พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1415 เจ้ากำลังก่อกวนอะไรของเจ้า
แค่ไปร้านประมูลก็ยังไม่เท่าไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องการให้เขาฟังคำสั่งของจ้านหรูอี้ชั่วคราว
กำลังทำบ้าอะไรกันอยู่? ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด จู่ๆ เหยียนซิวก็บอกว่า : มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในห้องของจ้านหรูอี้ ดูแล้วไม่เหมือนลูกน้องของจ้านหรูอี้ขอรับ
เหมียวอี้เดินไปเดินมาในห้องครู่หนึ่ง แล้วเปิดประตูออก เดินไปที่ห้องของจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกัน ผลก็คือโดนลูกน้องสองคนของจ้านหรูอี้ขวางไว้ที่ประตู “คุณหนูฮว๋ากำลังพบแขก ไม่สะดวกให้คนรบกวน”
จ้านหรูอี้ก็เปลี่ยนชื่อแล้วเช่นกัน เป็นชื่อที่ธรรมดาสามัญมาก ฮว๋าเหม่ย
เหมียวอี้พึมพำในใจว่าชายหญิงเข้าไปทำอะไรกันสองต่อสอง จู่ๆ ประตูก็เปิดออก ชายหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งเดินออกมา มองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน
จ้านหรูอี้ยืนจ้องเขาอยู่ในประตู แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เข้ามาสิ”
พอเข้ามาข้างในแล้วปิดประตู เหมียวอี้ยังไม่ทันพูดอะไร จ้านหรูอี้ก็เอ่ยปากถามก่อนแล้ว “กู่ตัวกุ้ยบอกเจ้าหมดแล้วใช่มั้ย?”
“ให้ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้า” เหมียวอี้พยักหน้า บิดเบือนคำพูดของกู่ตัวกุ้ยนิดหน่อย เปลี่ยนจากฟังคำสั่งกลายเป็นให้ความร่วมมือ ถามอีกว่า “ไปทำอะไรที่ร้านประมูล?”
จ้านหรูอี้พูดอย่างรักษาระยะห่างมากว่า “เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องอะไรทั้งนั้น เหลืออีกห้าชั่วยามก็จะถึงเวลาประมูลแล้ว เจ้านำลูกน้องของเจ้าทุกคนที่ว่างไปรวมตัวใกล้ๆ ‘ตึกศาลาสัตยพรต’ ก่อน เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัวครึ่งชั่วยาม”
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่จับได้ว่าท่านขุนนางเหมียวไปหาผู้หญิงจากหอนางโลม ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามาก
“กำลังพลที่ว่างงานทั้งหมดเหรอ?” เหมียวอี้สงสัย
“ใช่! ทั้งหมด! ไปเตรียมตัวเถอะ” พอจ้านหรูอี้โบกมือ ประตูห้องก็เปิดออก ส่งแขกแล้ว
เหมียวอี้งงนิดหน่อย ทำได้เพียงเดินออกมา
ลูกน้องของเขาที่ว่างอยู่ในตลาดผี ตอนนี้มีประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ส่งคนมาเท่าไร เบื้องบนก็นับไว้แล้ว เขาเองก็ปลอมแปลงจำนวนไม่สะดวก ทำได้เพียงดึงกำลังพลไปใกล้ๆ ร้านประมูล
ถึงแม้จะบอกว่ามีเวลาเตรียมตัวห้าชั่วยาม แต่กลับออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งชั่วยาม คงไม่อาจรอให้การประมูลเริ่มแล้วค่อยออกเดินทาง
