม่ยุ่งน้ำบ่อ เห็นแก่หน้าประมุขชิง ข้าก็จะไม่กลั่นแกล้งพวกเจ้าเช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าต้องออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“บังอาจ!” โก่วเจ๋อตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ก้าวคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทันที บนคันธนูวิเศษเปล่งลำแสงสีรุ้ง ทั้งหมดเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหด ตอนนี้ทั้งหมดเล็งขู่ไปที่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว
บนใบหน้าสตรีสีขาวเต็มไปด้วยความเดือดดาลทันที “ทำบ้านข้าสกปรก แล้วยังกล้ามาพาลเกเรที่บ้านข้าอีก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่มั้ย?”
“สุราคำนับไม่ยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!” โก่วเจ๋อโบกมือ “จัดการ!”
เสียงระเบิดดังหนึ่งครั้ง ลูกธนูดาวตกของคนที่อยู่ด้านซ้ายพลันยิงออกไป ยิงตรงไปที่สตรีสีขาว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลงมือกับตนแล้วจริงๆ สตรีสีขาวก็ทำท่าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับยืนแสยะยิ้มมุมปากอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปหน
ลำแสงพลันดับวูบ ลูกธนูดาวตกพลันปรากฏร่างเดิม ลูกธนูดอกหนึ่งยิงโดนหน้าอกของสตรีสีขาว ทว่าเงาร่างของสตรีสีขาวกลับเลือนรางเล็กน้อย ราวกับเป็นคลื่นน้ำกระเพื่อม ลูกธนูดาวตกที่ยิงโดนทะลุผ่านร่างกายไป ไม่เกิดผลในการโจมตีโดน
เงาร่างที่เลือนรางหยุดนิ่งง สตรีสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายดีเหมือนเดิม กล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ยว่า “ของเด็กเล่นแบบนี้ เอาไว้ขู่คนอื่นยังพอไหว แต่ไม่มีผลกับข้าหรอก ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไสหัวออกจากทะเลดาวสับสนของข้าไปเดี๋ยวนี้!”
“บังอาจ!” โก่วเจ๋อทั้งตกใจทั้งโมโห จึงโบกมืออีกครั้ง มีเสียงระเบิดดังเก้าครั้ง เห็นลูกธนูเก้าดอกยิงออกไปพร้อมกันทันที
ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเขา ลูกธนูเก้าดอกที่ยิงโดนสตรีสีขาวไม่ส่งผลอะไรเลยจริงๆ
บังเอิญว่าเหมียวอี้นำกำลังพลของธงพยัคฆ์ดำออกห่างจากทัพใหญ่และเร่งมาถึงตรงนี้พอดี ที่จริงพวกเขาอยู่ห่างจากพวกโก่วเจ๋อไม่ไกล พอมากถึงก็เห็นฉากนี้พอดี ทำให้รู้สึกตกใจมาก
และการลงมืออีกครั้งก็ได้ยั่วโมโหสตรีสีขาวแล้วจริงๆ นางหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อสองข้าง ฝุ่นผงสีขาวที่อยู่รอบทิศราวกับกระแสคลื่นโหมซัดสาดทันที หมุนวนด้วยความเร็วสูงจนกลายเป็นลมพายุที่เหมือนกับตะไบกระดูก
ฝุ่นผงสีขาวผืนใหญ่ที่อยู่รอบด้านขยับเคลื่อนไหว คนที่อยู่ในแกนค่ายกลตัวเล็กลงจนแทบจะเหมือนมด พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลน่าตกใจจริงๆ กำลังพลธงพยัคฆ์ดำรวมทั้งเหมียวอี้ถูกลมพายุพัดจนยืนอย่างมั่นคงไม่ได้ พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังตัวสั่นโอนเอน ให้ความรู้สึกเหมือนจะโดนพายุอวกาศพัดไปได้ทุกเมื่อ พอหันกลับมามองข้างหลัง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนลมวูบๆ ผืนนั้นจะรัดคอให้ตาย ขนาดจะหันกลับไปยังยากเลย
กลุ่มคนของธงพยัคฆ์ดำสีหน้าเปลี่ยน เหมาอวี่จวินถามอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่! ทำยังไงดี?”
