พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1400 หยางเจาชิงแสดงฝีมือ
ดาราจักรที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ราวกับ ‘เมฆหมอก’ มากมายมหาศาลกำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูง บวกกับเศษฝุ่นที่ถูกแสงสะท้อนหักเหระยิบระยับ ทำให้ฉากนี่โอ่อ่าอลังการไม่ธรรมดา ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและทำให้ตกตะลึงจนบรรยายออกมาไม่ได้ แต่สำหรับทัพใหญ่หนึ่งล้านที่โชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาได้ พอหันกลับไปมองอีกครั้งกลับยังรู้สึกกลัวไม่หาย
ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนรู้สึกขนพองสยองเกล้า ตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติกะทันหัน ทัพใหญ่สิบล้านได้แต่ถอนกำลังออกมาประมาณล้านคนโดยมิได้นัดหมาย ถ้าคนเก้าล้านคนตายอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ทั้งสองก็รอดพ้นความผิดได้ยาก หนีไม่พ้นข้อหาบัญชาการอย่างไม่เหมาะสม
“ท่านหัวหน้าภาค!” แม่ทัพภาคคนหนึ่งโชคดีรอดชีวิตจากทะเลดาวสับสนกลับมาได้ เขาเบี่ยงหน้าหนีอย่างละอาย เป็นฝ่ายกุมหมัดขอรับโทษก่อน “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถือวิสาสะถอนทัพโดยไม่ได้รับคำสั่ง ยินดีรับโทษ!”
ท่านนี้คือคนของหน่วยองครักษ์ขวา ฮ่วนอู๋เปียนที่รับผิดชอบกำลังพลของหน่วยองครักษ์ขวาโบกมือ บอกใบ้ให้ถอยออกไปด้านข้าง ไม่ได้มีเจตนาจะเอาผิดใดๆ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาผิดเขา เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายจะสามารถรับผิดชอบไหว การที่อีกฝ่ายถอนทัพหนึ่งล้านออกมาได้ทันเวลาก็นับว่ามีความดีความชอบแล้ว
ก่อหน้านี้โก่วเจ๋อได้ส่งข่าวมาแจ้งให้ทราบแล้ว บอกว่าเจอคนที่ไม่ปกติ เพิ่งจะได้รับข่าวจากทะเลดาวสับสน บอกว่าข้างในมีคนกำลังใช้อุบายก่อกวน
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีคนใช้อุบายก่อกวนหรือไม่ แต่จะทำอย่างไรกับกำลังพลเก้าล้านคนในนั้น เดิมทีนึกว่าการใช้วิธีหว่านแหปล่อยทุกคนเข้าไปจะสามารถตัดสินตำแหน่งเข้าออกได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้ข้างในวุ่นวายไร้ระเบียบหมดแล้ว ข้างในส่งข่าวมาว่าแยกทิศเหนือใต้ออกตกไม่ถูกแล้ว
เมื่อมองดูลักษณะพลังของ ‘เมฆหมอก’ ขนาดใหญ่ที่หมุนวน ก็พบว่าเหมือนคลื่นที่โหมซัดสาดจริงๆ ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนกำฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเหงื่อ จินตนาการไม่ออกว่าใครกันที่สามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ได้ ทั้งสองไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับเบื้องบนอย่างไร
แต่จะไม่รายงานขึ้นไปก็ไม่ได้ ทั้งสองทำได้เพียงแข็งใจและต่างคนต่างรายงานขึ้นไป…
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
