พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1414 เศร้าโศกคับแค้น
เซี่ยงจงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร พยายามออกแรงตะแคงข้าง เอามือยันตัวให้ลุกขึ้น แล้วบอกอย่างตกใจว่า “ก็ต้องไม่มีอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าผู้การใหญ่ก็ไม่เชื่อเซี่ยงจงเหมือนกัน?”
ซ่างก่วนชิงสีหน้าคร่ำเครียดเล็กน้อย “ก็เพราะข้าเชื่อเจ้าไง ข้าถึงได้ให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้ายอมรับตอนนี้ก็ยังไม่สาย ข้ายังอยากจะปกป้องเจ้าสักครั้ง แต่ถ้าเจ้าอดทนไว้จนถึงที่สุด ถึงตอนนั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้เหมือนกัน เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดออกมา!”
ถึงแม้เขาจะควบคุมหน่วยองครักษ์เงามาตลอด แต่ในฐานะที่เขาเป็นผู้การใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแลเรื่องของหน่วยองครักษ์เงาอย่างเดียว เบื้องล่างย่อมมีคนช่วยเขาแบ่งเบา คนที่ช่วยเขาแบ่งเขาได้ก็ย่อมเป็นคนที่เขาเชื่อใจ คนคนนั้นก็คือเซี่ยงจง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ตัวเองเชื่อใจ
ใครจะคิดว่าเซี่ยงจงจะทำตัวราวกับได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ยืดคอพร้อมกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่ผู้การใหญ่ก็คิดว่าเซี่ยงจงกำลังโกหกเหมมือนกันเหรอ?”
“จนป่านนี้แล้วยังปิดบังข้าอีกเหรอ?” ซ่างก่วนชิงก็โมโหแล้วเช่นกัน ทุ่มแผ่นหยกเป็นกองลงตรงหน้าเขา “งั้นนี่คืออะไร อย่าบอกนะว่าพวกลูกน้องกำลังรวมตัวกันวางกับดักเจ้า?”
เซี่ยงจงรีบหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่านดูว่าคืออะไรกันแน่ พบว่าเป็นคำให้การของกำลังพลเบื้องล่าง เขายิ่งอ่านก็ยิ่งมึน ทำสีหน้างุนงงแล้ว
“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่ากำลังแกล้งโง่ ต้องให้ข้าเรียกคนอื่นมายืนยันต่อหน้าจนหัวหน้าอย่างเจ้าเถียงไม่ออกใช่มั้ยเจ้าถึงจะพอใจ?” ซ่างก่วนชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม ให้ความรู้สึกเหมือนเข้มงวดเพราะหวังดี
หลังจากเซี่ยงจงงงงวยอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็อุทาน ‘”อ๋า” เหมือนเข้าใจในฉับพลัน เอามือตบหน้าผากตัวเอง “ข้านึกออกแล้ว ครั้งนั้นพวกเราหกคนไปดื่มที่ภัตตาคาร ในระหว่างนั้นมีผู้เฒ่าพาหลานสาวมาร้องเพลงหาเงิน ข้าสังเกตเห็นว่ามีอันธพาลคนหนึ่งเหมือนจะเพ่งเล็งหลานสาวของผู้เฒ่าคนนั้น มองจากหน้าต่างภัตตาคารเห็นตากับหลานสาวเดินออกจากภัตตาคารเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม อันธพาลเลยตามหลังไปติดๆ ข้าเดาว่าอันธพาลนั่นมีเจตนาไม่ดี ก็เลยแยกตัวออกไปตามลำพังประเดี๋ยวเดียว ออกจากภัตตาคารเข้าไปในซอยนั้นแหละ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ อันธพาลนั่นก่อคดีจริงๆ ด้วย ทำร้ายชายชราแล้วลักพาตัวแม่นางที่ร้องเพลงหาเงินคนนั้นหนี ตอนนั้นข้าเลยลงมือจัดการอันธพาลคนนั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก หลังจากกลับมาข้าก็ไม่ได้เอ่ยกับพวกลูกน้องเช่นกัน เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ”
ซ่างก่วนชิงก็ยังนึกว่าเขาทำเรื่องส่วนตัวที่น่าอับอายอะไร ใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องประเภทนี้ จึงถามเสียงต่ำทันทีว่า “แล้วตอนที่เจ้าอยู่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ทำไมบอกตั้งแต่แรก?”