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาช่วงหนึ่ง ในที่สุดก็ได้มาร่วมเดินทางกันอีกครั้ง ครั้งนี้ต้องเดินทางทางน้ำ เรือที่เช่าไว้แล้วมาจอดอยู่ริมฝั่งที่ไกลจากโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวมาก สาเหตุที่ไม่ขึ้นเรือนอกโรงเตี๊ยม เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหว หลังจากทั้งสี่ขึ้นเรือแล้วก็เข้าไปซ่อนตัวในห้องโดยสารเรือ ทั้งสองคนพาคนมาด้วยได้เพียงคนเดียว เหมียวอี้พาเหยียนซิวมา ส่วนจ้านหรูอี้ก็พาคังเต้าผิงมา
คนขับเรือร่ายอิทธิฤทธิ์บังคับให้เรือแล่นฝ่าคลื่นไปอย่างเงียบๆ
ในห้องโดยสารเรือ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ท่ามกลางแสงขมุกขมัวมีม่านไข่มุกกั้นเพื่อให้ชื่นชมแสงของโคมไฟริมสองฝั่ง จ้านหรูอี้หันหน้าเล็กน้อยมาสบตากับเขาเป็นระยะ
ตึกศาลาสัตยพรตห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล อยู่บริเวณชายขอบของตลาดผี พื้นที่โดยส่วนใหญ่เรียกได้ว่าเป็นทะเลสาบ เป็นตึกหินที่สร้างจากแร่ธาตุผสมหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผิวน้ำ รูปร่างเป็นเสาทรงกลม เชื่อมต่อไปด้านบนจนถึงหลังคา รอบข้างไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น อยู่โดดเดี่ยวบนผิวน้ำราวกับเป็นเสาต้นหนึ่ง
ในตึกศาลาสัตยพรตทำธุรกิจสองอย่าง ตั้งแต่ใต้ทะเลสาบลงมาคือร้านประมูล ตั้งแต่บนทะเลสาบขึ้นไปคือ ‘ธนาคารสัตยพรต’ อันโด่งดัง เถ้าแก่ของที่นี่คือคนที่ชื่อว่าเฉาม่าน ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจของตลาดผี
บนทะเลสาบโดยรอบมีเรือมากมายสัญจรไปมาที่ตึกศาลาสัตยพรต ที่จริงไม่จำเป็นต้องนั่งเรือ แต่คนพวกนี้มีจุดประสงค์คือหลบสายตาคนอื่น
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงเดินกลับไปนั่งลงข้างจ้านหรูอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะจับตาดูคนที่ออกมาจากร้านประมูลหรอกใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่ว่าข้าอยากดู แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน” จ้านหรูอี้ตอบ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ทะเลสาบรอบๆ ห่างจากฝั่งเกือบหลายร้อยจั้งเลยนะ ถ้ามีคนออกไปโดยการดำน้ำจะทำยังไง? นี่คงเป็นสาเหตุที่ธนาคารกับร้านประมูลสร้างไว้ที่นี่ ไม่ให้คนเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ!”
“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเอง” จ้านหรูอี้กล่าว
เมื่อเห็นนางไม่ยอมบอกให้ชัดเจน เหมียวอี้ก็ขี้เกียจถามแล้วเช่นกัน
เรือที่สัญจรไปมาไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ฝั่ง รอบฐานของตึกศาลาสัตยพรตที่โผล่พ้นน้ำขุดสร้างปากโพรงเอาไว้ไม่น้อย เพียงพอที่จะจุให้เรือแล่นเข้าออกได้ เรือที่พวกเขาโดยสารก็เข้าไปในโพรงเช่นกัน ข้างในมีฟ้าดิน รอบข้างมีบันไดขึ้นไปหลายชั้น มีประตูทางเข้า
ตอนที่ลงเรือพวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมสีดำ สวมหมวกมุ้งสีดำ เรือที่จอดอยู่ข้างๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
