พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1416 สินค้าประมูลรั้งท้าย
“ข้าใช้เงินของตัวเองซื้อของ แล้วคนอื่นก็ไม่รู้ด้วยว่าข้าคือใคร ทำไมกลายเป็นข้าก่อกวนแล้วล่ะ?” ปากเหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกจ แต่มือกลับไม่หยุดทำงาน ชูป้ายเพิ่มราคาอีกครั้ง
“จ่ายหลายพันล้านเพื่อซื้อท้อเซียนร้อยผล เจ้าไม่รู้เหรอว่าขาดทุน?” จ้านหรูอี้ถาม
เหมียวอี้มองไปรอบๆ ราคาถูกข่มอีกแล้ว สงสัยคนที่ไม่กลัวขาดทุนจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว จึงตอบทันทีว่า “ก็ข้าไม่เคยชิม อยากจะลองชิมอะไรใหม่ๆ สักหน่อย”
จ้านหรูอี้โมโหแทบแย่ เดี๋ยวต่อไปพอได้แต่งงานกับข้า เจ้ายังกลัวจะไม่ได้กินของพวกนี้อีกเหรอ? จึงบอกอย่างหงุดหงิดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากชิมเดี๋ยวกลับไปข้าจะแบ่งให้เจ้านิดหน่อย”
ในความคิดของนาง เจตจำนงของอิ๋งจิ่งกวงท่านตาของนางนั้นขัดขืนได้ยาก เกรงว่าท่านตาคงจะไม่มองว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อไปมั่วกับผู้หญิงที่หอนางโลมเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย ในสายตาผู้ชายเรื่องแบบนี้คงไม่สำคัญอะไร สุดท้ายตัวเองก็จะต้องแต่งงานกับไอ้คนระยำคนนี้
เหมียวอี้วางป้ายในมือที่กำลังจะชูขึ้นลงมา “จริงเหรอ? จะให้เท่าไร?”
“บนตัวข้าไม่มี รอให้ภารกิจจบแล้วข้าจะให้เจ้าสองผล” จ้านหรูอี้ตอบ
“แค่สองผลเองเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างตกใจ “จ้านคนสวย นี่เจ้าขี้งกเกินไปรึเปล่า?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “แค่ชิมนิดหน่อยก็พอ เจ้ายังอยากได้เท่าไร จะเอามากินแทนข้าวรึไง? ในแต่ละปีครอบครัวข้าได้รับเป็นรางวัลไปกี่สิบผลเท่านั้น”
เหมียวอี้ไม่เอาด้วยแล้ว แค่สองผลจะมีประโยชน์อะไร ขนาดตัวเองกินคนเดียวยังไม่พอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบ่งให้กลุ่มภรรยาที่บ้าน เขาชูป้ายในมือทันที เพิ่มราคาอีกครั้งแล้ว “ช่างเถอะ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าแล้ว ข้าซื้อเอาเองดีกว่า”
“เจ้าไม่รู้เหรอว่าพวกเรามาปฏิบัติภารกิจ?” จ้านหรูอี้ตะคอก
เหมียวอี้กลอกตา “หรือว่าเบื้องบนเป็นคนนำท้อเซียนนี้ออกมาขาย?”
“ไม่ใช่” จ้านหรูอี้ตอบ
“แล้วท้อเซียนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจ?” เหมียวอี้ถาม
“ไม่เกี่ยว” จ้านหรูอี้ตอบอีก
“งั้นข้าซื้อไว้แล้วจะเป็นไรไป?” พอเหมียวอี้ชูป้ายในมือ ก็เค้นเสียงให้แหบพร่าเสียเลย ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนออกมาว่า “ห้าพันล้านผลึกแดง!”