เซี่ยงจงกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “ตอนไอ้พวกคนโหดของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาสอบสวน ก็บอกแค่เวลากับสถานที่ให้ข้าคิดว่าตัวเองทำอะไร เรื่องราวผ่านไปหนึ่งพันปีกว่าแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ใครจะไปจำได้ล่ะ?”
ซ่างก่วนชิงแสยะยิ้ม “งั้นตอนนี้เจ้าจำได้แล้วเหรอ?”
เซี่ยงจงตอบว่า “ก็ผู้การใหญ่ให้ข้าอ่านคำให้การของพวกลูกน้องไง ในนี้บรรยายเหตุการณ์ตอนนั้นไว้ละเอียด เลยช่วยให้ข้าจำได้ เซี่ยงจงกล่าวความจริงทุกประโยค ไม่มีจุดไหนปิดบังผู้การใหญ่!”
ซ่างก่วนชิงบอกว่า “ข้าเชื่อเจ้าได้ แต่คนอื่นจะเชื่อเจ้าได้เหรอ? ขนาดก่อนหน้านี้เจ้าโดนหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทรมานอย่างหนักยังไม่บอกเลย ยังร้องขอความยุติธรรมอีก พอปล่อยกลับมาเจ้าก็นึกออกแล้ว ใครจะไปเชื่อล่ะ? เจ้าหาพยานบุคคลหรือพยานวัตถุมาพิสูจน์สิ่งที่เจ้าทำตอนนั้นได้มั้ยล่ะ?”
เซี่ยงจงตกใจ “ผ่านไปหนึ่งพันปีกว่าแล้ว แม้แต่กระดูกของตาหลานคู่นั้นคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วมั้ง ข้าจะไปหาพยานมาจากไหนล่ะ?”
“เจ้าไม่มีพยานแล้วใครจะเชื่อเจ้าล่ะ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ฝ่าบาทตรวจอ่านแล้ว อ่านบันทึกการสอบสวนของเจ้าด้วยตัวเองเลย ตอนนี้เจ้าอ้างเหตุลอะไรสักอย่างออกมา เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะเชื่อเหรอ?” ซ่างก่วนชิงถาม
“จิตใจอันจงรักภักดีที่เซี่ยงจงมีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้!” เซี่ยงจงกล่าว
คำพูดแบบนี้ใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่มีประโยชน์เหรอ? ซ่างก่วนชิงส่ายหน้า
คำพูดบางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูดกับเซี่ยงจง ราชันสวรรค์เป็นคนขี้ระแวงสงสัยมามาตลอด คนคนเดียวปกครองใต้หล้าก็มักจะมีจุดที่มองไม่เห็นและดูแลไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว มีเรื่องราวมากมายที่กำลังพลเบื้องล่างพูดอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาราชันสวรรค์จึงกลัวคนหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นราชันบนสวรรค์หรือในโลกมนุษย์ก็เหมือนกันหมด ขี้ระแวงสงสัยโดยธรรมชาติ!
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนแรกเขาไม่ดันทุรังขัดขวางไม่ให้ส่งตัวหน่วยองครักษ์เงาไปที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ถ้าตอนนั้นดันทุรังขัดขวาง ฝ่าบาทจะต้องสงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝงแน่นอน ว่าทำไมถึงไม่ให้ตรวจสอบหน่วยองครักษ์เงาล่ะ? ดังนั้นเขาจึงรอให้สถานการณ์ผ่านไปก่อน รอให้ฝ่าบาทใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยอธิบายส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วนที่เสียประโยชน์ เพื่อขอร้องให้ฝ่าบาทปล่อยหน่วยองครักษ์เงาออกมา แต่ใครจะคิดว่าหน่วยองครักษ์เงาที่ตนคิดว่าสะอาดบริสุทธิ์จะโดนเกาก้วนตรวจสอบจนเจอจุดที่น่าสงสัยแล้วใครจะกล้ารับประกันว่าจุดที่น่าสงสัยเหล่านี้ไม่มีปัญหา?
ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างร้อนมือ ประเด็นสำคัญคือเจ้าไม่มีทางกลบจุดที่น่าสงสัยพวกนี้ให้ฝ่าบาทเลิกสงสัยได้ เรื่องราววุ่นวายแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็จะขัดขวางฝ่าบาทไม่ให้ส่งคนไปถูกสอบสวนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา
“เฮ้อ!” ซ่างก่วนชิงถอนหายใจฮือกหนึ่ง ก่อนจะเก็บแผ่นหยกแล้วหันตัวเดินออกไป
เซี่ยงจงพยายามออกแรงตะแคงข้าง แล้วตะโกนว่า “ผู้การใหญ่!”
“เจ้าตั้งใจพักฟื้นอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ!” ซ่างก่วนชิงโบกมือพลางเดินออกไป
พอมาถึงลานบ้านก็เห็นชายวันกลางคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองตาละห้อย ซ่างก่วนชิงเม้มริมฝีปากแน่น แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “หูจื้อสิง จั่วฉางอัน…”
เขาเรียกชื่อคนยี่สิบหกคนในอึดใจเดียว คนที่ถูกเรียกชื่อล้วนดึงร่างกายให้ยืนขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่หายดี ต่างก็กำลังรอฟังว่าผู้การใหญ่จะพูดอะไร แต่ใครจะคิดว่าซ่างก่วนชิงจะพูดสิ่งที่ทำให้ตกใจออกมา “ทหาร มานำตัวพวกเขาไปคุมตัวแยก”
พอพูดจบ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่นำตัวมาด้วยก็พุ่งเข้ามา สี่คนคุมตัวหนึ่งคน คุมตัวเดินออกไปข้างนอก
ทุกคนของหน่วยองครักษ์เงาตกตะลึงและสะเทือนใจมาก มีคนขวางตรงประตูไม่ให้เอาตัวคนไป มีคนตะโกนบอกว่า “ผู้การใหญ่ ทำไมทำแบบนี้?”
ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขวางทาง ซ่างก่วนชิงตะคอกเสียงต่ำ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร อยากจะก่อกบฏเหรอ?”
มีคนตะโกนถามทันทีว่า “ผู้การใหญ่ ท่านก็ต้องอธิบายสักหน่อยสิ?”
ซ่างก่วนชิงจึงบอกว่า “อธิบายอะไร? คนบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง บนตัวมีจุดที่น่าสงสัย ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ก็ไปรับการตรวจสอบอย่างใจกว้าง เพียงแต่แยกกันควบคุมตรวจสอบก็เท่านั้นเอง จะกลัวอะไร? ยังไม่หลีกทางให้ข้าอีก!”
