พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1402 ไป๋เฟิ่งหวง
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการจะขอยืมดวงตาของตัวเอง บุรุษจัญไรหกเนตรก็ตกใจมิใช่น้อย ไม่รู้ว่าตัวเองไปล่วงเกินอีกฝ่ายตรงไหน หรือว่าไปล่วงเกินอะไรตำหนักสวรรค์เข้าแล้ว
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะควักลูกตาของเจ้าไป แค่จะอาศัยพลังตาของเจ้าให้ไปช่วยปราบเหตุจลาจลสักหน่อย ตามข้าไปสักเที่ยวเถอะ” โพ่จวินตอบ
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ บุรุษจัญไรหกเนตรโล่งอก วางมือที่ปิดหน้าผากลง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าจะไปที่ไหนเหรอ?”
“ทะเลดาวสับสน!” โพ่จวินตอบ
“ทะเลดาวสับสน…” บุรุษจัญไรหกเนตรตะลึงค้าง แววตาลอกแล่กนิดหน่อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ทะเลดาวสับสนขอรับ?”
“มีบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย…” โพ่จวินไม่ได้เล่ารายละเอียดของเรื่องนี้ แค่บอกให้ฟังคร่าวๆ บอกชัดเจนว่าต้องการให้บุรุษจัญไรหกเนตรทำอะไร
“ข้าเดาออกแล้วว่าอาจจะเป็นนาง” บุรุษจัญไรหกเนตรฟังจบแล้วถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “นายท่าน เกรงว่าข้าจะช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เล่นๆ นะขอรับ”
โพ่จวินมองมาอย่างเหนือความคาดหมายนิดหน่อย “อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้จักนาง?”
“อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้จักนาง? นายท่านน่าจะเคยเห็นนางสิถึงจะถูก” บุรุษจัญไรหกเนตรแปลกใจ
“อ้อเหรอ!” โพ่จวินลองนึกในละเอียด แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองกับผู้หญิงที่ขาวตั้งต่ศีรษะจดเท้าคนนั้นเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน จึงถามว่า “บางทีข้าอาจจะนึกไม่ออก นางเป็นใครกันแน่?”
บุรุษจัญไรหกเนตรตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ไป๋เฟิ่งหวงไง! อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้จักไป๋เฟิ่งหวง?”
“ไป๋เฟิ่งหวง…” โพ่จวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหรี่ตาเล็กน้อย “ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูจริงๆ”
บุรุษจัญไรหกเนตรเตือนอีกครั้ง “นางหนูที่อยู่ข้างหายประมุขปีศาจไง ในปีนั้นข้างกายประมุขปีศาจมีเด็กสาวที่ดื้อด้านอยู่คนหนึ่ง ชอบก่อเรื่องบ่อยๆ จนชื่อเสียงโด่งดัง ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะไม่เคยเจอมาก่อน”
“เป็นนางเหรอ?” โพ่จวินนึกออกอย่างฉับพลัน ทำสีหน้าสะเทือนอารมณ์ แล้วถามอย่างตกตะลึงมากว่า “เป็นนางได้ยังไง? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนางหนูเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างกายประมุขปีศาจในปีนั้น?”
บุรุษจัญไรหกเนตรพยักหน้า “เป็นนางขอรับ”
โพ่จวินเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน พยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวในปีนั้น ในหัวปรากฏภาพสาวน้อยน่ารักคหนนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นคนอื่นพากันเรียกสาวน้อยน่ารักคนนั้นว่าเสี่ยวไป๋ มีน้อยคนมากที่จะเรียกชื่อเต็มของนาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงนึกไม่ออกว่า ‘ไป๋เฟิ่งหวง’ คือใคร
ถ้าเป็นนางหนูคนนั้นจริงๆ ก็แปลว่าเป็นคนคุ้นเคยของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่แค่เขาที่รู้จัก แม้แต่ประมุขชิงก็คุ้นเคยเช่นกัน บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ล้วนรู้จัก นางสนิทกับประมุขพุทธะเป็นพิเศษ ถ้าเป็นนางหนูคนนั้นจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็คงจะไม่ทำให้นางลำบาก ถึงอย่างไรในปีนั้นนางก็ต่อต้านประมุขไป๋กับประมุขปีศาจมาตลอด คิดหาทางทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของประมุขปีศาจ ตอนหลังเกิดเรื่องขึ้นกับประมุขไป๋และประมุขปีศาจ นางหนูคนนั้นจึงฉวยโอกาสหนีไปโดยไร้เงา ประมุขชิงส่งคนไปตามหาแล้ว แต่ก็ไม่เคยหาพบเลย นึกไม่ถึงว่าจะมาปักหลักอยู่ที่ทะเลดาวสับสน
พอนึกถึงเรื่องนี้ ก็พบว่าโลกเราช่างไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ โพ่จวินส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันอีกสักหน่อย “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าไป๋เฟิ่งหวงซ่อนตัวอยู่ในทะเลดาวสับสน?”
