พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1409 โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว
เมืองใต้ดิน เมืองอยู่ในน้ำ น้ำอยู่ในเมือง แสงของโคมไฟและแสงจากทรายดาวของแร่ธาตุที่เกิดร่วมกันได้เพิ่มความแพรวพราวมายาให้ที่นี่หลายส่วน นี่คือทิวทัศน์ที่หามองไม่ได้จากบนพื้นดินที่มีบรรยากาศอึมครึม
ถนนไม่ได้เปิดเส้นทางให้เป็นระเบียบ ไม่มีหลักการใดๆ ทั้งนั้น เมื่อเจอบ้านที่ขุดออกมาจากกลางผนังหินก็แค่เดินเลี้ยว ถนนบ้างก็กว้างบ้างก็เล็ก ถ้าไม่ระวังก็จะเดินไปเจอทางตัน และร้านค้าทุกร้านของเมืองใต้ดินก็ล้วนเชื่อมจากใต้ดินถึงบนดิน การทำแบบนี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือรักษษความลับได้ดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็จะไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ที่มีคนกลุ่มใหญ่มามุงดู ม่เหมือนที่ตลาดสวรรค์ที่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มีกลุ่มคนเข้ามาเบียดกันเสือกทันที
แม่น้ำใต้ดินก็มีทั้งกว้างมีทั้งแคบเช่นกัน ตรงที่แคบก็แล่นเรือขนาดเล็กได้ ตรงที่กว้างก็วิ่งเรือโหลวฉวนได้ เรือที่ค่อนข้างใหญ่ส่วนมากจะเป็นสถานบันเทิง ถึงขั้นมีโรงเตี๊ยมห้อยโคมไฟหลากสีลอยเอ้อระเหยอยู่บนแม่น้ำใต้ดินด้วย
ร้านค้ารูปแบบต่างๆบนถนนล้วนมีหมด รายการสินค้าที่ไร้ระเบียบมีไม่น้อยกว่าตลาดสวรรค์แน่ มีแต่จะเยอะกว่าตลาดสวรรค์
ทว่าค่าใช้จ่ายของที่นี่ ตลาดสวรรค์กลับเทียบไม่ติด การทำเรื่องที่ลับพรางเปิดเผยไม่ได้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความลับ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าตลาดสวรรค์สิบเท่ายังถือว่าเป็นส่วนน้อย ที่ราคาสูงจริงๆ นั้นร้อยเท่าก็มี ดังนั้นตลาดผีจึงทำได้เพียงหลบอยู่ในมุมมืด คนที่ซื้อขายอย่างสง่าผ่าเผยไม่มีทางมาอยู่ที่นี่
อาณาเขตใต้ดินของที่นี่ก็ใหญ่พอสมควร ทั้งยังยุ่งเหยิงเหมือนเขาวงกต พอเดินเพ่นพ่านไปได้หนึ่งชั่วยามกว่า พวกเขาก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว การเดินลงไปแบบไร้จุดหมายไม่ใช่วิธีการที่ดี ต้องหาที่พักสักหน่อย ต้องตั้งใจดูแผนที่ของตลาดผีที่กู่ตัวกุ้ยมอบให้ดีๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็หาเส้นทางไม่เจอจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ด้านนอกก็ยังมีกำลังพลอีกจำนวนมากที่กำลังรอให้แบ่งงานให้ เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือหาโรงเตี๊ยมสักแห่ง
พอเดินมาถึงบนสะพานแห่งหนึ่งที่ทอดข้ามสองฝั่ง เหมียวอี้ก็หยุดเดินแล้วถ่ายทอดเสียงบอกจ้านหรูอี้ว่า “พวกเราต่างกันต่างหาโรงเตี๊ยมอยู่ก็แล้วกัน”
“แยกกันเหรอ?” จ้านหรูอี้งงไปชั่วขณะ แล้วบอกว่า “เจ้ากับข้าพักอยู่โรงเตี๊ยมเดียวกันดีกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ติดต่อกันได้ทันเวลา”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เบียดอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันคงไม่ดีมั้ง กำลังพลของธงพยัคฆ์ทั้งสองเข้าออกที่เดียวกัน เกรงว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่าย”
จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “คิดมากไปแล้ว ถ้ามีเรื่องจปรึกษาหารือก็เรียกรวมลูกน้องคนสำคัญมาก็พอ เมื่อวางแผนงานเรียบร้อยแล้ว ตอนหลังก็อาศัยระฆังดาราติดต่อกัน กำลังพลเบื้องล่างจะเอาแต่คลุกคลีอยู่กับพวกเราได้ยังไง แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย”
ในเมื่อนางดึงดันจะทำแบบนี้ เหมียวอี้ก็สงสัยเจตนาของนางนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อยากจะดูว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
คนกลุ่มนี้เดินหน้าหาโรงเตี๊ยมต่อไป เมื่อเดินอ้อมผ่านถนนเส้นหนึ่งได้ไม่นาน ก็ปรากฏผิวแม่น้ำกว้างที่โล่งปลอดโปร่ง รูปสลักปลาหลีสองตัวที่เงยหน้ากระดกหางดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้ ปลาหลีทั้งสองตัวอยู่ตรงหน้าประตูหินใหญ่ของร้านค้าร้านหนึ่ง มันกระดกหัวพ่นเสาน้ำออกมาสองสาย น้ำพุ่งผ่านถนนไปตกอยู่ในแม่น้ำราวกับสะพานโค้ง เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการอาศัยแรงดันน้ำที่ผิวดิน น้ำที่พ่นออกมามีระดับความสูงเพียงพอ คนที่เดินอยู่บนถนนเบื้องล่างไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
นี่คือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง บนแผ่นป้ายเรียกว่า ‘โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว’ พวกเขากำลังตามหาโรงเตี๊ยมพอดี จ้านหรูอี้ถามความเห็นของเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่มีความเห็นแย้งอะไร พวกเขาจึงเข้าไปพักที่นี่
ลูกน้องของจ้านหรูอี้เข้าไปถามเรื่องธรรมเนียมการเข้าพัก พบว่าราคาสูงจนเหลวไหล การเข้าพักนับตามจำนวนคน ห้องหนึ่งอนุญาตให้พักได้มากสุดสองคน ทุกห้องมีค่าใช้จ่ายวันล่ะหนึ่งล้านผลึกแดง ถ้าต้องการอาหารอย่างอื่นก็ต้องจ่ายแยก และโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็รักษาความปลอดภัยพื้นฐานเท่านั้น เพียงแค่รักษาความปลอดภัย ไม่ได้รับประกันความปลอดภัย หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นก็ต้องรับผิดชอบเอง
สิ่งที่เรียกว่ารักษาความปลอดภัยพื้นฐานก็คือไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าพัก ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมโดยพลการก็เท่านั้นเอง ถ้ามีใครเล่นตุกติกล่วงล้ำเข้ามาพัก แบบนั้นโรงเตี๊ยมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
เงื่อนไขก็เป็นแบบนี้ อยากจะพักหรือไม่อยากจะพักก็ตามใจ
ไม่มีตัวเลือกดีๆ แล้วเช่นกัน สถานการณ์ของตลาดผีก็เป็นแบบนี้ พวกเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ต้องพูดเยอะ ถึงอย่างไรก็ช่วยทำงานให้หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตราบใดที่ไม่ทำซี้ซั้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็จะควักจ่ายค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล
จ้านหรูอี้ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวไม่สะดวกจะพักรวมกับผู้ชายอีกห้าคน หกคนนี้จึงต้องการห้องพักสี่ห้อง เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้พักคนละห้อง ผู้ติดตามสี่คนพักห้องละสองคน
ต้องจ่ายเงินก่อน ไม่มีการค้างจ่าย หลังจากจ่ายเงินแล้วก็ถูกพาไปที่ชั้นสาม ห้องทั้งสี่ห้องเรียงกัน ห้องของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้อยู่ตรงกลาง ส่วนสองห้องที่คุ้มครองทางซ้ายและขวาก็เป็นห้องของผู้ติดตาม พอเข้ามาในห้องและผลักหน้าต่างออกไป ก็สามารถมองเห็นเรือแล่นบนแม่น้ำและผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนถนนด้านนอก ในห้องตกแต่งแบบลวกๆ ดีกว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตพื้นฐานนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าดีสักเท่าไร
พอดูในห้องแล้ว หยางเจาชิงก็ทำการตรวจสอบห้องทั้งสองฝั่ง ส่วนเหมียวอี้ก็นำเหยียนซิวเดินออกประตูมา เตรียมจะเดินวนดูโรงเตี๊ยมแห่งนี้สักหน่อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะได้รู้ว่าจะหนีไปที่ไหนได้สะดวก ผลก็คือพบว่าทุกชั้นมีขนาดเท่ากันหมด ไม่มีอะไรน่าดู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อเดินไปถึงชั้นเก้า ก็ถูกบริกรสองคนมาขวางบันไดไว้แล้ว
“ทั้งสองท่าน ขออภัยด้วย ข้างบนไม่ได้เปิดให้แขกพัก ทั้งสองท่านได้โปรดกลับไป” บริกรคนหนึ่งขวางไว้ ยกมือบอกใบ้ให้กลับไป
เรื่องนี้ไม่สะดวกจะฝืน เหมียวอี้กับเหยียนซิวทำได้เพียงเลี้ยวกลับ ทว่าด้านบนกลับมีเสียงฝีเท้าเดินเบาๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
ทั้งสองได้ยินเสียงแล้วหันกลับไปอีกครั้ง เห็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นบน
เป็นสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดลายดอก เป็นกระโปรงยาวลายดอก มีดวงตาดอกท้อที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ ราวกับดวงตาสามารถพูดได้ หน้าตาสดใส งดงามเป็นที่สุด เดินบิดเอวบางเนิบนาบลงบันไดมา
เหยียนซิวยังดีหน่อย แต่เหมียวอี้กลับจ้องประเมินผู้หญิงคนนั้นจนตะลึงค้าง ไม่น่าเชื่อว่านางจะเป็นคนที่เหมียวอี้รู้จัก ตอนที่เข้าร่วมทดสอบครั้งแรก เขาเคยเจอนางที่ตลาดมืดของสถานที่ไร้ชีวิต นางคือเถ้าแก่เนี้ยฮวาหูเตี๋ยของโรงรับจำนำผีเสื้อ นึกไม่ถึงว่าจะได้บังเอิญมาพบกันที่นี่อีก
ผู้หญิงคนนี้มาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง? พอเหมียวอี้เห็นบริกรสองคนมีท่าทีเคารพต่อฮวาหูเตี๋ย ก็พูดไม่ออกนิดหน่อย อย่าบอกนะว่า ‘โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว’ แห่งนี้คือที่สมคบของตระกูลโค่วที่ตลาดมืด ถ้าใช่จริงๆ แบบนั้นก็บังเอิญเกินไปแล้ว
