พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1419 งงกันเป็นแถบ
หลังจากพูดจบ พิธีกรหญิงกุมหมัดคารวะต่อผู้ชม แล้วนำคนถอยเข้าไปหลังม่าน
เหมียวอี้หันกลับไปมองหมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดที่ประมูลซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้ ก่อนหน้านี้จ้านหรูอี้พูดเอาไว้อย่างน่าเชื่อถือว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่มีทางไปตกอยู่ในมือคนนอก ถ้าหากตัวเองเดาไม่ผิด คนคนนี้น่าจะเป็นคนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา
จากนั้นก็ตามติดด้วยการประกาศจบงานประมูลขาย ทุกคนทยอยกันออกจากงาน มีคนไม่น้อยกวาดสายตามองมาทางจ้านหรูอี้
จ้านหรูอี้นั่งอยู่กับที่ชั่วคราวโดยไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งทุกคนในงานออกไปหมดแล้ว นางถึงได้ลุกขึ้นยืน
เหมียวอี้ลุกขึ้นและเดินตามหลังนางไป ไปจัดการซื้อขายด้านหลังเวทีด้วยกัน แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะบอกว่า “เพื่อเป็นการรักษาความลับ ร้านประมูลจะจัดเตรียมให้คนที่ประมูลของได้ออกจากตึกศาลาสัตยพรตผ่านอุโมงค์ใต้น้ำ ข้าเลือกจะออกไปทางทิศเหนือ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนสังเกตเห็นเจ้า เจ้ารีบออกไปตรวจดูกำลังคนที่จะมารับข้าด้านนอก เตรียมตัวให้พวกเรารอดพ้นออกไปจากที่นี่”
“แล้วท้อเซียนที่ข้าประมูลได้จะทำยังไง?” เหมียวอี้งุนงง
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ให้เจ้าก่อความวุ่นวาย แต่เจ้าดึงดันจะทำซี้ซั้วแบบนั้นให้ได้ ถ้าทำให้งานข้าเสียเจ้าจะทำยังไง!” บางทีนางอาจจะตระหนักได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน น้ำเสียงค่อนข้างอ่อนลงแล้ว “ข้าจะช่วยจ่ายเงินให้เจ้า ท้อเซียนชุดนั้นข้ามอบให้เจ้าโดยไม่คิดเงินเลย ตกลงมั้ย?”
แบบนี้ก็ได้น่ะสิ! เหมียวอี้หยุดฝีเท้า เขาเองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงกัน ทำตามที่จ้านหรูอี้วางหมากไว้จะปลอดภัยและเชื่อถือได้มากกว่า เรื่องนี้ตำหนักสวรรค์จะต้องมีแผนสำรองเพื่อจบงานแน่นอน ถ้าตัวเองทำซี้ซั้วอาจจะมีอันตรายด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจ้านหรูอี้ปิดบังความเคลื่อนไหวในตอนแรก ถ้าบอกเบื้องลึกของภารกิจให้เขารู้ล่วงหน้า ให้เขารู้ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น เขาก็จะไม่บุ่มบ่ามประมูลซื้อท้อเซียนชุดนี้แน่นอน
หลังจากมองคล้องหลังจ้านหรูอี้กับคังเต้าผิงไปที่หลังเวทีแล้ว ตัวเองก็หันตัวนำเหยียนซิวออกไปเช่นกัน
ทั้งสองเดินออกจากงานประมูลที่กว้างโล่ง เดินขึ้นไปตามบันไดที่คดเคี้ยวยาวเหยียด ผ่านโถงใหญ่ด้านบน แล้วก็มาถึงทางน้ำที่ลงเรือก่อนหน้านี้ แล้วดำลงไปในน้ำโดยตรง
หลังเวทีงานประมูล ผู้ซื้อและผู้ขายกำลังจ่ายเงินและรับสินค้ากันอยู่ที่นี่ แต่ละคนจบการซื้อขายท่ามกลางประจักษ์พยาน ยังคงเป็นพิธีกรหญิงท่านนั้นมาคอยควบคุม
“หมายเลขสองร้อยยี่สิบสามกรุณามาจบการซื้อขายกับผู้ขาย” พิธีกรหญิงตะโกนเรียกมาทางนี้พร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม แต่ไม่นานนางก็ยิ้มไม่ออกแล้ว เจอกับ ‘คนพังงาน’ อีกแล้ว