มีคนถ่ายทอดเสียงตะโกนอย่างตกใจเข้ามาในหู จ้านหรูอี้ที่กำลังม้วนกลิ้งตามลมหันไปมอง เห็นคังเต้าผิงลูกน้องคนสนิทถูกลมพายุพัดม้วนออกไป ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างก็หายไปแล้ว จ้านหรูอี้ทั้งตกใจทั้งกระวนกระวาย แต่นางเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปสนใจคนอื่นไหวได้อย่างไร
นึกเสียใจทีหลัง! บนใบหน้าของจ้านหรูอี้ สีหน้าตกใจกลัวปะปนไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่พูดออกมาไม่หมด เกลียดที่ตัวเองทำอะไรตามอารมณ์ ตามมาแข่งขันเรื่องนี้กับเหมียวอี้ และเกลียดไอ้คนระยำอย่างเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน ทำเอาตนพัวพันเข้ามาข้างในด้วย ครั้งนี้ไม่รู้จักชั่งน้ำหนักความเป็นความตายจริงๆ
กำลังพลของธงพยัคฆ์ดำถูกโจมตีจนกระจัดกระจาย ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่สิบคนกำลังเกาะกันแน่นราวกับปุยขาวของเมล็ดหลิวที่ปลิวว่อนเพราะลมพัด ยังดีที่หลังจากเฮยทั่นวิวัฒนาการแล้วสามารถควบคุมเมฆลมได้โดยธรรมชาติ ถึงแม้พายุจะรุนแรง แต่ผิวเหนือที่หยาบหนาของเฮยทั่นกลับต้านทานไหว ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ค้นพบวิธีขี่ลมแล้ว
กลุ่มคนที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยกันเริ่มพยุงร่างให้มั่นคงได้ เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางฝ่าออกมาจากลมพายุ เหมียวอี้รู้สึกโชคดีไม่หาย พอมาคิดดูตอนนี้ ถ้าอยากจะรอดออกไปก็ต้องดูความสามารถของเฮยทั่น แต่การที่คนหลายสิบคนเชื่อมโยงอยู่ด้วยกันในพายุนั้นทำให้เกิดแรงต้านมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อเฮยทั่นไม่น้อย
ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ท่ามกลางลมที่พัดอย่างบ้าคลั่ง มี ‘วิญญาณสีขาว’ ขนาดใหญ่โผล่ออกมาชนโจมตีไม่หยุดอย่างกบัผีเข้าผีออก
โดนโจมตีไม่หยุดหย่อน ภายใต้ความวิตกกังวล เฮยทั่นพลันดำลงไปข้างล่างเพื่อหลบหลีดการโจมตี เมื่อเห็นว่าเสี่ยงอันตรายซ้ำๆ ในที่สุดเหยียนซิวก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนบอกว่า “นายท่าน รีบเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าน้อย ข้าน้อยกับเฮยทั่นจะทดลองว่าจะฝ่าไปได้หรือเปล่า” วรยุทธ์ของเขาสูงกว่าเหมียวอี้ กอปรกับก่อนหน้านี้เหมียวอี้ใช้ตาทิพย์ไป สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะจริงๆ เขากับเฮยทั่นนับว่าเป็นสหายเก่ากัน สามารถทดลองได้
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตะโกนตอบเสียงดังว่า “ทุกคนอยู่ด้วยกันจะส่งผลต่อความเร็วของเจ้าโจรอ้วน ทุกคนเข้ามาในกระเป๋าสัตว์”
คนที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบคนถูกเหยียนซิวกับหยางเจาชิงเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเหยียนซิวก็ตะโกนบอกเหมียวอี้อีกว่า “นายท่าน รีบเข้ามาในกระเป๋าสัตว์”