บริกรสองคนถ่ายทอดเสียงบอกฮวาหูเตี๋ยสองสามประโยค ฮวาหูเตี๋ยที่กำลังจ้องพวกเหมียวอี้พยักหน้าอมยิ้ม
เหมียวอี้หันหน้ากลับมาแล้วพาเหยียนซิวเดินออกมา ครั้งนี้เขามาปฏิบัติภารกิจลับ จึงปลอมตัวแล้ว เชื่อว่าฮวาหูเตี๋ยไม่น่าจะทำเขาได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร ยังไม่ถึงขั้นมองแววตากับรูปร่างแล้วจำได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่อยากให้ตระกูลโค่วรู้ว่าเขาพบเห็นเรื่องลับของตระกูลโค่วแล้ว
ขณะมองดูเงาร่างที่เดินลงบันไดไป ฮวาหูเตี๋ยก็หรี่ตาเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางสังเกตเห็นแล้ว ว่าสายตาที่เหมียวอี้มองนางดูมีเลศนัยนิดหน่อย ทำเหมือนรู้จักนาง นี่ก็คือจุดที่นางรู้สึกว่ามีพิรุธ โดยส่วนใหญ่เวลาทำงานอะไรที่ตลาดมืดนางจะไม่ค่อยโผล่หน้าออกไปพบคนอื่น เวลามีอะไรล้วนให้ลูกน้องออกหน้าแทน ถ้าจะออกจากประตูก็จะปลอมตัว คนในตลาดมืดที่สามารถไปมาหาสู่กับนางได้โดยตรงคงจะเป็นคนที่สนิทกันมาก คนที่สามารถจำนางได้ก็คงจะมองออกนิดหน่อยเช่นกัน แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็เหมือนนางจะไม่มีภาพอะไรติดอยู่ในความทรงจำเลย
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้มาหลายปีอย่างนาง ไม่ว่าความผิดปกติใดๆ ก็สามารถทำให้นางตื่นตัวระแวดระวังได้
“ดูไว้ให้ดีนะ ช่วงนี้เบื้องบนมีคน ‘ในบ้าน’ มาเข้าพัก อย่าให้ใครไปรบกวน” ฮวาหูเตี๋ยกำชับ
“ขอรับ!” บริกรสองคนเอ่ยรับคำสั่ง
ฮวาหูเตี๋ยหันตัวเดินขึ้นไปบนตึกอีกครั้ง พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าอีก “ไปตรวจสอบหน่อยว่าสองคนเมื่อครู่นี้พักที่ห้องไหน”
“ขอรับ!” มีบริกรคนหนึ่งรีบเดินออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ต่างคนต่างส่งลูกน้องคนหนึ่งมาเฝ้าหน้าประตูโรงเตี๊ยม ให้คอยรับลูกน้องคนสำคัญของธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ถ้าไม่ไปรับโรงเตี๊ยมก็จะไม่ให้เข้ามา จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกัน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้แจกจ่ายแผนที่ของตลาดผีให้ แล้วเริ่มวางแผนงาน โดยสั่งให้กำลังพลห้าพันคนเข้าไปประจำอยู่ในตลาดผี แบ่งกลุ่มห้าคนแยกย้ายกันไปเฝ้าในแต่ละแห่งของตลาดผี เตรียมพร้อมรอภารกิจทุกเมื่อ พยายามทำความเข้าใจเส้นทางและสถานการณ์ของตลาดผีให้เร็วที่สุด
ตอนที่กลุ่มคนแยกย้ายกันไปได้ไม่นาน ฮวาหูเตี๋ยก็เดินเนิบนาบเข้ามาจากปลายทางเดินอีกด้าน เพียงแต่บนใบหน้าปลอมตัวแล้ว ในมือถือถาดอาหาร บนถาดวางสุราอาหารเอาไว้ พอเดินมาตรงหน้าประตูห้องเหมียวอี้ก็เคาะประตู
เมื่อมีความเคลื่อนไหว เหยียนซิวก็ปรากฏตัวจากอีกห้องทันที ถึงแม้อีกฝ่ายจะปลอมตัวแล้ว แต่เครื่องแต่งกายยังไม่ได้เปลี่ยน เหยียนซิวมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่ชั้นบนก่อนหน้านี้ จึงถามเสียงต่ำว่า “ใครกัน มีเรื่องอะไร?”