ท่านขุนนางเหมียวหมายเลขสองร้อยยี่สิบสามไปแล้ว มาไม่ได้แล้วแน่นอน จ้านหรูอี้เดินเข้ามาจ่ายเงินแล้ว
ถึงแม้จ้านหรูอี้จะสวมชุดดำ สวมหมวกมุ้งสีดำ แต่พิธีกรหญิงก็จดจำนางได้อย่างลึกซึ้ง บวกกับรูปร่างที่สูงเพรียวของจ้านหรูอี้ มีหรือที่จะไม่รู้จักนาง จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “รอสักครู่ ครั้งนี้เป็นของหมายเลขสองร้อยยี่สิบสาม ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”
จ้านหรูอี้บอกว่า “เขาไปแล้ว ข้ามาจ่ายเงินแทนเขา”
ใบหน้ายิ้มของพิธีกรหญิงนิ่งชะงัก ถามว่า “เข้าได้ทิ้งป้ายลำดับไว้ให้เจ้ารึเปล่า?”
“ไม่มี แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้ากับเขามาด้วยกัน” จ้านหรูอี้ตอบ
พิธีกรหญิงสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าพวกเจ้ามาด้วยกัน เจ้าบอกว่ามาด้วยกันก็ไม่มีประโยชน์ ป้ายลำดับทุกงานประมูลขายล้วนทำขึ้นเป็นพิเศษ ทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คนปลอมแปลง ในภายหลังถ้ามีคนนำป้ายลำดับมาจบการซื้อขาย จะให้ตึกศาลาสัตยพรตทำยังไงล่ะ?” พูดจบก็รีบหันกลับไปบอกใบ้ส่งสัญญาณเล็กน้อย ข้างๆ มีคนนำระฆังดาราติดต่อกับภายนอกทันที
จ้านหรูอี้งงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เข้าใจกฎระเบียบของงานประมูลขายที่นี่อย่างชัดเจน แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว อุตส่าห์วางแผนอย่างรอบคอบแต่ก็พลาดสิ่งนี้ไปได้ ในใจแอบด่าเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง นางบอกไม่ให้เขาทำซี้ซั้ว แต่เขาก็จะทำให้ได้ ก่อเรื่องขึ้นมาแล้วจริงๆ
คนที่รอจบการซื้อขายอยู่ข้างหลังชำเลืองมองมาทางนี้ นึกไม่ถึงว่ามีคนกล้าล้อเล่นแบบนี้ที่ตึกศาลาสัตยพรตด้วย
หลังจากคนที่ถือระฆังดาราอยู่ข้างๆ คนนั้นติดต่อเสร็จแล้ว ก็บอกพิธีกรหญิงว่า “คนนั้นน่าจะไปแล้ว”
พิธีกรหญิงสีหน้าคร่ำเครียดอย่างถึงที่สุด จ้านหรูอี้จึงรีบเข้ามาพูดเสริมว่า “เอาอย่างนี้มั้ย! ข้าจะช่วยจ่ายเงินให้เขา ส่วนท้อเซียนนี้ข้าไม่เอาไปหรอก เดี๋ยวข้าค่อยให้เขาถือป้ายลำดับมาเอาของเอง แบบนี้ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนถือป้ายลำดับมาสร้างความยุ่งยากแล้ว”
“ถ้าเจ้ามากับเขาจริงๆ ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาจริงๆ ก็ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขารีบกลับมาจบการซื้อขาย” พิธีกรหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ไม่มีใครกล้าล้อเล่นกับตึกศาลาสัตยพรตงั้นเหรอ? จ้านหรูอี้ได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ ตึกศาลาสัตยพรตเล็กๆ แห่งเดียวจะกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์เชียวเหรอ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเรียกเหมียวอี้กลับมาตอนนี้ นางจึงบอกว่า “ข้าไม่มีวิธีติดต่อกับเขาโดยตรง”
“เจ้าคงจะรู้ละมั้งว่าเขาพักที่ไหน? ข้าจะส่งคนไปเชิญ!” พิธีกรหญิงกล่าว
สำหรับสิ่งนี้ จ้านหรูอี้ก็ยิ่งไม่สะดวกจะเปิดเผย ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะจ่ายเงินแทนเขา แล้วข้าจะไม่เอาท้อเซียนพวกนี้ไป แบบนี้ก็ไม่ได้เหรอ?”