ที่แท้การถูกปล่อยออกมาจากหน่วยตรวจการฝ่ายขวาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องจะจบ…กลุ่มคนที่อุดขวางตรงประตูหลีกทางให้อย่างช้าๆ เพียงแต่ทุกคนทำสีหน้าเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรม
คนยี่สิบหกคนถูกคุมตัวไปแบบนี้แล้ว ซ่างก่วนชิงที่เดินอยู่ข้างหลังสุดหยุดฝีเท้าและหันกลับมามองแวบหนึ่ง มองกลุ่มคนของหน่วยองครักษ์เงา และมองไปทางที่พักชั่วคราวของเซี่ยงจง
ตามรายชื่อสอบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา มีสมาชิกผู้ต้องสงสัยทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน เซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาพาไปเพียงยี่สิบหกคน ไม่ได้พาเซี่ยงจงไปด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ไม่สะดวกจะคุมตัวเซี่ยงจงไป เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหน่วยองครักษ์เงา เขาเชื่อว่าเซี่ยงจงอ่านสถานการณ์โดยรวมออก สามารถช่วยเขาทำให้คนของหน่วยองครักษ์เงาสงบลงได้ ถ้าจับตัวหัวหน้าของหน่วยองครักษ์เงาไปด้วยจริงๆ เช่นนั้นหน่วยองครักษ์เงาก็จะผิดหวังท้อใจถึงที่สุด ฝูงมังกรที่ไร้หัว ถ้าสูญเสียการควบคุมขึ้นมาก็จะเกิดปัญหาแล้ว
ซ่างก่วนชิงเดินออกไปอย่างค่อนข้างจนใจ เขายังต้องคิดหาทางอธิบายเรื่องนี้กับประมุขชิงอีก
พอเข้าไปแล้ว กลุ่มคนของหน่วยองครักษ์เงาก็วิ่งไปที่ห้องของเซี่ยงจงทันที ในห้องมีคนเบียดกัน นอกห้องก็มีคนเบียดกัน แย่งกันพูดเรื่องที่สหายยี่สิบหกคนถูกควบคุมตัวไป
เซี่ยงจงมองดูร่างกายอันยับเยินที่นอนอยู่บนเตียงของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ทุกคนไม่ต้องเอะอะเสียงดังแล้ว ผู้การใหญ่ทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์ของเขาแน่นอน”
แต่บางคนกลับโมโหไม่หยุด “พี่ใหญ่ ท่านจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ส่งพวกเราเข้าไปรับการสอบสวนในคุกของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา พวกเราก็ยอมให้จับแต่โดยดี พวกเขาตบตีทรมานพวกเรา พวกเราก็ยอมให้ทำแล้ว ตอนนี้จะเอาตัวเหล่าพี่น้องไปสืบสวนแยกอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้นแบบนี้ แปลว่าไม่เชื่อใจพวกเราขนาดไหนกัน ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรกันแน่?”
มีคนกล่าวอย่างคับแค้นใจอีกว่า “เคล็ดวิชาที่พวกเราฝึกได้กำหนดแล้วว่าไม่ให้พวกเรามีใจเป็นอื่น ไร้ครอบครัวไร้อาชีพ ไร้อิทธิพลอำนาจ ถูกล้อมคอกเลี้ยงเหมือนหมู ฝ่าบาทจะให้พวกเราทำอะไรพวกเราก็ไม่บ่นสักคำ พวกพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเพื่อฝ่าบาท ตั้งใจทุ่มเทชีวิตเพื่อทำงาน แต่ตอนนี้กลับถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ ช่างทำให้คนผิดหวังท้อใจ…”
“หุบปาก!” เซี่ยงจงหันกลับมาตะคอกอย่างเดือดดาล “เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่มั้ย พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?”
ถึงแม้ทุกคนจะหุบปากแล้ว แต่สีหน้าเศร้าโศกคับแค้นกลับปิดบังได้ยาก…
วังสวรรค์ ในอุทยานสายัณห์ ประมุขชิงกันหญิงรับใช้ที่ติดตามออกไป แล้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนเพียงลำพัง
ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าในสวนมีพืชพรรณดอกไม้แปลกตานานาชนิด เขาเดินช้าๆ มาถึงหน้ากำแพงที่มีพืชสีเขียวปกคลุม ใช้มือลูบคลำดอกไม้สีม่วงที่อยู่ในกำแพงสีเขียวดอกหนึ่ง พลางถามเสียงเรียบว่า “ทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวาสืบสวนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
รอบข้างไม่มีใคร ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอยู่กับใคร
ทว่ามองไม่เห็นว่าอีกด้านของกำแพงสีเขียวมีคนกำลังพูดอยู่ เสียงเบามาก ได้ยินแว่วๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำลังพูดอยู่ทางนั้น “ทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตั้งแต่ต้นจนจบของการสืบสวนหน่วยองครักษ์เงาในคุกใหญ่ ไม่มีจุดไหนที่เขียนขึ้นมาซี้ซั้ว ไม่มีการดูแลดีเป็นพิเศษเพราะเป็นหน่วยองครักษ์เงา และไม่มีการใส่สีตีไข่เพราะเป็นหน่วยองครักษ์เงาด้วย ควรจะสืบสวนอย่างไรก็สืบสวนไปตามธรรมเนียมเดิม ไม่มีจุดไหนที่ออกนอกลู่นอกทาง คำให้การที่ได้มาก็ไม่มีจุดที่ปลอมแปลงเช่นกัน”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ถามอีกว่า “สถานการณ์ทางซ่างก่วนเป็นอย่างไรบ้าง ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้หมดแล้วใช่มั้ย?”