พวกเขาเดินขึ้นบันไดไป เดินเข้าไปตามประตู เข้าไปในโถงเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว ในนั้นมีโต๊ะคิดเงินที่มีคนเฝ้า ด้านหลังโต๊ะคิดเงินเป็นประตูบานใหญ่หนึ่งบาน
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ถ้าอยากจะเข้าไปที่ร้านประมูล แค่จ่ายเงินค่ารับป้ายลำดับมาก็พอ ถ้าไม่มีป้ายลำดับก็เลิกคิดที่จะเข้าไปได้เลย ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ ราคาต่อหนึ่งหมายเลขก็คือสิบล้านผลึกแดง คนที่อยากจะเข้าไปดูเอาสนุกเฉยๆ ก็ต้องจ่ายราคานี้เช่นกัน
ทั้งสี่คนได้รับป้ายลำดับที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ในมือเหมียวอี้คือ ‘สองร้อยยี่สิบสาม’ เขามองป้ายในมือจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง เป็นเลข ‘สองร้อยยี่สิบสอง’
หลังจากถือป้ายลำดับแสดงให้คนเฝ้าประตูตรวจสอบแล้ว ทั้งสี่ก็เข้าประตูแล้วเดินตามบันไดที่คดเคี้ยวลงมา ระยะทางที่ทอดลงไปสูงประมาณสิบจั้ง จากนั้นก็เข้าไปที่ประตูอีกบานหนึ่ง สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือเวทีการแสดง สถานที่ไม่เล็กเลย ตรงหน้าคือเวทีเวที ข้างล่างคือสนามที่นั่งหลายแถว มีคนมาถึงก่อนแล้วหลายร้อยคน แต่ละคนปิดบังใบหน้าและนิ่งเงียบไม่พูดจา ทำท่าเหมือนกำลังทำเรื่องน่าอับอายที่บอกใครไม่ได้ ในนั้นมีบนตัวบางคนปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นบางครั้ง
หน้าประตูยังมีคนเฝ้า เมื่อดูป้ายลำดับและอนุญาตแล้ว ก็ตะโกนสั่งไม่หยุดว่า “เข้าประจำที่ตามหมายเลข!”
ที่นั่งของทั้งสี่อยู่ตรงแถวที่สอง นับว่าค่อนข้างชิดขอบ ราละเอียดที่นั่งอยู่ลำดับท้าย บนเก้าอี้ที่จัดวางไว้ก็มีเลขที่สอดคล้องกัน ทั้งสี่นั่งใกล้กัน
สำหรับทั้งสี่คนที่มาเป็นครั้งแรก ก็ไม่แคล้วต้องมองสำรวจไปรอบๆ ถึงแม้ในงานจะมีคนไม่น้อย แต่กลับเงียบสงบมาก ถ้ามีอะไรจะสื่อสารกันก็ล้วนใช้วิธีการถ่ายทอดเสียง
ตอนหลังก็ยังมีคนเข้ามาในงานอีก ไม่นับว่านั่งรอนานเกินไป จู่ๆ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดในงานก็เงียบลงแล้ว บนเวทีที่อยู่ตรงหน้าทุกคนมีสตรีที่สวมชุดสีเขียวอมฟ้าเดินเนิบนาบออกมา มองจากด้านข้างไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นทำให้คนรู้สึกเร่าร้อนมาก
เรือนร่างอันร้อนแรงถูกตู้สินค้าตรงหน้าเวทีปิดบังอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนั้นหันตัวมา หน้าตาทำให้คนผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางมีหน้าตาธรรมดา แต่ก็ไม่นับว่าขี้เหร่ ยังถือว่าสง่าภูมิฐาน เพียงแต่เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย หันหน้าไปมองจ้านหรูอี้โดยจิตใต้สำนึก ผลปรากกฏว่าจ้านหรูอี้ก็มองมาที่เขาเช่นกัน
ทั้งสองเรียกได้ว่าเข้าใจบางอย่างพร้อมกัน ต่างก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของผู้หญิงบนเวทีคล้ายกับคนคนหนึ่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิง!