บนใบหน้าพิธีกรหญิงแสดงความเดือดดาลให้เห็นรางๆ “ไม่ต้องแล้ว! เงินก้อนนี้ตึกศาลาสัตยพรตจะออกเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาจ่าย หลายปีมานี้ ยังไม่มีใครกล้าล้อเล่นกับตึกศาลาสัตยพรตเลย บังอาจหลบหนี เขานึกว่าเขาจะหนีรอดเหรอ? เชิญผู้ประมูลครั้งที่สองหมายเลขหกร้อยสามสิบเก้ามาจบการซื้อขายกับผู้ขาย”
ที่บอกว่าหลบหนีนั้นช่างไม่ยุติธรรมต่อเหมียวอี้เลยจริงๆ เป็นตึกศาลาสัตยพรตที่อวดดีเองแท้ๆ เหมียวอี้เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ทำไมกลายเป็นหลบหนีไปได้ล่ะ?
จ้านหรูอี้ไม่ได้มีชาติกำเนิดที่ธรรมดา มีความหยิ่งยโสในกมลสันดานเช่นกัน นางไม่มีทางเห็นตึกศาลาสัตยพรตอะไรนี่อยู่ในสายตาหรอก ไม่ว่าบุคคลหรือกลุ่มองค์กรใดๆ ที่อยู่นอกตำหนักสวรรค์ ในสายตานางนั้นล้วนเป็นสิ่งที่นำขึ้นมายกย่องไม่ได้ แต่ตอนนี้นางยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ ไม่อย่างก่อเรื่องอย่างอื่น ทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้แล้วถอยไปด้านข้าง
เมื่อจบการซื้อขายเสร็จไปกลุ่มหนึ่งแล้ว ทางตึกศาลาสัตยพรตก็จัดการส่งคนกลุ่มนี้ออกไปทันที
คนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว ไม่นานก็ถึงคราวของจ้านหรูอี้กับผู้ประมูลซื้อหมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ด อีกฝ่ายไม่ได้ใช้เงินสดจบการซื้อขาย แต่ใช้ตั๋วแลกเงินกองหนึ่งของตึกศาลาสัตยพรต
พิธีกรหญิงมาเป็นประจักษ์พยาน พอเห็นดังนั้นก็อึ้งนิดหน่อย นางไม่แสดงอาการทางสีหน้า แต่ที่จริงแอบตกใจเงียบๆ ใครกันที่สามารถนำตั๋วแลกเงินจำนวนสามล้านล้านของธนาคารสัตยพรตมาได้?