เสียงที่แผ่วเบาดังมาจากอีกด้านของกำแพงเขียว “หลังจากซ่างก่วนชิงไปแล้ว ก็ไม่ได้ควบคุมคนในทันที แต่กันคนอื่นออกไปแล้วคุยกับเซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาในห้องตามลำพังพักหนึ่ง คนนอกไม่ทางเข้าใกล้ได้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นยังไง หลังจากซ่างก่วนชิงออกมาจากห้องของเซี่ยงจงแลว ถึงได้ออกคำสั่งให้คุมตัวยี่สิบหกคนนั้นแยกไปสอบสวน ส่วนเซี่ยงจง ซ่างก่วนชิงไม่ได้แตะต้องเขา หลังจากซ่างก่วนชิงไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาพูดจาเหลวไหลในห้องของเซี่ยงจง…”
ไม่รู้เหมือนกันว่าบุคคลลึกลับรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร ปฏิกิริยาของกลุ่มคนหน่วยองครักษ์เงาตอนอยู่ในห้องของเซี่ยงจง ทั้งยังมีคำพูดระบายแสดงความไม่พอใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะบรรยายออกมาได้อย่างไม่มีตกหล่น
ประมุขชิงพลันหรี่ตาที่เรียวเล็ก ในดวงตาฉายแววดุดัน ดอกไม้สีม่วงบนกำแพงถูกเด็ดมาไว้ในมือ แล้วถูกบดขยี้จนเละอยู่ระหว่างนิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทางด้านตลาดผี เหมียวอี้ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำเช่นกัน เบื้องบนให้เขามา ก็เพียงเพื่อให้ประสานงานกับกำลังพลของเขาได้สะดวก เรื่องจับตาดูไม่จำเป็นต้องให้เขาออกโรงด้วยตัวเอง กอปรกับวันนี้จ้านหรูอี้ทำตัวราวกับเป็นคนแปลกหน้าของเขา แทบจะไม่ได้เจอหน้าเขาเลย เหมียวอี้ดีใจที่ได้เป็นอิสระ ส่งต่อเรื่องประสานงานให้หยางเจาชิงจัดการ ส่วนตัวเองก็พาเหยียนซิวไปเดินเล่นที่ตลาดผีทั้งวัน
ส่วนทางด้านหอนางโลมจันทราวายุมิเสื่อมคลาย เหมียวก็ไปที่นั่นทุกๆ สามวันห้าวัน แน่นอนว่าไม่ได้มาอุดหนุนใช้บริการผู้หญิงที่หอนางโลม แต่ไปอุดหนุนใช้บริการจากอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้อยู่ที่ตลาดผีนานเช่นกัน อยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ออกไปแล้ว
หลังจากอวิ๋นจือชิวออกไปได้ไม่กี่วัน จู่ๆ กู่ตัวกุ้ยก็ส่งข่าวมาให้เหมียวอี้ ให้เขานำคนจำนวนหนึ่งไปที่ร้านประมูลแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง
…………………………