แน่นอน ไม่ได้หน้าตาหยาบกระด้างเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิงขนาดนั้น เพียงแต่บนใบหน้ายากที่จะกลบความเหมือนได้
ก่อนหน้านี้ยังได้ยินอวิ๋นจือชิวบอกอยู่เลยว่าที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนคนนี้โผล่มาอีก เหมียวอี้แทบจะแน่ใจได้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ใครๆ ก็บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีสาวงาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้วเข้มข้นเกินไปจนกลบสายเลือดอื่นๆ หมดหรือเปล่า เพราะได้ยินว่าผู้หญิงที่แต่งงานเข้าตระกูลเซี่ยโห้วมีแต่ยอดหญิงงามทั้งนั้น ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลนี้ จะต้องมีเรื่องแบบนี้แน่นอน แต่ลูกหลานที่คลอดออกมาไม่มีใครที่อาศัยบารมีได้สักคน
เหมียวอี้ไม่เคยเจอราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่เคยได้ยินว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้าตาไม่สวยเหมือนกัน คนที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะเป็นตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ไม่ได้มีการอุ่นเครื่องใดๆ บนโต๊ะคิดเงินมีเชือกเส้นหนึ่งแขวนอยู่ ผู้หญิงคนนั้นกวาดสายตามองกลุ่มคนที่นั่งอยู่เบื้องล่าง ยกมือคว้าเชือกขึ้นมาเขย่า บนนั้นมีเสียงระฆังดัง “ติ๊ง” การประมูลได้เริ่มขึ้นแล้ว
ม่านที่อยู่ด้านซ้ายและขวาด้านหลังเวทีแหวกทางออกมาเส้นทางหนึ่ง มีสตรีผู้ชำนาญอีกคนเดินออกมา ในมือถือถาดหนึ่งใบ บนผ้าขนสัตว์ที่รองถาดวางลูกท้อสีเหลืองขนาดใหญ่ไว้ลูกหนึ่ง ใต้ผิวท้อมีแสงสีอันแวววับให้เห็นรางๆ ผู้หญิงที่ถือถาดกำลังยกไปทางซ้ายและขวาอยู่บนเวทีเพื่อแสดงให้ผู้ชมได้ดู
“ท้อเซียน…” ในที่สุดกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว เริ่มเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ที่มากกว่านั้นคือคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ใช้ถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน
เหมียวอี้เองก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ “นี่คือท้อเซียนเหรอ?”
ถ้าเป็นบ๊วยเซียน ไม่ว่าจะดิบจะสุกหรือจะห่าม เขาเคยกินมาแล้วไม่น้อย แต่ท้อเซียนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ว่ากันว่าในท้อเซียนหนึ่งผลแฝงพลังจิตวิญญาณเท่ากับบ๊วยเซียนสิบผล เพียงแต่ของสิ่งนี้ถูกตำหนักสวรรค์ผูกขาดไว้ ทำไมถึงมาโผล่ที่ร้านประมูลในตลาดผีได้ล่ะ?
“อืม!” จ้านหรูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
เหมียวอี้ถามอีกว่า “เจ้าเคยกินหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ตราบใดที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ในแต่ละปีฝ่าบาทก็จะประทานเป็นรางวัลให้” จ้านหรูอี้ตอบ
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว อย่าว่าแต่ท่านปู่ของนางเลย บิดาของนางก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าถ้าอยากกินก็คงจะได้กินทุกปี จากสิ่งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจเช่นกัน ถึงแม้ผลไม้เซียนประเภทนี้จะถูกราชันสวรรค์ผูกขาด แต่ราชันสวรรค์ก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้คนเดียว สิ่งที่ราชันสวรรค์ต้องการก็คือการกุมอำนาจเท่านั้นเอง
เหมียวอี้จ้องท้อเซียนแล้วถามอีกว่า “อร่อยมั้ย?”