ราคาขายประมูลถูกผลักขึ้นไปถึงสี่พันล้านแล้ว จำนวนคนที่ชูป้ายน้อยลงเยอะ เหลืออยู่จำนวนหร็อมแหรม เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดมากอีก เพิ่มไปอีกหนึ่งพันล้านเสียเลย จะได้ไม่ต้องยกไปยกมา เขาเองก็ไม่ขาดแคลนเงินแค่เท่านี้เหรอ
พอเสียงนี้ดังขึ้น เหยียนซิว คังเต้าผิงก็พูดไม่ออก จ้านหรูอี้จ้องเขา มือสองข้างกำหมัดแน่น เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะซ้อมคน
การชูป้ายในงานหยุดลงแล้ว ของที่มีราคาที่แท้จริงหนึ่งพันล้านบาทกลายเป็นห้าพันล้านแล้ว ดูเกินจริงไปหน่อย ต่อให้เพิ่มราคาอีกนิดเดียวก็ไม่คุ้มเลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าตอนหลังยังจะมีของอะไรโผล่มาอีก การขายประมูลของที่นี่ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่เปิดเผยล่วงหน้าว่าจะประมูลขายอะไร ไม่จำเป็นต้องสู้ตายเพื่อท้อเซียนไม่กี่ผล
พิธีกรหญิงกวาดสายมามองด้านล่างเวที เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว ก็กล่าวเสียงดังว่า “มีคนเสนอราคาห้าพันล้านผลึกแดง ยังมีใครจะเพิ่มเพิ่มราคาอีกมั้ย…” พอถามสามครั้งติดต่อกันแล้วไม่มีใครตอบ เชือกก็ถูกเขย่าซ้ำๆ “ติ๊งๆๆ” เสียงระฆังดังต่อเนื่องสามครั้ง “หมายเลขสองร้อยยี่สิบสามเสนอห้าพันล้านผลึกแดง ประมูลซื้อท้อเซียนหนึ่งร้อยผลแรกไป”
จ้านหรูอี้จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเน้นย้ำว่า “ถ้าเจ้าทำภารกิจพัง ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรายงานกับเบื้องบนยังไง”
“ก็เจ้าบอกแล้วว่าท้อเซียนไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจครั้งนี้” เหมียวอี้เถียง
“…” จ้านหรูอี้พูดไม่ออก
ผู้หญิงที่ถือถาดผลไม้หันตัวเดินออกจากหน้าเวที หลังจากหายเข้าไปหลังม่าน ก็มีผู้หญิงอีกคนเดินออกจากหลังม่านมา ในมือถือถาดเช่นเดียวกัน บนถาดมีสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่ง ดูจากขนาดของลำต้น คาดว่าอายุคงไม่ต่ำกว่าหลายพันปี กำลังถือแสดงไปทางซ้ายและขวาให้ทุกคนได้เห็น
พิธีกรหญิงที่อยู่บนเวทีกล่าวว่า “สมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้น แต่ละต้นอายุประมาณห้าพันปี ราคาขั้นต่ำหนึ่งหมื่นห้าพันล้านผลึกแดง ป้ายราคาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง ผู้ที่ต้องการกรุณาแสดงแผ่นป้าย” พูดจบก็เขย่าเชือกในมือ “ติ๊ง” การขายประมูลรอบที่สองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ครั้งนี้เหมียวอี้ไม่ได้วู่วามชูป้ายอีก เขามีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะจนใช้ไม่หมด สะสมไว้สำรองใช้กองใหญ่แล้ว และราคานี้ก็ค่อนข้างสูงสำหรับเขา ถึงแม้ที่พิภพใหญ่จะมีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะกว่าพิภพเล็ก แต่เมื่อดูจากอัตราส่วนของนักพรต พิภพใหญ่ก็ขาดแคลนยิ่งกว่า ดังนั้นจึงมีราคาแพงกว่าที่พิภพเล็กมาก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่การขายประมูลครั้งนี้ก็ยังแพงกว่าราคาตลาดปกติเกือบหนึ่งในสามเท่า แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ร้านขายประมูลที่ตลาดผีหักส่วนแบ่งสูงมาก นั่นก็คือหนึ่งในสามส่วนของราคาสินค้าประมูลที่ผู้ขายกำหนดไ
การเสนอราคาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนรอบแรก ผู้เข้าร่วมประมูลมีน้อยมาก ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวจะราคาสูงกว่าท้อเซียน ถึงแม้จะถูกตำหนักสวรรค์ควบคุม แต่เมื่อเทียบกับท้อเซียนแล้วถือว่าได้มาง่ายกว่ามาก ไม่เหมือนท้อเซียนที่โดยทั่วไปมอบให้แต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ถ้าประมูลซื้อเอาไว้ส่งให้ใครเป็นของขวัญก็จะดูมีหน้ามีตามาก ถ้าในกระประมูลรอบบนี้จะมีคนเข้าร่วม ก็คงจะเป็นเพราะสมุนไพรเซียนสิบต้นนี้มีอายุถึงห้าพันปีแล้ว
หลังจากชูป้ายไม่กี่ครั้ง สมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้นก็ถูกขายให้ใครบางคนในราคาประมาณหนึ่งหมื่นหกพันล้าน สูงกว่าราคาเริ่มต้นพันกว่าล้านเท่านั้น ราคายังไม่เพิ่มสูงเท่าท้อเซียนรอบก่อบ
ราคาของสินค้าที่เข้าร่วมประมูลในตอนหลังก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่ง มาดูเอาสนุกล้วนๆ เพียงแต่พอดูไปจนถึงตอนท้ายสุด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกนิดหน่อย