บุรุษจัญไรหกเนตรตอบว่า “ทีแรกข้าก็ไม่รู้หรอก ตอนหลังข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับคนกลุ่มหนึ่งที่ทะเลดาวสับสน เลยคิดจะฉวยโอกาสเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สักหน่อย…เหอะๆ นายท่าน ท่านเองก็รู้ ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เคารพกฎหมายมาตลอด ไม่ทำเรื่องอะไรที่ออกนอกกรอบหรอก ทำได้แค่ฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นิดหน่อย…”
โพ่จวินเหล่ตามอง รู้ว่าภายนอกเจ้าเวรนี่เคารพกฎหมาย แต่ลับหลังใครจะไปรู้ว่าซื่อสัตย์จริงหรือเปล่า แต่มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่หน่วยองครักษ์ซ้ายสนใจ ถ้าจะตรวจสอบเรื่องที่ทำผิดกฎสวรรค์ ก็ย่อมมีคนจัดการอยู่แล้ว เรื่องนี้เหมาะจะให้เกาก้วนเป็นคนทำ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะมาสนใจเรื่องนี้ จึงพูดเร่งว่า “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พูดจุดสำคัญมาเลย”
“ขอรับ!” บุรุษจัญไรหกเนตรเอ่ยรับ แล้วเล่าต่อว่า “ตอนหลังข้าพบปีศาจเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ทะเลดาวสับสน เกิดการปะทะกันนิดหน่อย ผลปรากฏว่าไปทำร้ายลูกสมุนจนหัวหน้าต้องออกหน้ามาเอง การบังเอิญพบกันครั้งนั้นทำให้ข้าค้นพบว่านางคือ ‘ไป๋เฟิ่งหวง’ คนทั่วไปไม่เคยเห็นร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงมาก่อน จึงจำนางไม่ได้ว่าเป็นไป๋เฟิ่งหวง บังเอิญว่าในอดีตข้าเคยเห็นร่างเดิมของนางพอดี พอเห็นว่าเป็นนาง ข้าก็รู้ว่าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว อยากจะยอมแพ้แล้วหนีไป แต่ผู้หญิงคนนั้นพัวพันไม่เลิก ดึงดันจะให้ข้าอยู่ที่นั่นให้ได้ หรือไม่ก็จะปล้นของของข้า เมื่อถูกกดดันจนหมดทางเลือก ข้าก็ทำได้เพียงสู้กับนาง ถ้าพูดถึงพลัง ที่จริงแล้วนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่จนใจที่นางเป็นปีศาจที่ฝึกตนมาจากวิญญาณหยก ทะเลดาวสับสนก่อตัวเป็นฝุ่นหยกเนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ สอดคล้องกับคุณสมบัติของนางพอดี นางอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็เรียกได้ว่าเหมือนปลาได้น้ำ ทำให้นางควบคุมทะเลดาวสับสนผืนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พออาศัยความได้เปรียบนี้ พลังของนางจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เมื่ออยู่ในเขตแดนที่นางสร้างขึ้นเอง ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ข้าลำบากทรมานเต็มที่กว่าจะเอาตัวรอดออกจากทะเลดาวสับสนได้ ตอนหลังข้าก็ไม่กล้าไปที่นั่นอีกแล้ว มีเรื่องกับนางไม่ไหว”
โพ่จวินกลั่นกรองคำพูดของเขาเงียบๆ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไปกันเถอะ ไปช่วยข้าตามหานาง”
บุรุษจัญไรหกเนตรสีหน้าขื่นขมทันที เขาย้ำไปหลายรอบแล้วว่าไปมีเรื่องกับนางไม่ไหว ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับความแค้นระหว่างพวกประมุขชิงกับพวกประมุขไป๋เลยจริงๆ จึงโค้งกายกุมหมัดคารวะ “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเรื่องนี้นะ แต่ข้ามีเรื่องกับไป๋เฟิ่งหวงไม่ไหวจริงๆ นางเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวของประมุขปีศาจในปีนั้นเชียวนะ ถ้าไปยั่วโมโหนาง ก็ยังไม่รู้เลยว่าข้าจะตายยังไง”
“ประมุขปีศาจไม่อยู่มาตั้งหลายปีแล้ว เจ้าจะกลัวอะไร?” โพ่จวินถาม