จ้านหรูอี้ไม่สนใจเขา
ในที่สุดพิธีกรหญิงบนเวทีก็เอ่ยปากพูดแล้ว หน้าตานางก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่เสียงกลับไพเราะน่าฟัง ไม่ด้เสียงแหบหยาบเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง “ท้อเซียนหนึ่งร้อยผล ราคาเริ่มต้นสองพันล้านผลึกแดง ป้ายราคาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง ผู้ที่ต้องการได้โปรดแสดงป้าย” นางเขย่าเชือกในมือ มีเสียงระฆังดัง “ติ๊ง” อีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าการประมูลเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ได้พูดมากอะไร รวดเร็วฉับไวมาก
ด้านล่างเวทีมีคนชูป้ายแล้ว ทำให้มีคนทำตามต่อเนื่องเป็นระลอกทันที หมายความว่าทุกครั้งที่ชูป้ายราคาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง
พิธีกรหญิงกวาดสายตามองกลุ่มคนตรงที่นั่งไม่หยุด นางเขย่าระฆังเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขย่าระฆังจะหมายความว่าราคาเพิ่มขึ้นหนึ่งครั้ง
ที่จริงในใจเหมียวอี้ก็เข้าใจดี ท้อเซียนหนึ่งผลเทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด ท้อเซียนหนึ่งร้อยผลก็เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นเม็ด ราคาที่แท้จริงก็แค่หนึ่งพันผลึกแดงเท่านั้น ราคาเริ่มต้นสองพันล้าน นับว่าราคาเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวแล้ว แต่ประเด็นก็คือของสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากกินแล้วก็กินได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้บัญชาการใหญ่ที่เคยคุมตลาดสวรรค์และตอนนี้คุมธงพยคัฆ์ดำอย่างเขา ก็ไม่เคยกินอยู่ดี และถ้านำของแบบนี้มามอบเป็นของขวัญ ก็จะมีหน้ามีตามาก
ประกอบกับเสียงระฆังนี้ก็เร่งให้คนแข่งกัน เหมียวอี้หันกลับไปมองคนข้างหลังที่ชูป้ายไม่หยุด เขาเองก็เริ่มคันไม้คันมือแล้วนิดหน่อย อยากจะซื้อกลับให้พวกอวิ๋นจือชิวชิมรสชาติเหมือนกัน ราคาหลายพันล้านผลึกแดง สำหรับนักพรตทั่วไปอาจจะเป็นทรัพยากรมหาศาล แต่สำหรับคนที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาหลายปีอย่างเขา ราคานี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่สำคัญคือซื้อกลับไปเป็นของขวัญเอาใจกลุ่มภรรยาในบ้าน ท้อเซียนนี้เหมาะจะทำเป็นของขวัญมากจริงๆ
ดังนั้นท่านขุนนางเหมียวจึงชูป้ายอย่างไม่ลังเล สายตาของพิธีกรหญิงบนเวทีมองมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบเขย่าระฆัง
จ้านหรูอี้ คังเต้าผิงและเหยียนซิวที่อยู่ทางซ้ายและขวาเอียงหน้ามองมาทันที โดยเฉพาะจ้านหรูอี้ สีหน้าที่อยู่ใต้ม่านมุ้งเครียดขรึมลงเล็กน้อย ในดวงตาสองข้างแทบจะมีไฟลุกออกมา แต่น่าเสียดายที่มีผ้ามุ้งดำกั้น ทำให้เหมียวอี้มองไม่เห็น
เพราะของที่มีราคาจริงหนึ่งพันล้านสูงถึงสามพันล้านกว่าแล้ว พอเหมียวอี้ยกป้ายหนึ่งครั้ง ก็มีคนอื่นเพิ่มราคากลบอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้ เหมียวอี้มีความปรารถนาต่อของสิ่งนี้มาก จึงชูป้ายต่อเนื่องกันอีกสามครั้ง
ในที่สุดจ้านหรูอี้ที่นั่งอยู่ข้างกันก็ข่มไฟโกรธไม่ไหว ถ่ายทอดเสียงตะคอกถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากำลังทำอะไร?”
“กำลังแข่งประมูลไง! ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้าจะแข่งประมูลสิ่งนี้ไปทำไม? เป็นประสงค์ของเบื้องบนเหรอ?” จ้านหรูอี้ถาม
“เปล่านี่ ไม่เกี่ยวกับเบื้องบนหรอก ข้าไม่เคยชิมรสชาติของท้อเซียน อยากจะซื้อกลับไปชิมสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าวันนี้เจ้ามาทำอะไร? พวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจนะ เจ้ากำลังก่อกวนอะไรของเจ้า?” จ้านหรูอี้โมโหแล้ว
…………………………