การขายประมูลแต่ละรอบของที่นี่จะขายประมูลสินค้าเพียงสิบอย่างเท่านั้น เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงรายการสุดท้ายแล้ว แต่ยังไม่เห็นจ้านหรูอี้ประกาศภารกิจอะไร เหมียวอี้ก็แปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
ถึงแม้จะเหลือแค่การขายประมูลรายการสุดท้าย แต่บรรยากาศในงานแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด มีคนไม่น้อยนั่งตัวตรง เหมียวอี้สังเกตได้ว่าจ้านหรูอี้ก็นั่งด้วยท่าทางเรียบร้อยภูมิฐานแล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน โดยทั่วไปรายการสุดท้ายจะเป็นสินค้าประมูลที่รั้งท้ายงาน การขายประมูลครั้งนี้ไม่ใช่การเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่เป้นสินค้าที่ได้มาจากผู้เข้าร่วมประมูลในงาน ถ้ามีคนเข้าร่วมเยอะ ก็จะตัดสินจากมูลค่าสินค้านั้นว่าจะนำมาเป็นรั้งท้ายได้หรือไม่
สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพราะมีบางคนกลัวว่าของของตัวเองจะสำคัญเกินไป กลัวว่าจะส่งให้ร้านขายประมูลเป็นการส่วนตัวแล้วจะโดนเอาเปรียบ แต่ถ้าแสดงให้ทุกคนเห็นในงาน ร้านขายประมูลก็จะคำนึงถึงคำว่า ‘สัตยพรต’ และไม่ทำอะไรซี้ซั้ว
“ไม่ทราบว่าสหายท่านไหนอยากจะมอบสิ่งของเพื่อนำมาเป็นสินค้าแข่งประมูลรั้งท้าย?” พิธีกรหญิงบนเวทียิ้มพร้อมเอ่ยถาม
ทุกคนในงานเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา มีสามคนยืนขึ้นติดต่อกัน เดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว เหมียวอี้กำลังจ้องอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าสามคนนั้นนำสมบัติล้ำค่าอะไรมา แต่ใครจะคิดว่าข้างกายจะมีการเคลื่อนไหว พอเอียงหน้ามอง เหมียวอี้ก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย
จ้านหรูอี้ยืนขึ้นแล้ว เดินออกไปแล้ว กลายเป็นผู้เสนอสินค้าคนที่สี่
เหมียวอี้ เหยียนซิว คังเต้าผิงมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้กำลังมีแผนอะไร เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถามคังเต้าผิงทันที “จ้านหรูอี้ทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“ข้าไม่รู้” คังเต้าผิงตอบอย่างสงสัยเช่นกัน
เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ในการมาครั้งนี้จ้านหรูอี้รักษาความลับอย่างเข้มงวด ไม่เปิดเผยให้เขารู้เลย
ทั้งสามได้แต่ถลึงตาจ้องจ้านหรูอี้ที่อยู่บนเวที อยากจะดูว่าจะทำอะไรกันแน่
ผู้เสนอสินค้าสามคนที่เดินขึ้นไปก่อนหยิบกำไลเก็บสมบัติออกมา ให้พิธีกรหญิงตรวจสอบดูของที่อยู่ข้างใน แล้วทั้งสองฝ่ายก็ถ่ายทอดเสียงสื่อการกัน พิธีกรหญิงยิ้มให้ทุกคน พยักหน้ายิ้มบางๆ เป็นระยะ เหมือนกำลังบอกว่าเข้าใจแล้ว
หลังจากรับของในมือผู้เสนอสินค้าที่ขึ้นเวทีมาคนสุดท้ายแล้ว พิธีกรหญิงก็สั่นไปทั้งตัวทันที พลันเงยหน้ามองจ้านหรูอี้ บนใบหน้าฉายแววตกตะลึงปนเหลือเชื่อ
ผู้แข่งประมูลในงานกำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมอง ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของพิธีกรหญิงทำให้ทุกคนกระปรี้กระเปร่าทันที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นสมบัติล้ำค่าอะไร พิธีกรหญิงที่มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเยอะขนาดนี้ สงสัยครั้งนี้จะได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้กำลังเล่นบ้าอะไร กำลังหยิบสมบัติล้ำค่าอะไรออกมากันแน่
ทั้งสามพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับภารกิจในครั้งนี้แน่นอน
พิธีกรหญิงมีปฏิกิริยาตอบสนองเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากรีบเก็บสำรวจอาการแล้ว ก็เอียงหน้าขออภัยอีกสามคนที่เหลือ “กำหนดให้สมบัติของหมายเลขสองร้อยยี่สิบสองเป็นสินค้าประมูลรั้งท้าย” น้ำเสียงสื่อความหมายว่าไม่ให้ปฏิเสธ
ถึงแม้ผู้เสนอสินค้าอีกสามคนจะทำท่าไม่เต็มใจนิดหน่อย แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาก่อเรื่องก็ได้ อีกสักครู่เมื่อได้เห็นสินค้าแล้วก็ย่อมรู้ว่ายุติธรรมหรือไม่ จะสอดคล้องกับความหมายของคำว่า ‘สัตยพรต’ ของตึกศาลาสัตยพรตหรือไม่
รอจนทั้งสามลงมานั่งประจำที่ พิธีกรหญิงก็หันหน้ามาหาจ้านหรูอี้ แล้วถามยืนยันต่อหน้าทุกคนว่า “หมายเลขสองร้อยยี่สิบสองยืนยันที่จะนำสมบัติของตัวเองมาแข่งประมูลใช่มั้ย?”