แต่เหมียวอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมเข้า เขาปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลของตัวเอง “ถ้าไม่มีตาทิพย์ของข้าคอยช่วย พวกเจ้าสมองเลอะเลือนหาทิศทางไม่พบหรอก ไม่มีทางพุ่งออกไปได้เลย” พอพูดจบ เขาก็เปิดใช้ตาทิพย์อีกครั้ง รีบกวาดหาโดยรอบอย่างรวดเร็ว
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงทำได้เพียงขี่ด้วยกัน ทั้งสามคนขี่อยู่บนหลังเฮยทั่น ส่วนเฮยทั่นก็ไม่มีคนหลายสิบคนคอยถ่วงดึงแล้ว มันสั่นหัวส่ายหางอยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง ทำให้ปราดเปรียวขึ้นมากอย่างที่คาดไว้
ตาทิพย์ของเหมียวอี้หาจุดอ่อนเจอแล้ว จึงรีบโบกมือชี้ไปทางนั้น ชี้สั่งให้เฮยทั่นทะลวงช่องว่างจากการโจมตีโดยวิญญาณสีขาวพวกนั้น แล้วหลบหนีอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่บรรยากาศรอบข้างยิ่งแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามรู้สึกได้ว่าในฝุ่นผงที่เสียดทานกันอย่างรุนแรงได้สะสมเป็นพลังงานขนาดใหญ่ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทั้งสามอุตส่าห์ระวังตัวแล้ว แต่กลับเป็นอย่างที่คาดไว้ ในพายุฝุ่นผงที่หมุนวนมีเสียง ‘ครืน’ มีฟ้าแลบสายหนึ่ง ตามติดด้วยสายฟ้าอีกหลายสายเลื้อยตัดสลับกัน สายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดผ่านกันมั่วไปหมด เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้างไม่หยุด
ที่นอกค่ายทัพกลาง เมื่อเห็นในทะเลดาวสับสนที่กำลังหมุนวนมีกระแสไฟกระพริบไม่หยุด ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็ยิ่งสีหน้าแย่ลง กลัวว่ากำลังพลเก้าล้านข้างในจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค
พวกโก่วเจ๋อกำลังไล่ตามหลังสตรีสีขาวไม่ปล่อย เรียกได้ว่าตามจนถึงที่สุด สตรีสีขาวเองก็เหมือนจงใจปั่นพวกเขาเล่น
รอจนกระทั่งสายฟ้ารวมตัวกัน ฟ้าแลบก็เริ่มวูบวาบไม่หยุด ในที่สุดสตรีสีขาวก็หันตัวไปเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สิบคนนั้น
พวกโก่วเจ๋อรีบหันมองไปรอบๆ ตระหนกตกใจมาก!
พวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร สายฟ้าที่รวมตัวกันหนาแน่นก็ผ่าเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแล้ว โบกอาวุธต้านทานไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งต้านทานก็ยิ่งโชคร้าย เพราะอาวุธเป็นสื่อนำไฟฟ้า แต่ละคนถูกกระแสไฟฟ้าโจมตีคาที่จนวุ่นวายไปหมด ยืนหยัดอดทนได้ไม่นานเท่าไร
แต่เฮยทั่นที่อยู่ท่ามกลางพายุสายฟ้ากลับทำตัวเหมือนปลาได้น้ำ มันไม่กลัวสายฟ้าเลย มันสั่นหัวส่ายหางฝ่าพายุสายฟ้าตามที่เหมียวอี้บงการ ราวกับเป็นสัตว์เทพ ส่วนหยางเจาชิงก็ไม่น้อยหน้ากัน ในขณะที่ดันแขนและกรงเล็บทั้งคู่ ลูกกลมไฟฟ้าสองลูกก็พลิกไปพลิกมาอยู่ในฝ่ามือเขา ขอเพียงมีกระแสไฟโจมตีเข้ามา ยังไม่ทันจะโจมตีไปโดนเฮยทั่น ก็เห็นสายฟ้าเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสายฟ้าที่มีพลังมหาศาลจะถูกเขาดูดไว้ในกรงเล็บทั้งคู่แล้ว
