พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1412 บังเอิญเจอเข้าแล้ว
“ใช่! ใต้หล้าวุ่นวายใหญ่โตแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเห็นด้วย “ก็อย่างที่บอกไว้ สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกือ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี ตระกูลเซี่ยโห้วมีวิธีการมากมายที่จะโจมตีอำนาจของประมุขชิง ประมุขชิงไม่กล้ากดดันตระกูลเซี่ยโห้วมากเกินไป ทำได้เพียงวางแผนช้าๆ และเช่นเดียวกัน ตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ไม่ได้มีต้นทุนมากมายเพื่อทำแบบเดินซ้ำๆ ได้อีก ถ้ายั่วโมโหจนประมุขชิงใช้กำลังแก้ปัญหาจริงๆ ต่อให้จะนำความยุ่งยากมากมายมาให้ประมุขชิง แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เสียหายยับเยินเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วจึงสงบเสงี่ยมมาก ในที่แจ้งก็ส่วนที่แจ้ง ในที่ลับก็ส่วนที่ลับ แตกต่างกันอย่างชัดเจน ภายนอกรักษากฎของตำหนักสวรรค์อย่างซื่อสัตย์ แต่ในที่ลับนั้นเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่กล้าทำเกินไป และประมุขชิงก็ควบคุมอยู่ ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าทำอะไรเกินเลย”
เหมียวอี้กำลังใช้สมองคิดตามคำพูของนาง แล้วถามอีกว่า “แล้วที่ตลาดผีแห่งนี้มีใครของตระกูลเซี่ยโห้วคอยควบคุมดูแล?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ไม่รู้สิ เดาว่าคู่กรณีคงจะรู้ชัดอยู่แก่ใจ ตอนนี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจในตลาดผีก็คือเฉาหม่าน เป็นเจ้าของร้านที่ ‘ธนาคารสัตยพรต’ คนในต่างก็รู้ว่าเฉาหม่านเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่รายละเอียดว่าเป็นใครในตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีใครรู้ มีคนบอกว่าเป็นลูกชายลับๆ ของเซี่ยโห้วท่า ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ตลาดผีแห่งนี้บทจะไม่มีกฎระเบียบก็ไม่มีกฎระเบียบเลยจริงๆ แต่บางครั้งก็มีฎระเบียบเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นร้านค้าของที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหาร้านได้ ต่อให้เจ้าจะซื้อร้านมาจากมือคนอื่นได้ แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารสัตยพรต เมื่ออยู่ในสถานที่แก่งแย่งผลประโยชน์กันแบบนี้ เจ้าก็จะโดนก่อกวนต่างๆ นาๆ จนเปิดร้านต่อไปไม่ได้ ต้องให้ธนาคารสัตยพรตอนุญาตก่อน ถึงจะยืนยัดอยู่ที่นี่ได้ ส่วนแม่ทัพภาคตำหนักสวรรค์ที่คุมที่นี่อยู่ก็มีไว้เฉยๆ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้กฎของตลาดผีไม่ชัดเจน ก็เพื่อที่จะทำให้ตำหนักสวรรค์ไม่สามารถลงมือได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นถ้ากลายเป็นระบบขึ้นมา ตำหนักสวรรค์ก็จะควบคุมจากบนลงล่างได้ง่ายมาก ตอนนี้ตำหนักสวรรค์ทำได้เพียงมอง แต่กินไม่ได้”
“ธนาคารสัตยพรตเฉาหม่าน…ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้…” เหมียวอี้พึมพำ ทำท่าเหมือนเลิกคิดไม่ได้
อวิ๋นจือชิวชำเลืองมอง แล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “ทำไม? เจ้าคิดจะทำอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วงั้นเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทหารเล็กๆ ต่ำต้อยอย่างข้าเนี่ยนะ เกรงว่าต่อให้ไปขอร้องถึงบ้าน แต่อีกฝ่ายก็คงจะไม่สนใจ อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนมาก ตลอดทางที่เดินมามีแต่จะร่วมงานกับผู้ที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่มีศักยภาพที่จะแทนที่ได้ ไม่มีผลประโยชน์อะไรจะให้อีกฝ่ายได้ นอกจากอีกฝ่ายจะกินอิ่มแล้วว่างงานเท่านั้นแหละ ถึงจะยอมมาเสี่ยงอันตรายกับข้า”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ เรื่องเกี่ยวกับตลาดมืด ตอนนี้นางเองก็ยังรู้อะไรไม่เยอะ ตอนนี้แนะนำได้เพียงเท่านี้ สุดท้ายก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ “เรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เจ้าเตรียมจะทำยังไง?” นี่คือจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว พวกท่านปู่ของเจ้าว่ายังไงบ้าง คิดหาทางจำกัดบุรุษจัญไรหกเนตรได้หรือเปล่า? ข้าจะบอกให้ชัดเจนเอาไว้ก่อน ว่าข้าไม่มีความสามารถที่จะกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตร ถ้าเจ้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ต้องลงมือเอง ข้าแค่เป็นคนกลางประสานงานให้เท่านั้น”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับไป๋เฟิ่งหวง ตอนนี้ข้ายังไม่ได้บอกท่านปู่ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะรู้สึกว่าพวกเราสามารถเจรจาเรื่องนี้กันได้”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้รู้สึกสนใจ
อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “ข้าสามารถบอกให้พวกเขาหาทางลงมือกับบุรุษจัญไรหกเนตรได้ ถ้าทำสำเร็จ ข้าคิดว่าไม่จำเป็ฯต้องนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันนั้นให้พวกเขาทั้งหมด แบ่งให้พวกเขาหนึ่งล้านคันก็น่าจะดึงดูดให้พวกเขาลงมือได้แล้ว ส่วนที่เหลืออีกแปดล้านคันพวกเราก็เก็บไว้ในมือตัวเองได้ การเลี้ยงพวกเขาให้อิ่มในตอนนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเรา พวกเราต้องกุมอำนาจฝ่ายกระทำให้มากหน่อย ในอนาคตต้องมีจุดให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าลองคิดหาทางปิดบังจำนวนแปดล้านนั่นไว้ ให้ไป๋เฟิ่งหวงนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นให้เจ้าก่อนได้หรือเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบอย่างไม่แน่ใจ “พูดตามตรงนะ เมื่อก่อนข้าก็มีความคิดนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่กล้าฟันธงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะรักษาสัญญาได้หรือเปล่า ถ้าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องนี้จริงๆ ถึงตอนนั้นเมื่อจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่ถ้าไป๋เฟิ่งหวงไม่ยอมมอบของให้ข้า แล้วหกลัทธิมาทวงของจากข้า ข้าจะทำยังไงดีล่ะ? ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องเอง”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “คนที่ยามปกติสมองเฉียบแหลมมาก ทำไมกลายเป็นคนโง่ขนาดนี้ได้ เจ้าไม่รู้เหรอว่าต้องไปเอาเงินมัดจำที่ไป๋เฟิ่งหวงก่อน หลังจากทำสำเร็จแล้วค่อยมอบที่เหลือให้เจ้าก็ยังไม่สาย เจ้าเอาหนึ่งล้านคันนั่นมาไว้ในมือก่อน ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็นำธนูที่มีอยู่ในมือไปให้หกลัทธิได้ ส่วนจนวนที่เหลือ ถ้าไป๋เฟิ่งหวงจะเต็มใจให้ก็ให้ ถ้าไม่เต็มใจให้เจ้าก็ไม่เสียหายอะไรอยู่ดี”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นวรยุทธ์สูงมาก ทั้งยังบ้าบิ่นประสาทเสียอีก ข้าไม่รู้ชัดว่านางเป็นคนยังไง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ข้าไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้หกลัทธิไปเกี่ยวข้องกับนางหรอก”
อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ถ้าอันตรายก็ปล่อยผ่านเถอะ”
เหมียวอี้ลองครุ่นคิด แล้วบอกวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวกลับไปข้าจะลองดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็ทำตามอย่างที่เจ้าบอก”
“งั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวมาก ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” อวิ๋นจือชิวทำสายตาอ่อนโยนเล็กน้อย
“รู้แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า ไม่อยากพูคุยหัวข้อที่หนักใจแบบนี้ ทั้งสองถูกสถานการณ์บีบบังคับให้แยกจากกัน แค่ความหวั่นใจก็ทำให้ลำบากแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหน้ากัน แล้วเหตุใดจึงต้องพูดเรื่องที่ทำให้หมดอารมณ์อีก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เออใช่ เจ้าเตรียมจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ให้ข้าบอกให้ฮวาหูเตี๋ยเตรียมห้องให้เจ้าสักห้องดีมั้ย?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มพร้อมตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งมาตลาดผีที่นี่เป็นครั้งแรก ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปดูสักหน่อย ไม่แคล้วต้องอยู่ที่นี่สักระยะ ไม่ต้องให้ข้าอยู่ที่นี่หรอก อีกเดี๋ยวถ้าโดนตระกูลโค่วเพ่งเล็งขึ้นมาจะลำบาก ลัทธิมารก็มีที่พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นหอนางโลมแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ‘จันทราวายุมิเสื่อมคลาย’ ถ้ามีอะไรเจ้าก็ไปหาข้าที่นั่นได้”
“หอนางโลม?” เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ให้ฮูหยินของตัวเองไปพักที่หอนางโลมเหรอ เขารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวมองออกแล้วว่าเขาคิดอะไร นางยิ้มมุมปาก “เป็นแค่ที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากแล้ว ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร? ข้างกายข้ามีคนคอยคุ้มครอง ยังกลัวว่าจะมีคนมาทำอะไรข้าได้เชียวเหรอ? หรือไม่อย่างนั้น เจ้าไม่วางใจข้าเหรอ?”