“ทัพใหญ่รวมกลุ่มกันต้านทาน!” เหมียวอี้ตกโกนเสียงดัง ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำเกาะแขนต่อกันทันที
“รีบติดต่อกับเบื้องบน!” โก่วเจ๋อหันกลับไปตะโกนบอกพวกเหมียวอี้ แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกว่า “สังหาร!” ถืออาวุธพุ่งสังหารนำออกไปก่อน ทั้งเก้าคนคอยติดตาม พุ่งสังหารไปยังสตรีสีขาวด้วยความเร็วสูง
สตรีสีขาวกางแขนสองข้าง แล้วเหาะถอยหลังทันที ไม่ปะทะกับพวกโก่วเจ๋อตรงๆ เลย รีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพายุสีขาว
เสียงวัตถุเสียดปะทะลดังขึ้นหลายครั้ง พวกโก่วเจ๋อตามติดสังหารเข้าไปในกำแพงพายุที่หมุนวน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
พายุสีขาวยิ่งพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเหมียวอี้ที่อยู่ตรงใจกลางพายุทนไม่ไหวแล้ว ตัวอยู่ในความว่างเปล่าจึงไม่มีแรงให้อาศัย คนสองพันกว่าคนที่เชื่อมต่อกันอยู่ถูกลมพันจนหมุนด้วยความเร็วอยู่ตรงจุดศูนย์กลางพายุ คนสองพันกว่าคนรวมอยู่ด้วยกัน แต่กลับอ่อนแอไม่ทนลมราวกับใบไม้ใบหนึ่ง
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ผลจากการโจมตีอันรวดเร็วของฝุ่นผงสีขาวก็น่าสะพรึงเช่นกัน ภายใต้การบุกโจมตีต่อเนื่องกันไม่หยุด เกราะอิทธิฤทธิ์บนร่างกายทุกคนโดนลมพัดปะทะจนแทบจะพังแล้ว
เหมียวอี้รีบเรียกเกราะรบผลึกแดงออกมา เกราะสวมบนร่างกายท่ามกลางเสียงลมที่พัดวูบๆ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่คนอื่นกลับไม่มีอุปกรณ์ดีๆ แบบนี้
เพื่อที่จะให้ร่างกายยืนได้อย่างมั่นคง เหมียวอี้จึงเรียกเฮยทั่นที่สวมเกราะรบออกมาเสียเลย เขาขี่บนตัวเฮยทั่นแล้วจับไว้ให้แน่น หวังว่าจะอาศัยพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของเฮยทั่นต้านทานไว้ กลุ่มคนที่กำลังตกใจกลัวรีบทยอยกันคว้าดึงเฮยทั่นเอาไว้ บางคนก็จับขา บางคนก็จับเขา บางคนก็จับหาง เอาเป็นว่าล้อมเฮยทั่นไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ กลุ่มคนยังถูกลมพัดใส่จนหมุนวนด้วยความเร็วสูงอยู่ดี
ดันเป็นเวลานี้พอดี วิญญาณสีขาวรูปร่างมหึมาพวกนั้นโผล่ออกมาอีกแล้ว พวกมันไปมาอยู่ท่ามกลางพายุได้อย่างอิสระ ทะลุเข้าทะลุออก อิสระสง่างามราวกับร่ายระบำ บึ้ม! หนึ่งในนั้นพลันถลันตัวชนเข้าใส่กลุ่มคน เสียง “อ๊า!” ดังขึ้นหลายครั้ง คนที่รวมกลุ่มกันโดนจนกระจัดกระจายทันที คนที่กระจายอยู่โดยรอบโดนพายุสีขาวพัดโจมตีจนลอยหมุนออกไปในชั่วพริบตาเดียว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำมือให้ว่างได้ เหมียวอี้ที่เพิ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเบื้องบนก็โดนลมพัดจนโอนเอนไปมาอยู่บนหลังเฮยทั่นเช่นกัน
ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาติดต่อเบื้องบนหรอก ขอบเขตลมพายุกว้างใหญ่เกินไป ทัพใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกพัวพันเข้ามาอยู่ข้างในเหมือนกัน มีคนรายงานให้เบื้องบนรู้ตั้งนานแล้ว
มีกำลังพลบางส่วนที่อยู่ใกล้กับด้านนอกทะเลดาวสับสนรีบถอนกำลังออกไปแล้ว คาดว่ามีคนเกือบล้านคนที่รีบถอนกำลังออกไป
ค่ายทัพกลางเปิดม่านออกอย่างฉับพลัน ข้างในมีเงาคนหลายคนพุ่งออกมา ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนยืนเคียงข้างกัน เบิกตากว้างมองทะเลดาวสับสนตรงหน้าอย่างทำใจเชื่อได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าทะเลดาวสับสนจะเริ่มหมุนวนหมดแล้ว ทำให้คนจินตนาการไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
…………………………