นี่ยังไม่เท่าไร วิญญาณสีขาวที่มีร่างกายขนาดใหญ่ถลันตัวปะทะเมฆลมเข้ามา หยางเจาชิงโบกฝ่ามือรับทันที กระแสไฟที่ถูกเขาเหนี่ยวนำเข้ามากลายเป็นสายฟ้าสายหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง เขาปล่อยสายฟ้าถล่มออกไปราวกับกระบี่บิน
ตั้งแต่เขาฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคคนและภาคดินมาจนถึงวันนี้ ก็เก็บซ่อนไว้ไม่เคยเปิดเผยเลย ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้เห็นเขาแสดงฝีมือแล้ว
บึ้ม! วิญญาณสีขาวที่ชนปะทะเข้ามาถูกหยางเจาชิงสะบัดมือปล่อยสายฟ้าอันดุร้ายโจมตีจนระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีขาว ร่างเดิมของวิญญาณสีขาวที่อยู่ในฝุ่นผงพลันปรากฏเป็นของเหลวเลื้อยขยุกขยิกที่กะพริบแสงเหมือนร่างคนขนาดเท่าเด็กทารก หยางเจาชิงโบกมือปล่อยสายฟ้าออกมาอีกสาย โจมตีไปที่ร่างเดิมของวิญญาณสีขาวโดยตรง ทำให้ของเหลวที่เลื้อยขยุกขยิกกระพริบแสงระเบิดสลายไป
เหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเข้าใจอย่างรวดเร็ว ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ใช่ว่าวิญญาณสีขาวพวกนั้นจะไม่กลัวสายฟ้า แต่เป็นเพราะตัวพวกมันอยู่ในอาณาเขตผืนนี้ วิญญาณสีขาวพวกนั้นเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าตรงไหนสามารถสะสมพลังงานจนเกิดเป็นสายฟ้าได้ จึงสามารถหลบได้ล่วงหน้า แต่ไม่มีทางหลบสายฟ้าที่หยางเจาชิงตั้งใจรุกโจมตีได้ เนื่องจากไม่มีทางรู้ได้ว่าหยางเจาชิงจะลงมือเมื่อไร
หยางเจาชิงในตอนนี้มีพลังอำนาจมากจริงๆ ปล่อยสายฟ้าออกจากมือสายแล้วสายเล่า พลังอำนาจนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ เขายืนอย่างอิสระอยู่บนหลังเฮยทั่น เกรียงไกรยากจะต้านทาน เปิดฉากสังหารใหญ่ตลอดทางราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ก็มีวิญญาณอย่างน้อยนับพันดวงที่ถูกเขาถล่มสังหารจนดับสลายปลิดปลิวไป
เหมียวอี้กับเหยียนซิวดูฉากนี้จนสูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหยางเจาชิงที่ฝึกเคล็ดสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคคนกับภาคดินจะร้ายกาจถึงขั้นนี้ แต่ไม่นานทั้งสองก็เข้าใจ ว่าไม่ใช่เพราะพลังของหยางเจาชิงที่น่ากลัว แต่เป็นเพราะหยางเจาชิงกำลังถือโอกาสใช้ประโยชน์ ยิ่งใน ‘เมฆลม’ เหล่านี้สามารถกลั่นสายฟ้าได้ร้ายกาจเท่าไร หยางเจาชิงก็ยิ่งสามารถอาศัยสายฟ้ามาโจมตีได้ร้ายกาจขึ้นเท่านั้น ใช่ว่าบนตัวหยางเจาชิงจะมีสายฟ้าที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ดีใจมาก ยิ่งมีความมั่นใจว่าจะหนีรอดได้ เขาใช้ตาทิพย์กวาดมองโดยรอบ แล้วโบกทวนเกล็ดย้อนชี้ในแนวเฉียง “ไปข้างหน้าทางด้านขวา!”