บุรุษจัญไรหกเนตรร้องไอ๊หยาทันที “อูฐจะผอมอย่างไรก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า จากที่ข้ารู้มา ประมุขปีศาจยังมีลูกน้องเก่าที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่นะ ถ้าข้าไปมีเรื่องกับสาวใช้ประจำตัวของประมุขปีศาจ ตอนหลังอาจจะมีใครโผล่มาจัดการข้าก็ได้ เบื้องหลังนายท่านมีตำหนักสวรรค์ ก็ย่อมไม่ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ ลูกน้องเก่าของประมุขปีศาจที่เหลือรอดโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ ข้าเองก็รับไม่ไหว มิหนำซ้ำเบื้องหลังประมุขปีศาจยังมีประมุขไป๋อีกคน นั่นเป็นคนที่ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ได้เลย”
“เจ้าเลือกได้เหรอ?” โพ่จวินเหล่ตาถามเสียงเรียบ ทำท่าเหมือนบอกว่า สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์
“…” บุรุษจัญไรหกเนตรพูดไม่ออกทันที อีกฝ่ายมาหาถึงที่ละดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
ก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงสั่งงานลูกสมุนเอาไว้ แล้วตามโพ่จวินไป
“เสี่ยวไป๋?”
ประมุขชิงที่กำลังเดินเนิบนาบอยู่ในสวนของวังสวรรค์หันขวับ ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นนางหนูเสี่ยวไป๋?”
“น่าจะเป็นนาง…” โพ่จวินที่ติดตามอยู่ข้างกายรายงานสถานการณ์ที่ได้รู้มาจากบุรุษจัญไรหกเนตรอย่างละเอียด
ประมุขชิงเอามือลูบเครา บนใบหน้าเผยอาการเหม่อลอยเหมือนนึกย้อนไปในอดีต ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องบันเทิงอะไรขึ้นได้ เขายิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ไป๋เฟิ่งหวง ในปีนั้นเรีนกว่านางหนูเสี่ยวไป๋ นางหนูเสี่ยวไป๋มาตลอด เรียกจนชินแล้ว ข้าแทบจะลืมว่านางก็มีชื่อนี้ ข้าเองยังแปลกใจว่านางหนูนั่นไปที่ไหนแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปหลบอยู่ในทะเลดาวสับสน หลบอยู่ใต้หนังตาข้ามาหลายปีขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะหานางไม่เจอ นางหนูนี่น่าสนใจทีเดียว คาดไม่ถึงว่าจะสร้างทะเลดาวสับสนเป็นเขตแดนของตัวเองแล้ว ข้าประเมินนางต่ำไป นางก็มีฝีมือเหมือนกัน เหอะๆ นางหนู ถ้าเป็นนางหนูนั่นก็จัดการง่ายแล้ว สงสัยข้าจะต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ ถ้าไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก”
“นางหนูนั่นดื้อรั้นมาก ขนาดคุณชายสามกับรั่วสุ่ยยังสยบนางไม่ไหวเลย” โพ่จวินกล่าวเตือน
“เหอะๆ! เจ้าสามไป๋จะสยบนางได้อย่างไร เป็นเพราะรั่วสุ่ยโอ๋นางเกินไป เจ้าสามไป๋ให้ท้ายเพราะเห็นแก่หน้ารั่วสุ่ยก็เท่านั้นเอง” ประมุขชิงโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย แต่ชั่วพริบตาเดียวก็หยุดชะงัก พยักหน้าพูดอีกว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก นางหนูนั่นดื้อรั้นจริงๆ ขนาดรู้ว่าเป็นคนของข้าก็ยังกล้าแตะต้อง ถ้าไม่สั่งสอนสักหน่อยก็คงไม่รู้จักว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นิสัยของนางหนูนั่นช่างวอนนัก…แต่นิสัยนางก็กบฏนิดหน่อย ถ้าใช้ไม้แข็งก็อาจจะได้ผลกลับตาลปัตร เจรจาดีๆ ก่อนแล้วค่อยใช้กำลังดีกว่า บอกนางว่าให้นางปล่อยคนของข้าก่อน แล้วค่อยมาพบข้า ตราบใดที่เต็มใจยอมศิโรราบตำหนักสวรรค์ ข้าก็จะมอบทะเลดาวสับสนเป็นรางวัลให้นางได้ ถ้ายังไม่เชื่อฟังอีก ก็ตั้งใจสั่งสอนเน้นๆ สักยก แล้วค่อยพาตัวมาพบข้า”
“ขอรับ!” โพ่จวินเอ่ยรับคำสั่งแล้วจากไป
