พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1401 บุรุษจัญไรหกเนตร
ดูจากสีหน้าเดือดดาลของสตรีสีขาวก็รู้แล้ว ว่านางอยากจะบีบพวกเหมียวอี้ให้ตายจริงๆ แต่ก็เหมือนนางจะเป็นกังวลนิดหน่อย
ที่มากกว่านั้นก็คือประลาดใจสงสัย คนที่ทำให้นางประหลาดใจสงสัยไม่ใช่หยางเจาชิงที่กำลังแสดงพลานุภาพ แต่เป็นเหมียวอี้ นางเห็นเองกับตาว่าเหมียวอี้อาศัยตาทิพย์นำทาง มีผลในการหลบเลี่ยงเหตุการณ์โจมตีที่มีจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นหยางเจาชิงก็ไม่มีทางรับมือกับการโจมตีต่อเนื่องได้เช่นกัน เป็นเพราะวิญญาณสีขาวพวกนี้มีเยอะเกินไป สามเกลอเจาะช่องโหว่ที่อ่อนแอที่สุดพร้อมกัน
ฝ่ามือหยกใหญ่ที่จับเหมียวอี้ได้ส่งเหมียวอี้เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ที่มีเลือดออกมุมปากกำลังเผชิญหน้าและสบตากับนาง
เหมียวอี้ที่มีสีหน้าขื่นขมยังไม่ทันได้พูดอะไรกับนาง ดวงตาก็พร่ามัว ขยับตัวไปไหนไม่ได้ ถูกผนึกวรยุทธ์นั้นยังไม่เท่าไร แต่เขาพบว่าตัวเองถูกผนึกอยู่ในหินหยกก้อนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็เผชิญกับเคราะห์ร้ายนี้เช่นกัน เฮยทั่นก็หนีไม่พ้น
คนที่ถูกผนึกไว้ไม่ได้มีแค่พวกเขา คนที่ติดอยู่ในทะเลดาวสับสนล้วนถูกจับมา ถูกขังไว้ในก้อนกลมหยกขาวและส่งไปยังจุดลึกของหมอกหนา มีก้อนหยกกลมหลายลูก นับไม่ถ้วนว่ามีจำนวนเท่าไร
ทำกลางลมพายุที่พัดวูบ กระโปรงของสตรีสีขาวปลิวสะบัด นางยืนเงียบอยู่ท่ามกลางสายลม ไม่รู้ว่ากำลังขมวดคิ้วคิดอะไรอยู่
วิญญาณสีขาวดวงหนึ่งบินเข้ามา ร่างกายขนาดใหญ่กลายเป็นฝุ่นผงสีขาว เด็กชายชุดขาวคนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นเสือเดิมเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวด้วยเสียงแหลมเล็กของแด็ก “มหาราชา คนที่เข้ามาส่วนใหญ่ล้วนถูกพวกเราจับเป็นขอรับ”
สตรีสีขาวหายเหม่อลอย แล้วถามว่า “ศัตรูที่มาตายไปเท่าไรแล้ว?”
“ไม่เยอะขอรับ เหมือนจะตายไปแค่ไม่กี่หมื่น” เด็กชายตอบ
สตรีสีขาวขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “เกรงว่าครั้งนี้จะยุ่งยากแล้ว ฆ่าคนของตำหนักสวรรค์ไปหลายหมื่น มีหรือที่ประมุขชิงจะเลิกราง่ายๆ!” แต่อีกชั่วพริบตาเดียวคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็คลายออก แล้วกล่าวอย่างเหยียดยามว่า “ทำไมข้าต้องกลัวเขาล่ะ ที่นี่คือเขตแดนที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง เขาจะทำอะไรข้าได้?”
นางเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางมองไปโดยรอบอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็สะบัดแขนเสื้อข้างซ้าย แล้วก็สะบัดแขนเสื้อข้างขวาอีก ร่ายอิทธิฤทธิ์ด้วยท่วงท่าที่อรชรอ้อนแอ้น ลมพายุสีขาวที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงเริ่มหยุดลงทีละนิด มันเริ่มขยายไปรอบทิศโดยมีนางเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับเป็นปฏิกิริยาที่ต่อเนื่องเป็นห่วงลูกโซ่ ทำให้ทะเลดาวสับสนที่หมนุวนด้วยความเร็วสูงเงียบสงบลง
ทุกคนที่อยู่นอกทะเลดาวสับสนพูดไม่ออกกับภาพเหตุการณ์นี้ ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนที่ยืนเคียงกันอยู่นอกค่ายทัพกลางเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเห็นปรากฏการณ์ประหลาดของทะเลดาวสับสนหยุดลง ก็แทบจะออกคำสั่งพร้อมกันว่า “รีบติดต่อกับข้างใน”
ผลลัพธ์ที่ได้จากการติดต่อทำให้ทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียด คนที่ฝั่งนี้สามารถติดต่อได้โดยตรงไม่มีใครตอบสนองกลับมาเลย
ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผู้วางแผนยุทธการทั้งสองคนก็คือ จะต้องเข้าไปดูหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน แล้วพวกเขาจะรายงานต่อเบื้องบนได้อย่างไร? แต่การจะเข้าหรือไม่เข้านั้นทำให้คนตัดสินใจลำบากจริงๆ
ด้านในทะเลดาวสับสน โก่วเจ๋อที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้ดำถูกคุมตัวขึ้นมาแล้ว คุมตัวไปตรงหน้าสตรีสีขาว เขาเงยหน้ามองสตรีสีขาวพร้อมกล่าวอย่างแค้นใจ “เจ้าเป้นปีศาจจากฝั่งไหนกันแน่ บังอาจมาเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์!”
สตรีสีขาวเชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง พ่นสียงทางจมูกแล้วพูดเหยียดหยาม “ถ่อมาก่อกวนข้าถึงที่ ยังกล้ามาเถียงข้างๆ คูๆ อีก ทัพใหญ่หลายล้านของตำหนักสวรรค์ตกอยู่ในมือข้าแล้ว จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของข้า ข้าถามเจ้าคำเดียว เจ้าอยากให้พวกเขารอดหรืออยากให้พวกเขาตาย?”
“ปีศาจ อย่าลำพองใจไปเลย เดี๋ยวได้ถึงคราวที่เจ้าต้องร้องไห้แน่” โก่วเจ๋อที่โดนมัดกล่าวอย่างเดือดดาล
“หยุดพูดเหลวไหล ทหารในกองทัพที่พ่ายแพ้จะอวดดีอะไรนักหนา ถ้าจะฆ่าเจ้าทิ้งก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เจ้าดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าให้เจ้าไปรายงานเบื้องบน หลังจากออกไปแล้วก็บอกประมุขชิงด้วย ขอเพียงตอบตกลงเงื่อนไขของข้าสามข้อ ข้าก็จะปล่อยทัพใหญ่หลายล้านนี่ไป ไม่อย่างนั้นก็ให้ประมุขชิงคอยมาเก็บศพพวกเขา” สตรีสีขาวกล่าว
ถึงแม้โก่วเจ๋อตะเดือดดาล แต่อย่างไรเสียชีวิตก็ตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย บวกกับได้ยินว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป ในเมื่อมีโอกาสดีๆ แล้ว ถึงได้ข่มไฟโกรธไว้ชั่วคราว กัดฟันถามว่า “เงื่อนไขอะไร?”