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเองก็ระวังตัวหน่อย ทางที่ดีเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ปิดบังเรือนร่างผู้หญิง เวลาเข้าออกที่นั่น ทางที่ดีควรปลอมตัวเป็นผู้ชาย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็รีบติดต่อข้าทันที” เป็นเพราะฮูหยินของตัวเองมีเรือนร่างที่ยั่วราคะจริงๆ
“หึหึ…” อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะปิดปากขำ รู้ว่าในใจเขารู้สึกอึดอัด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างสนิทสนม เอนกายไปข้างหน้า ยื่นนิ้วออกมาวาดวงๆ บนหน้าอกเขา พร้อมพ่นลมหายใจที่หอมสดชื่นถามว่า “เฟยหงนั่นสวยขนาดนั้น เจ้าคงจะลืมความอบอุ่นอ่อนโยนของข้าไปนานแล้วกระมัง?”
เหมียวอี้เหล่ตามอง สายตากลอกไปกลอกมาอยู่บนเรือนร่างของนาง กลืนน้ำลายอย่างรู้สึกเร่าร้อน แล้วเดินประชิดเข้าไปทีละก้าว อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก แววตาฉ่ำน้ำเย้ายวน ถอยหลังทีละก้าวเช่นกัน เป็นฝ่ายถอยไปอยู่ข้างเตียงก่อน…
หลังจากนั้นสองชั่วยาม อวิ๋นจือชิวที่แต่งตัวและเกล้าผมเรียบร้อยแล้วยังไม่หายหน้าแดง นางสวมหน้ากากปลอมตัวอีกครั้ง ก่อนจะจากกันก็กำชับเหมียวอี้อีกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ข้าไม่ค่อยวางใจ เจ้าติดต่อพวกจินม่านสักหน่อยสิ ถามว่ามีคนของตัวเองอยู่ทางนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าหากมี เจ้าก็บอกจินม่านว่ากำลังสืบหาที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาอยู่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะได้มีคนปกป้องเจ้าบ้าง
“รู้แล้ว เจ้าเองก็ระวังตัวเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องติดต่อข้าทันที” ปากเหมียวอี้ก็พูดปลอบใจ แต่ในใจกลับไม่คิดอย่างนั้น ถ้าไม่ถูกกดดันจนถึงที่สุด เขาก็ไม่อยากให้คนของหกลัทธิรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่
และความบังเอิญก็คือ อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะออกมาจากห้อง ก็บังเอิญเจอกับจ้านหรูอี้ที่กลับมาพอดี ผู้หญิงทั้งสองเดินเฉียดไหล่กันไป แล้วต่างฝ่ายก็ต่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง
จ้านหรูอี้หยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้าห้องเหมียวอี้ แล้วหันขวับไปมองแผ่นหลังอวิ๋นจือชิวที่กำลังเดินลงตึกไป แล้วหันมาส่งสายตาให้ลูกน้องตัวเอง กาอนที่จะมีหนึ่งในนั้นตามออกไปทันที
ส่วนเหยียนซิวกับหยางเจาชิงที่เฝ้าอยู่หน้าห้องก็สบตากันแวบหนึ่ง
จ้านหรูอี้เคาะประตูห้องเหมียวอี้
“เข้ามา” เสียงที่เกียจคร้านของเหมียวอี้ดังมาจากในห้อง
พอจ้านหรูอี้ผลักประตูเข้ามา ก็ได้กลิ่นประหลาดอบอวลอยู่ในห้องทันที แล้วไม่นานสายตาก็ไปหยุดอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ สองมือเริ่มกำหมัดอย่างช้าๆ
เหมียวอี้เอามือไข้วหลังเดินเข้ามา แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
จ้านหรูอี้สูดหายใจแรง แล้วถามเสียงเย็นว่า “บนตัวเจ้ามีกลิ่นผู้หญิง ผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้คือใครกัน?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ขนาดนี้แล้วยังถูกเจ้าจับได้อีก หามาจากหอนางโลม ทำไมเหรอ?”