ไป๋เฟิ่งหวง ไม่ผิดหรอก คนที่ตั้งตัวเป็นจ้าวอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็คือไป๋เฟิ่งหวงที่พวกประมุขชิงพูดถึงในปีนั้น
พวกประมุขชิงทอดถอนใจกับเรื่องในอดีตเพราะไป๋เฟิ่งหวง ไป๋เฟิ่งหวงในตอนนี้ก็กำลังคิดวนเวียนกับเรื่องในอดีตเช่นกัน
ดาวฝุ่นหยก ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไป๋เฟิ่งหวงสร้างขึ้นโดยการทำให้ฝุ่นผงสีขาวเกาะตัวกัน ทั้งดาวขาวเกลี้ยงเกลา สิ่งปลูกสร้างอันงดงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ด้านนอกตำหนัก ก้อนหยกกลมจำนวนนับไม่ถ้วนถูกวางเอาไว้ เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังกลิ้งก้อนหยกกลมแข่งกัน และในก้อนหยกกลมก็มีสมาชิกของทัพใหญ่หลายล้านจากตำหนักสวรรค์ที่ถูกขังเอาไว้
ในตำหนักใหญ่ที่เป็นหยกงามเกลี้ยงเกลาแวววาวไม่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม ลายผนังก็เป็นภาพหงส์เฟิ่งหวงในท่วงท่าที่ต่างกัน
ไป๋เฟิ่งหวงกำลังยืนเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบผลึกแดงอยู่กลางตำหนักใหญ่ ทั้งสองทำตาเล็กตาน้อยใส่กัน
เหมียวอี้มองไปรอบๆ เป็นระยะ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เรียกตนมาเจอหน้าเพียงลำพังเพราะมีเจตนาอะไร
ทั้งสองคุมเชิงกันอยู่นานมาก จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็เอ่ยปากบอกว่า “แสดงดวงตาที่สามของเจ้าให้ข้าดูสักหน่อยสิ”
“เจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถามกลับ
“เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะควักออกมาให้?” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตา
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เหมียวอี้ถาม
ไป๋เฟิ่งหวงใช้สองนิ้วจิ้มทันที ทำท่าเหมือนต้องการจะควักออกมา
“ช้าก่อน!” เหมียวอี้รีบร้องบอกให้หยุด พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขาเองก็ไม่อยากทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จนตัวตาย ไม่จำเป็นต้องดื้อด้าน รอยนูนตรงหว้างคิ้วแยกออก เสาแสงสายหนึ่งที่มีแสงสีรุ้งลอยวนเวียนยิงออกมาจากลูกตาที่เป็นสีรุ้งโปร่งแสง
พอเปิดตาทิพย์ ดวงตาอีกสองดวงกลับจ้องปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไร
ไป๋เฟิ่งหวงจ้องตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วของเขาอยู่พักใหญ่ สีหน้าสื่อหลากหลายอารมณ์ปนกัน หลังจากผ่านไปนานถึงได้ถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์ แล้วถามว่า “เก็บเถอะ เจ้าเคยเจอเสิ้นหมีปีศาจหอยยักษ์นั่นด้วยเหรอ?”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง เก็บดวงตาทิพย์อย่างช้าๆ ในใจแอบตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตาทิพย์ของเขามาจากเสิ้นหมีแม่ทัพใหญ่ของประมุขปีศาจ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากเจอตนเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีฐานะตัวตนเป็นอย่างไร
ไป๋เฟิ่งหวงเหมือนจะมองความคิดของเขาออกแล้ว นางแสยะยิ้ม “ข้าสนิทกับเสิ้นหมีมาก ของของเขาน่ะ ข้าแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเจ้าเป็นของเสิ้นหมีชัดๆ! ไม่น่าเชื่อว่าตาทิพย์ของเสิ้นหมีจะมาโผล่อยู่บนตัวเจ้า เขาคงจะสิ้นชีพไปแล้วสินะ?”
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ที่สำคัญเป็นเพราะไม่รู้ว่านางเป็นสหายหรือศัตรูของเสิ้นหมีกันแน่ ถ้าพูดผิดแล้วอีกฝ่ายต้องการจะล้างแค้นให้เสิ้นหมีขึ้นมา แบบนั้นจะไม่เกิดปัญหาเหรอ
…………………………