จ้านหรูอี้รับตั๋วแลกเงินกองนี้มา นางรู้สึกลังเลนิดหน่อย ถึงแม้นางจะรู้ว่าตั๋วแลกเงินของธนาคารสัตยพรตสามารถแลกเป็นเงินสดได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสมัน
หลังจากพิธีกรหญิงช่วยตรวจสอบแล้ว ก็บอกว่า “เป็นของจริง ลูกค้าหมายเลขสองร้อยยี่สิบสองสามารถใช้ตั๋วแลกเงินพวกนี้มาแลกเป็นเงินสดที่ธนาคารสัตยพรตได้ทุกเมื่อ”
ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม จ้านหรูอี้ถ่วงเวลาต่อไปก็ไม่มีความหมาย นางไม่จำเป็นต้องสงสัยหมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ด เรื่องบางเรื่องเบื้องบนก็เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว จึงส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือให้อีกฝ่ายตรวจสอบ
หมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดหนึ่งจากในนั้นออกมาตรวจสอบด้วยความฉับไว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ก็รีบดำเนินการจบการซื้อขายกับจ้านหรูอี้อย่างรวดเร็ว
ตอนที่ทั้งสองฝ่ายออกไป ก่อนหน้านี้ก็เตรียมลูกน้องเอาไว้ไปส่งแล้ว แต่ครั้งนี้พิธีกรหญิงกลับออกมาส่งทั้งสองด้วยตัวเอง
คนกลุ่มนี้มาถึงห้องลับห้องหนึ่ง ที่นี่มียอดฝีมือกำลังนั่งขัดสมาธิเฝ้าอยู่ในโพรงของผนังหิน ในห้องลับมีสระน้ำสิบทิศล้อมรอบเป็นหนึ่งวง พิธีกรหญิงยืนอยู่ริมสระน้ำพร้อมกล่าวแนะนำว่า “ที่นี่คือทางน้ำสำหรับผ่านไปด้านนอก สระน้ำสิบทิศสอดคล้องกับสิบทิศทางด้านนอก สาเหตุที่เตรียมให้ทุกท่านออกไปจากตรงนี้ก็เพื่อปกปิดเส้นทางการเคลื่อนไหวของลูกค้า อยากจะไปที่ทิศทางไหน กรุณาเลือกเองได้เลย”
หมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดกระโจนตัวเข้าไปในสระน้ำทางทิศเหนืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พิธีกรหญิงชำเลืองมองจ้านหรูอี้อย่างเย็นชา แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะนำคังเต้าผิงกระโดดตามไปในสระน้ำทิศเหนือเหมือนกัน ทำให้นางตกใจแล้วจริงๆ
ผนังหินของอุโมงค์ใต้น้ำยังคงทำจากแร่ผสม แสงระยิบระยับใต้น้ำแพรวพราวราวกับภาพความฝัน ไม่จำเป็นต้องส่องให้สว่างจ้า สามคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังดำน้ำอย่างรวดเร็ว จ้านหรูอี้รีบติดต่อเหมียวอี้ขณะที่อยู่ในน้ำ
ทั้งสามมาถึงปากทางออกอย่างรวดเร็ว มีคนของตึกศาลาสัตยพรตเฝ้าอยู่ตรงนั้น เปิดใช้งานค่ายกลป้องกันให้แล้ว ปล่อยทั้งสามคนออกไป
พอทั้งสามออกมา ก็เห็นคนชุดดำสวมหมวกมุ้งสามพันกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ในน้ำ คนที่ว่างงานของธงพยัคฆ์ดำและธงพยัคฆ์น้ำเงินล้วนอยู่ที่นี่ หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณมือให้กันจนแน่ใจแล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็ไปรวมตัวอยู่ด้วยกันทันที เหมียวอี้ก็อยู่ในนั้นเช่นกัน
เมื่อเห็นว่ามีคนเพิ่มมาอีกคน เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามจ้านหรูอี้อย่างแปลกใจว่า “เขาเป็นใคร?”
“พวกเดียวกัน! สถานการณ์ข้างอนกเป็นยังไงบ้าง?” จ้านหรูอี้ถาม
พวกเดียวกันเหรอ? เหมียวอี้ชะงักนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ใต้น้ำมีคนมารออยู่ไม่น้อยเลย จับตาดูพวกเราไว้แล้ว เพียงแต่เห็นว่าพวกเรามีคนเยอะ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเราชัดเจน ก็เลยไม่กล้าเข้าใกล้”
จ้านหรูอี้มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เห็นเงาคนเคลื่อนไหวจริงๆ ด้วย “ไม่สนใจแล้ว พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่องที่ประตูตึกศาลาสัตยพรตหรอก ถอนกำลังตามแผน!”
เหมียวอี้ส่งสัญญาณมือออกคำสั่ง กำลังพลสามพันกว่าเข้ามาล้อมทันที ล้อมพวกเขาเอาไว้เป็นกลุ่มก้อน จากนั้นก็หมุนวนด้วยความเร็ว ราวกับในน้ำมีลูกกลมๆ ขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
คนที่เฝ้าจับตาดูอยู่ไกลๆ พากันสีหน้าเปลี่ยนทันที มีบางคนตะโกนบอกคนข้างๆ ว่า “ท่าไม่ดีแล้ว!”
เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ กลุ่มคนที่กำลังหมุนวนด้วยความเร็วก็กระจายออกไปสี่ทิศ กำลังพลสามพันกว่าคนที่แต่งตัวเหมือนกันแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายไปทั่วทุกที่ ทำให้กลุ่มคนฐานะไม่ชัดเจนจำนวนมากที่ดักรออยู่ในน้ำงงกันเป็นแถบ…
ในชั้นตรงกลางของตึกศาลาสัตยพรต ชายชราชุดเขียวนำพิธีกรหญิงผลักประตูเข้ามาในห้องของเถ้าแก่เฉาหม่านแล้ว จากนั้นก็ปิดประตู
ขณะที่ฟังพิธีกรหญิงบรรยายสถานการณ์ เฉาหม่านที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะก็พลิกดูตั๋วแลกเงินสีม่วงทองที่อยู่บนโต๊ะ พวกนี้ล้วนเป็นตั๋วแลกเงินที่ธนาคารสัตยพรตปล่อยออกไป แต่ละใบล้วนสร้างจากหนังสัตว์ปีศาจโดยวิธีการลับเฉพาะ ข้างในมีตราอิทธิฤทธิ์ของเฉาหม่าน ปลอมแปลงไม่ได้ แต่พวกที่อยู่บนโต๊ะนี้ก็เป็นตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่ามากที่สุดของธนาคาร แต่ล่ะแผ่นแสดงถึงจำนวนหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกแดง ตรงหน้านี้มีอยู่หนึ่งร้อยใบ หมายความว่ามีทั้งหมดหนึ่งหมื่นล้านล้าน เป็นส่วนแบ่งที่หักจากหนึ่งในสามส่วนของราคาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามล้านล้านผลึกแดงนั่นเอง
ในการทำธุรกรรมเดียวก็ได้กำไรเยอะขนาดนี้แล้ว กำลังทรัพย์ของเฉาหม่านน่าตกใจจนทำให้คนหวาดระแวงนิดหน่อย
“อะไรนะ?” เฉาหม่านพลันเงยหน้า “เจ้าบอกว่าคนที่ขายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับคนที่ซื้อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกจากทางน้ำไปพร้อมกันเหรอ?”
พิธีกรหญิงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ข้ารู้สึกแปลกกับเรื่องนี้ ตามหลักการแล้วทั้งสองล้วนต้องพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้คนอื่นรู้เส้นทางการเคลื่อนไหว”
เฉาหม่านขมวดคิ้ว แววตาฉายแววร้อนรน แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ทำท่าทางหวาดหวั่นพรั่นพรึง ปั้ง! เขาตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น “ท่าไม่ดีแล้ว! นี่เป็นกับดัก เฒ่าชี รีบให้คนของพวกเราที่กำลังจับตาดูถอยกลับมา!”
ชายชราชุดเขียวไม่ถามสาเหตุ รียหยิบระฆังดาราออกมาปฏิบัติตามทันที
พิธีกรหญิงเหม่องง ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ท่านปู่สาม กับดักอะไรเหรอ?”
เฉาหม่านยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พูด จ้องเพียงปฏิกิริยาของชายชราชุดเขียว
หลังจากชายชราชุดเขียวแน่ใจว่าฝ่ายตัวเองถอนตัวออกมาแล้ว ถึงได้ตอบว่า “เถ้าแก่ คนของพวกเราถอนกำลังหมดแล้วขอรับ”
ตอนนี้เฉาหม่านถึงได้โล่งใจ นำตั๋วแลกเงินทั้งหมดบนโต๊ะเก็บรวมไว้ด้วยกัน แล้วยื่นให้ชายชราชุดเขียว พร้อมส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม “ได้แค่ดีใจเฉยๆ ที่จริงนี่เป็นเงินที่ซื้อชีวิตพวกเรา พวกเราฮุบไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียว เป็นแค่เงินที่ผ่านมือเท่านั้น เฒ่าชี นำตั๋วแลกเงินพวกนี้ส่งไปให้ที่จวนแม่ทัพภาคเถอะ”
…………………………