จ้านหรูอี้เม้มปากแน่น แล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองเขา ก่อนจะกัดฟันบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เหมียวอี้ไม่แยแส “ก็ผู้ชายไง อีกเดี๋ยวข้าเตรียมจะไปเดินเล่นที่หอนางโลมด้วยตัวเองสักหน่อย รับรองว่าไม่เสียงาน”
“เจ้า…” จ้านหรูอี้มองด้วยสายตาโกรธเคือง ทว่านางไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับอีกฝ่าย ได้แต่สะบัดแขนเสื้อแล้วหันหน้าเดินจากไป
หลังจากนางกลับมาที่ห้องของตัวเอง ก็รอประมาณเกือบหนึ่งชั่วยาม คังเต้าผิงลูกน้องของนางก็กลับมาแล้ว รายงานว่า “ข้าน้อยตามไปตลอด ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในหอนางโลมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘จันทราวายุมิเสื่อมคลาย’ คาดว่าคงจะเป็นผู้หญิงของหอนางโลม ไม่อย่างนั้นจะเข้าไปในหอนางโลมได้ยังไง”
เป็นคนจากหอนางโลมจริงๆ เจ้าหมอนั่นก็ซื่อสัตย์ใช้ได้เลย หน้าด้านจนถึงขั้นไม่ปิดบังด้วยซ้ำ! จ้านหรูอี้ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น โบกมือให้ลูกน้องถอยออกไป หลังจากไม่มีคนแล้ว ในที่สุดนางก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหว หน้าอกกระเพื่อมถี่กระชั้น บนใบหน้าใส่หน้ากากอยู่ มองไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร
ปั้ง! นางกำหมัดทุบบนกำแพงหนึ่งครั้ง หลับตา ก้มหน้า กัดริมฝีปาก…
ไม่กี่วันต่อมา จ้านหรูอี้ก็ไม่เข้าๆ ออกๆ พร้อมกับเหมียวอี้อีก พาคนของตัวเองไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ไปทั่ว แทบจะไม่เจอหน้ากับเหมียวอี้อีกเลย
กู่ตัวกุ้ยพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าให้เวลาพวกเขาทำความคุ้นเคยครึ่งเดือนก็ให้ครึ่งเดือน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในที่สุดก็มีข่าวส่งมาแล้ว ต้องการให้คนของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ปฏิบัติการเดี๋ยวนี้ ให้ส่งคนไปยังแต่ละจุดเพื่อจับตาดูคนพร้อมกับคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา
แบ่งกลุ่มละห้าคนเพื่อไปจับตาดูคน แค่วันแรกก็ส่งออกไปแล้วเป็นร้อยกลุ่ม หลายวันหลังจากนั้นก็ส่งออกไปอีกวันละหลายสิบกลุ่ม เหมียวอี้แอบตกใจ จะเห็นได้ว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจับตาดูคนมากมายที่ตลาดผีมาตั้งนานแล้ว
เหมียวอี้ถามว่าจับตาดูใครบ้าง แต่ฝั่งกู่ตัวกุ้ยก็ไม่เปิดเผยอะไรเลย เพียงให้พวกเขาจับตาดูแล้วคอยรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งหน่วยตรวจการฝ่ายขวา
เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่กู่ตัวกุ้ยพูดไว้ไม่ผิด เวลาเจอกับเรื่องมากมาย คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ไม่พอให้ใช้งานจริงๆ มีงานอยู่ในมือเยอะเกินไปแล้ว และหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ใช่ว่าจะรับใครเข้ามาทำงานก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นที่ศูนย์บัญชาการของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตรงประตูคุกที่ดำมืด ซ่างก่วนชิงผู้การใหญ่ของตำหนักสวรรค์กำลังยืนคู่กับเกาก้วนที่สวมชุดคลุมสีดำ
พอประตูใหญ่ของคุกเปิดออก ชายหนุ่มหลายคนที่มีรอยเลือดบนเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยก็เดินกะเผลกคล้องแขนกันออกมา พวกเขาคือคนของหน่วยองครักษ์เงาที่ถูกคุมตัวเข้าไปสืบสวนในคุกก่อนหน้านี้ เพียงแต่ฉากนี้ทำให้ซ่างก่วนชิงเห็นแล้วหนังตากระตุก ส่วนคนที่ออกมาในตอนหลังก็คือหัวหน้าของหน่วยองครักษ์เงา ชายวัยกลางคนที่มีผมขาวแซมศีรษะก็ยังมีสภาพยับเยินจนทนมองไม่ไหว ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพสลบแล้ว ต้องให้เพื่อนร่วมงานประคองออกมา
ซ่างก่วนชิงรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า โน้มตัวลงใช้มือลูบขาสองข้างที่มีรอยเลือดเละเทะและหักบิดเบี้ยวผิดรูปจนเห็นกระดูก ก่อนจะหันขวับมามองเกาก้วน แล้วถามเสียงเข้มว่า “เกาก้วน เจ้ากล้าใช้วิธีการทรมานพวกเขาเหรอ?”
…………………………