เฮยทั่นฟังคำสั่งทันที รีบสั่นหัวส่ายหางขี่ลมไปทางขวามือด้านหน้า
ส่วนเหยียนซิวก็นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเหมียวอี้กับหยางเจาชิง เขาใช้สองมือเกาะผ้าคาดเอวของทั้งสองเอาไว้ อาศัยที่ตัวเองมีวรยุทธ์สูงสุดในบรรดาทั้งสามคน พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเชื่อมต่อทั้งสองให้อยู่บนตัวเฮยทั่น ทั้งสองจะได้ต่างคนต่างแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างมีสมาธิ
“หึหึ…หึหึ…” สตรีสีขาวเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
นางแทบจะไม่ได้ลงมือเท่าไรเลย พวกโก่วเจ๋อก็อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงแล้ว แต่ละคนโดนฟ้าผ่าจจนไหม้เกรียม ร่างกายชักกระตุกลอยอยู่กลางอากาศ โดนสายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าทั้งเป็นจนกลายสภาพเป็นแบบนี้
พอหัวเราะเสร็จ สตรีสีขาวก็ลงมือแล้ว พวกโก่วเจ๋อทั้งสิบคนไม่มีใครรอดไปได้ ถูกนางจับไปทั้งเป็นๆ
ในขณะนี้เอง เด็กชายร่างกายสีขาวคนนี้ก็เหาะออกมาจาก ‘เมฆลม’ พอเข้ามาใกล้ก็ปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น “มหาราชา มีคนสังหารพี่น้องของพวกเราไปนับพันแล้ว”
สตรีสีขาวเบิกตากว้างแล้ว ตะคอกถามว่า “ใครทำ? ประมุขชิงมาแล้วเหรอ?” ดูจากสีหน้าในตอนนี้ เหมือนนางจะกลัวประมุขชิงอยู่บ้างนิดหน่อย
ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดสตรีชุดขาวที่มาถึงจุดเกิดเหตุก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ได้เห็นกับตาว่าหยางเจาชิงที่อยู่ท่ามกลางคู่หูทั้งสามกำลังแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม สังหารจนลูกน้องนางตายไปเป็นแถบๆ ไม่มีใครต้านทานไหวเลย
ได้เห็นกับตาแล้วว่าทั้งสามไม่กลัวสายฟ้า หลบหนีได้รวดเร็วมาก สตรีสีขาวทำสีหน้าเครียดขรึมทันที มีหรือที่จะปล่อยให้พวกเหมียวอี้หนีไป นางกางแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่งนองข้าง ราวกับกำลังอธิษฐานต่อฟ้า
ชั่วพริบตานั้น ฝุ่นผงสีขาวที่ออกมาจาก ‘เมฆลม’ ที่หมุนวนไม่หยุดก็ลอยออกมาก่อตัว กลายเป็นมังกรหยกหยกสองตัวที่ยาวหลายร้อยจั้ง มังกรยักษ์!
โครม! มังกรยักษ์ที่อาบสายฟ้าโผล่ออกมาจากลมคลั่งอย่างฉับพลัน พุ่งหัวชนไปทางสามเกลอ
จู่ๆ ก็มีเจ้าสิ่งนี้โผล่มา ทั้งสามตกใจมาก หยางเจาชิงกางแขนผลักติดต่อกันหลายครั้ง ถล่มสายฟ้าอย่างบ้าคลั่งราวกับประทัดใส่มังกรยักษ์ที่พุ่งเข้ามา เกิดระเบิดเป็นช่วงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคาดไม่ถึงก็คือ จู่ๆ ก็มีมังกรยักษ์โผล่มาอีกตัว รวดเร็วฉับไวมาก หยางเจาชิงรับมือไม่ไหวทันที
บึ้ม! ทั้งสามเงยหน้ากระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็โดนโจมตีจนกระจัดกระจาย โดนโจมตีจนไม่มีแรงโต้ตอบ
ในความว่างเปล่า มีมือหยกขนาดมหึมาสี่ข้างโผล่ลงมาจากท้องฟ้า มือหนึ่งข้างคว้าจับไว้หนึ่งคน แม้แต่เฮยทั่นก็ไม่รอด ทั้งหมดถูกจับคาที่ แต่ละคนโดนบีบจนแทบจะกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าสตรีสีขาว
ทั้งสามโดนบีบจนขยับไปไหนไม่ได้ พอเห็นสตรีสีขาวคนนี้ พวกเขาก็แทบจะสิ้นหวัง เมื่ออยู่ในมืออีกฝ่ายก็ไม่มีกำลังจะโต้ตอบได้เลย ถ้าคิดจะหนีก็เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้
…………………………