จ้านหรูอี้เปลี่ยนเสียงเป็นแหบพร่าแล้วตอบว่า “ข้าเต็มใจ!”
“ไม่ทราบว่าจะตั้งราคาประมูลเท่าไร?” พิธีกรหญิงถาม
“สองหมื่นล้านล้านผลึกแดง!” จ้านหรูอี้ถาม
“สองหมื่นล้านล้าน…” มีบางคนหลุดอุทานออกมา
คนในงานฮือฮากันเป็นแถบ มีความเคลื่อนไหวไม่น้อย พวกเหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้นของอะไรออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งราคาต่อหน่วยหลักล้าน ทั้งยังเป็นสองหมื่นล้านล้านด้วย!
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ พิธีกรหญิงพยักหน้าบอกว่า “ไม่สูง เป็นราคาที่ยุติธรรม แน่ใจใช่มั้ย?”
แบบนี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่าสินค้าที่นำมาประมูลรั้งท้ายมีราคาเท่านี้ ในงานมีคนไม่น้อยที่สูดหายใจอย่างตกตะลึง
เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ มันคือสมบัติล้ำค่าอะไรกันแน่?
“แน่ใจ!” จ้านหรูอี้ที่อยู่บนเวทีพยักหน้าตอบ
พิธีกรหญิงพูดต่อว่า “ข้าต้องตรวจสอบสินค้าต่อหน้าทุกคน สุดท้ายเมื่อรับของและจ่ายเงินหมดแล้ว ถ้าหากมีปัญหาอะไรแล้วส่งผลกระทบไม่ดีต่อร้านขายประมูล ร้านขายประมูลของเราก็มีอำนาจที่จะเก็บเงินหนึ่งในสามส่วนของราคาประมูลของเจ้าเพื่อเป็นค่าชดเชย เจ้ายินดีมั้ย?”
“ไม่มีปัญหา” จ้านหรูอี้พยักหน้า พลิกมือหยิบธนูหนึ่งคัน ลูกธนูสามดอกออกมายื่นให้อีกฝ่าย ธนูกับลูกศรล้วนเป็นสีแดง ทำมาจากผลึกแดง
“หา!”
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
เมื่อแสดงสินค้านี้ออกมา คนในงานก็ตกใจมาก เหมือนควบคุมตัวเองไม่อยู่นิดหน่อย มีคนไม่น้อยที่ตกใจจนลุกขึ้นยืน
ถ้าคำนวณตามราคาตลาด ราคาของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งคันควรจะมีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านผลึกแดง การตั้งราคาเริ่มต้นสองหมื่นล้านล้านแบบนี้ ก็หมายความว่าในมืออีกฝ่ายมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างน้อยหนึ่งแสนคัน จำนวนนี้เพียงพอให้ตั้งทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งทัพหนึ่งได้เลย
พวกเหมียวอี้ตะลึงค้างอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ทั้งสามเข้าใจอย่างรวดเร็ว ว่านี่ก็คือภารกิจของครั้งนี้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เป็นสิ่งที่ตำหนักสวรรค์ให้จ้านหรูอี้นำออกมาขายประมูลแน่นอน ไม่อย่างนั้นต่อให้จ้านหรูอี้จะกล้าหาญกว่านี้อีกหมื่นเท่า แต่ก็ไม่มีทางนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลขนาดนี้มาขายประมูลต่อหน้าฝูงชนแน่นอน
เหมียวอี้รู้สึกจะบ้าตาย นี่มันเวลาไหนแล้ว ที่ตลาดผีมีคนตั้งไม่รู้เท่าไรกำลังสืบหาที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันนั่น ไม่แน่ว่าที่นี่ก็อาจจะสืบด้วยเหมือนกัน จู่ๆ จ้านหรูอี้ก็โยนออกมาหนึ่งแสนคัน แบบนี้ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? อีกประเดี๋ยวพวกภูตผีมารปีศาจจะไม่โผขึ้นมาเหรอ
นางตัวแสบนี่อยากรนหาที่ตายแล้วจะลากข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม? เหมียวอี้ร่ำร้องในใจอย่างเศร้าโศก เขามากับจ้านหรูอี้ ทั้งยังนั่งด้วยกัน ในระหว่างนั้นก็ถ่ายทอดเสียงคุยกันอีก ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
เขามีลางสังหรณ์ว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังจะมาเยือนแล้ว!
…………………………