สตรีสีขาวตอบว่า “เงื่อนไขข้อแรก ข้าไม่อยากหาเรื่องประมุขชิง ขอให้ประมุขชิงอย่าหาเรื่องข้าเช่นกัน พอกลับไปแล้วบอกประมุขชิงด้วย ว่าตั้งแต่นี้ไปทะเลดาวสับสนคืออาณาเขตของข้า ข้ากับเขาปกครองแยกกัน เหมือนน้ำคลองไม่ยุ่งกับน้ำบ่อ เงื่อนไขข้อสอง ข้าสังหารคนของพวกเจ้าไปหลายหมื่นแล้ว แต่คนของพวกเจ้าก็สังหารลูกน้องข้าไปนับพันเหมือนกัน ถึงแม้ฝ่ายพวกเจ้าจะตายเยอะกว่านิดหน่อย แต่ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย ไม่ควรเอาเรื่องแล้ว ประมุขชิงก็ไม่ควรเอาผิดเรื่องนี้เหมือนกัน เงื่อนไขข้อที่สาม ประมุขชิงก็ไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องบางเรื่องถ้าพูดปากเปล่าก็ไม่หลักฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขชิงกลับคำพูด ต้องให้ประมุขชิงประกาศเงื่อนไขสองข้อแรกต่อใต้หล้า ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขสามข้อนี้ได้ ข้าก็จะปล่อยกำลังพลหลายล้านของตำหนักสวรรค์ไป แต่ถ้าทำไม่ได้ งั้นก็ให้ประมุขชิงรอเก็บศพได้เลย!”
โก่วเจ๋อแสยะยิ้ม แค่ฟังเงื่อนไขสามข้อนี้ก็รู้แล้วว่าปีศาจตนนี้ไม่มั่นใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์ ที่กล้าเสนอเงื่อนไขแบบนี้ได้ก็เพราะเอาชีวิตกำลังพลหลายล้านมาเป็นแต้มต่อ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ราชันสวรรค์ แต่เขาก็รู้เช่นกัน ราชันสวรรค์ปกครองใต้หล้า มีหรือที่จะตอบรับเงื่อนไขแบบนี้ แยกกันปกครองอย่างนั้นเหรอ ทั้งยังต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย ล้อเล่นอะไรกัน?
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาปะทะฝีปาก ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองและหลุดพ้นเขตอันตรายไปได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จากนั้น โก่วเจ๋อก็ถูกคุมตัวลงไป
“นั่นคือ…” ฮ่วนอู๋เปียนที่อยู่นอกค่ายทัพกลางจ้องข้างหน้าพร้อมกล่าวอย่างสงสัย
ทัพใหญ่ที่อยู่นอกทะเลดาวสับสนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง โก่วเจ๋อที่ดำเมี่ยมไปทั้งตัวเหาะออกมาจากหมอกหนา ภาพนี้ดึงดูดสายตาของทุกคน ทำให้โก่วเจ๋อแอบรู้สึกอับอายไม่หาย
เมื่อมาถึงตรงหน้าหัวหน้าภาคทั้งสองที่บัญชาการทัพใหญ่ชั่วคราว โก่วเจ๋อก็ทำความเคารพ แล้วคุกเข่าข้างเดียวลงตรงนั้น กุมหมัดคารวะกล่าวด้วยสีหน้าอับอาย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ!”
ไป่หลี่เฟิงก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้มือข้างเดียวประคองแขนเขาลุกขึ้นยืน แล้วถามเสียงต่ำว่า “สถานการณ์ข้างในเป็นยังไง?”
โก่วเจ๋อมองดูปฏิกิริยาของคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายหัวหน้าภาคทั้งสอง อึกอักพูดไม่ออกเล็กน้อย เขาเองก็กลัวเสียหน้าอยู่บ้าง ไม่สะดวกจะพูดเรื่องที่ตัวเองโดนจับเป็นเชลยต่อหน้าทุกคน
หัวหน้าภาคทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง มองออกแล้วว่าเขามีบางอย่างทีไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าฝูงชน จึงหันหลังเดินกลับเข้ามาในค่ายทัพกลาง ขณะเดียวกันไป่หลี่เฟิงก็พูดทิ้งท้ายไว้ว่า “เข้ามาคุยข้างใน”
หลังจากโก่วเจ๋อเข้ามาข้างในแล้ว ก็แข็งใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เงื่อนไขสามข้อที่อีกฝ่ายเสนอมาก็ต้องเอ่ยถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไป่หลี่เฟิงฟังจบแล้วโมโหทันที แสยะยิ้มไม่หยุด “โก่วเจ๋อ เจ้ากลายเป็นทูตส่งสารของศัตรูไปตั้งแต่เมื่อไร? ไม่น่าเชื่อว่าจะไปเป็นทูตส่งสารให้ศัตรู หน่วยองครักษ์ซ้ายถูกเจ้าทำให้เสียหน้าหมดแล้ว!”