จ้านหรูอี้ที่อยู่อีกห้องหนึ่งก็เปิดประตูโผล่หน้าออกมาเช่นกัน นางจ้องฮวาหูเตี๋ยอย่างระแวดระวัง
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มพร้อมตอบว่า “ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว นำสุราอาหารมามอบให้แขกชิมโดยไม่คิดเงินค่ะ”
เหมียวอี้ก็เปิดประตูโผล่หน้ามาเช่นกัน พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนี้ก็พูดไม่ออกนิดหน่อย ยิ้มตอบว่า “ข้าซาบซึ้งน้ำใจของเถ้าแก่เนี้ยแล้ว” นับว่าเป็นการปฏิเสธอย่างอ้อมๆ
ฮวาหูเตี๋ยชม้ายชายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “แขกผู้มี้เกียรติปฏิเสธกันอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ไร้น้ำใจเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นนางชม้ายชายตาแบบนั้น ในดวงตาจ้านหรูอี้ก็ฉายแววรำคาญ บอกว่า “เขาไม่ต้องการแต่ข้าต้องการ มาส่งที่ห้องข้าแล้วกัน”
ฮวาหูเตี๋ยกลอกตามองบน “เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าสนุกเลย” พูดจบก็ไม่สนใจว่าเหมียวอี้จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เรือนร่างอ่อนช้อยถือโอกาสเบียดเข้าไป เบียดร่างเหมียวอี้เข้าไปข้างในโดยตรง
เหมียวอี้หันตัวกลับมา รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย ดูจากท่าทางของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าจำข้าได้แล้วหรอกนะ?
จ้านหรูอี้กับเหยียนซิวก็ตามเข้ามาเช่นกัน ลูกน้องคนอื่นๆ ก็โผล่หน้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็มองฮวาหูเตี๋ยด้วยสีหน้าระแวง
ฮวาหูเตี๋ยมองทุกคนราวกับไม่มีตัวตน สนใจแต่จัดวางสุราอาหารของตัวเองไป เมื่อวางเสร็จแล้ว ก็นั่งลงแล้วยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง แล้วยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลง
เหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย เดินไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ แล้วามว่า “เถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะชี้แนะ?” เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดค่าอาหาร ที่ตลาดผีมีคนทำการค้าที่ใจดีแบบนี้ด้วยเหรอ?
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มอย่างสนิทสนม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงบุ้ยปากไปทางกลุ่มคนที่เบียดอยู่ตรงประตู
เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้พวกจ้านหรูอี้ “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเชื่อฟังมาก พอเห็นท่าทางที่สุขุมมั่นคงของเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีแผนในใจ จึงหันตัวเดินออกไป แต่ในดวงตาจ้านหรูอี้กลับเต็มไปด้วยความระแวง “เหมียวอี้ ระวังจะมีคนเจตนาไม่ดี” นางไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไร
พอมาอยู่ที่นี่ก็เปลี่ยนชื่อแล้ว แต่เหมียวอี้กลับใช้ชื่อจริงของตัวเอง
ฮวาหูเตี๋ยมองเหมียวอี้พร้อมถามอย่างรู้สึกสนใจ “เป็นห่วงเจ้ามากเชียวนะ นางเป็นผู้หญิงของเจ้าเหรอ? แต่ก็ไม่เหมือนนะ ถ้าเป็นผู้หญิงของเจ้าก็ต้องพักอยู่ห้องเดียวกันสิ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ขาดทุน”
จ้านหรูอี้โดนถามจนเขินอาย แต่โชคดีที่บนใบหน้าใส่หน้ากากอยู่ เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วโบกมืออีกครั้ง “ถอยออกไปก่อน ข้าอยากจะดูว่าเถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะชี้แนะ”
ไม่ฟังคำแนะนำกันเลน! จ้านหรูอี้รู้สึกโกรธนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก หันหน้าพาคนเดินออกไปแล้ว
ฮวาหูเตี๋ยโบกแขนเสื้อปิดประตูห้อง จากนั้นหันกลับมายืนมือเชิญด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “ชิมสุราอาหารของโรงเตี๊ยมเราหน่อยสิ”
…………………………