โก่วเจ๋อหันหน้าหนีอย่างอับอาย
กลับเป็นฮ่วนอู๋เปียนที่ยกมือห้ามไป่หลี่เฟิง บอกใบ้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย เตือนว่า “เขาเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ในเมื่อเข้าใจสถานการณ์ข้างในแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลารายงานสถานการณ์ขึ้นไปเบื้องบนเพื่อขอคำชี้แนะในการตัดสินใจ!”
วังสวรรค์ ในตำหนักดาราจักร โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายและอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวายืนเคียงกัน
หลังจากฟังทั้งสองเล่าสถานการณ์จบ ประมุขชิงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวก็ทำสายตาเย็นเยียบ แต่น้ำเสียงยังสงบนิ่ง “นึกไม่ถึงว่าในทะเลดาวสับสนจะซ่อนตัวละครแบบนี้เอาไว้ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้ชัดหรือยังว่าเป็นใคร?”
“อีกฝ่ายไม่เปิดเผยตัวตนขอรับ” โพ่จวินกุมหมัดตอบ
ประมุขชิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “แยกกันปกครอง! ทั้งยังต้องประกาศต่อใต้หล้า! เรื่องนี้พวกเจ้าสองคนตัดสินใจให้ข้าแล้วกัน!” เขาไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา แล้วเอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวจากไป
โพ่จวินกับอู๋ฉวี่สบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ถึงแม้ประมุขชิงจะไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่ชัดเจนแล้วว่าให้พวกเจ้าจัดการเองตามเห็นสมควร แต่การไม่แสดงความเห็นก็คือการแสดงความเห็นที่สำคัญที่สุด ในฐานะที่พวกเขาทั้งสองเป็นผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ จะทำเรื่องที่ให้ประมุขชิงแบ่งอาณาเขตไปให้คนอื่นได้อย่างไร
ถึงแม้ชีวิตของคนหลายล้านจะตกอยู่ในมือศัตรู แต่ประมุขชิงก็ไม่สะดวกที่จะพูดออกมาว่าไม่แยแสชีวิตของคนพวกนั้น ควรจะทำอย่างไรก็มีเพียงผู้บัญชาการองครักษ์อย่างทั้งสองคนที่ต้องไปชั่งน้ำหนักเอาเอง
ไม่นานทั้งสองก็เร่งฝีเท้าก้าวออกจากตำหนักดาราจักร พอออกจากวังสวรรค์ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายออกไปทันที
สถานที่ไร้ระเบียบ ดาวเมฆธารา ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีแผ่นดิน มีเพียงมหาสมุทรที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
บึ้ม! เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าดิน หมอกหนาที่วนเวียนกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่ง คลื่นสูงเสียดฟ้า
ตำหนักผลึกใสหลังหนึ่งในทะเลลึกสั่นไหว เครื่องประดับในตำหนักตกลงพื้น ชายชราชุดผ้าไหมที่นั่งชมระบำของกลุ่มปีศาจสาวอยู่บนบัลลังก์สูงกางแขนสองข้าง ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมตำหนักที่สั่นไหวเอาไว้ บนใบหน้าฉายแววประหลาดใจสงสัย
ทั้งชายทั้งหญิงที่อยู่ในตำหนัก พอความสับสนวุ่นวายสงบลงแล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวชายชราที่นั่งอยู่เบื้องสูง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
น้ำทะเลนอกตำหนักเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว คลื่นใต้น้ำที่ซัดเข้ามาอย่างบ้าคลั่งหลายระลอกทำให้ทิวทัศน์ใต้ทะเลอันงดงามไร้ที่เปรียบถล่มจนดูไม่ได้ ทำให้คนไม่น้อยปวดใจไม่หยุด ต้องทราบไว้ว่าใต้ทะเลกับบนบกไม่เหมือนกัน ทิวทัศน์มหัศจรรย์มากมายมักต้องใช้เวลายาวนานนับหมื่นปีกว่าจะเติบโตขึ้นมาได้
ชายชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีน้ำโหแล้ว พอโบกมือหนึ่งครั้ง ก็มีลูกน้องมากมายถลันตัวออกไปนอกตำหนักผลึกแก้วใส
ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มนั้นก็ไปถึงที่เกิดเหตุ พอฝ่าคลื่นทะยานขึ้นท้องฟ้า ชายชราก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “ใครกันที่มาทำลายแดนอันล้ำค่าของราชาผู้นี้!”
จู่ๆ บนฟ้าก็มีลมกระโชกแรงพักหนึ่ง พัดม้วนหมอกหนาออกไป ทำให้เงาหลังของคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเมฆปรากฏขึ้นทีละนิด คนคนนั้นสวมชุดคลุมสีดำ ร่างกายซูบผอมและค่อนข้างเตี้ย กำลังยืนเอามือไขว้หลัง
ผู้ที่มาหันตัวมาอย่างช้าๆ เป็นชายชราผมดำคนหนึ่งที่หน้าตาดูมีอำนาจในตัวเอง กำลังจ้องชายชราที่เข้ามาอย่างเย็นเยียบ พร้อมตอบด้วยเสียงทรงพลังว่า “โพ่จวิน!”
ไม่ผิดหรอก ไม่ใช่ใครที่ไหน โพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาเยือนด้วยตนเอง!
“…” ชายชราที่มาถึงเบิกตากว้างทันที อ้าปากค้างพูดไม่ออก เหมือนทำใจเชื่อได้ยากว่าจะเห็นโพ่จวินอยู่ที่นี่ เขารีบมองซ้ายมองขวาดูโดยรอบ เมื่อไม่เห็นโพ่จวินพาคนอื่นมาด้วย เขาก็รีบเหาะเข้าไป จากนั้นก้าวขึ้นมาข้างหลังแล้วโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคนว่างงานหกเนตร คารวะนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ซ้าย”
ชายชราคนนี้ก็คือผู้ที่ควบคุมดูแลดาวเมฆธารา ชื่อว่าบุรุษจัญไรหกเนตร วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่นี่อย่างอิสระเสรี
โพ่จวินมองข้างหลังเขาแล้วเชิดคางเล็กน้อย
บุรุษจัญไรหกเนตรรีบโบกมือข้างหลัง ให้กลุ่มลูกน้องที่เป็นทหารต่ำต้อยออกไป รอจนกระทั่งคนหายไปหมดแล้ว เขาถึงได้ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะขอรับ?”
โพ่จวินจ้องที่ดวงตาตรงหว่างคิ้วเขา พร้อมบอกว่า “จะมายืมดวงตาของเจ้าไปใช้สักหน่อย!”
“หา…” บุรุษจัญไรหกเนตรตกใจ ยกมือปิดดวงตาบนหว่างคิ้วของตัวเองเอาไว้ เดินถอยหลังหลายก้าว พร้อมกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎสวรรค์ ทำไมต้องมาเอาดวงตาของข้าไปด้วย?”
เขาก็เหมือนกับเหมียวอี้ ตรงหว่างคิ้วมีดวงตาอีกดวงหนึ่ง เพียงแต่ดวงตาของเหมียวอี้ เมื่อมองจากภายนอกก็เห็นเป็นแค่รอยนูนสีชมพูขีดเดียวเท่านั้น แต่เขากลับมีดวงตานูนตั้งออกมาของจริง อีกทั้งบนใบหน้าเขาก็ไม่ได้มีดวงตาแค่สามดวงด้วย สาเหตุที่เรียกว่าบุรุษจัญไรหกเนตร ก็ย่อมหมายความว่ามีดวงตาหกดวงอยู่แล้ว บนตัวเขายังมีดวงตาอีกสามดวง เพียงแต่มองจากภายนอกแล้วไม่เห็นเท่านั้นเอง
…………………………