พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1422 จับตัวมาให้ข้า
ผ่านไปไม่นาน สถานที่ล้อมปราบก็ถูกเก็บกวาดจนโล่ง แม้แต่ศพก็ไม่เหลือทิ้งไว้ เก็บรวบรวมทั้งหมดเอาไว้รอเป็นหลักฐาน
ค่ายกลใหญ่ที่คนหลายล้านร่วมมือกันวางไว้ถูกกำจัดออกไป กำลังพลกลุ่มใหญ่เก็บกวาดทำความสะอาดพื้นดิน
หมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดหันตัวมาถ่ายทอดเสียงบอกพวกเหมียวอี้ว่า “ก่อนที่ภารกิจลับของพวกเจ้าจะจบลง พวกเจ้ากลับไปรวมตัวที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาก่อน อย่าเปิดเผยตัวตนต่อคนอื่นๆ ในหน่วยงานภายใน”
“รับทราบ!” เหมียวอี้และคนอื่นๆ เอ่ยรับ ขณะกำลังครุ่นคิดถึงฐานะตัวตนของเขา หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วก็นำคนเข้ามากุมหมัดคารวะแล้ว “ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นอะไร! เรื่องครอบครัวที่สละชีวิตพี่น้องไป สอบสวนแล้วรายงานขึ้นไปสักหน่อย ต้องเตรียมจัดการปัญหาที่จะเกิดตามมาให้ดี อย่าให้เหล่าพี่น้องตายตาไม่หลับ” หมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดหันตัวมาสั่ง
พวกเหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก คนที่สามารถทำให้หน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วหัววิ่งมาเรียกด้วยควาเคารพว่าผู้ตรวจการใหญ่ได้ นอกจากผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการองครักษ์ซ้าย ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว
เหมียวอี้ค่อยๆ หันหน้าไปมองที่ธงใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่าผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ไปไหนแล้ว นึกไม่ถึงว่าผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนจะเป็นคนหมายเลขเก้าร้อยห้าสิบเจ็ดที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับตน ไม่น่าเชื่อว่าฮวาอี้เทียนจะแฝงตัวเข้ามาในงานประมูลขายได้ง่ายๆ นี่มัน…
แต่พอคิดไปคิดมาเขาก็สามารถเข้าใจได้ ถ้าไม่ใช่เพราะส่งคนที่มีกำลังแข็งแกร่งอย่างฮวาอี้เทียนมา พวกเขาก็จะต้องตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ตัวตนไม่ชัดเจนพวกนั้นแน่นอน เป็นฮวาอี้เทียนที่ลงมือยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ถึงได้ปกป้องให้พวกเขาปลอดภัยได้
เพียงแต่การรวมกลุ่มทำงานกับคนที่มีศักยภาพต่างกันขนาดนี้ก็ทำให้รู้สึกอึ้งมาก แต่เหมียวอี้ก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน พวกเขาเป็นเหยื่อล่อ ภายใต้สถานการณ์บางอย่างนั้นจำเป็นต้องใช้เหยื่อล่อระดับต่ำอย่างพวกเขา
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวขึ้นเสียงตะโกนเรียกผู้ตรวจการใหญ่มาก่อน ทั้งยังเรียกแทนตัวเองกับผู้ตรวจการใหญ่ว่าพ่อด้วย…
พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็อกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย
ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาที่จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงไปแล้ว เอามือไขว้หลังนำพวกอวี่จ้งเจินเดินไปแล้ว และอวี่จ้งเจินก็จำเหมียวอี้ไม่ได้ เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่แค่ปลอมตัวอยู่ ทั้งยังสวมหมวกมุ้งอีกด้วย แยกแยะให้ออกได้ยาก
บางทีอาจจะเป็นเพราะในใจมีความรู้สึกอะไรบางอย่าง จู่ๆ ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง มองเหมียวอี้ด้วยสายตาเรียบเฉย ทำเอาเหมียวอี้หวาดระแวงกลัว
ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาก็ไม่ได้ทิ้งพวกเขาเอาไว้โดยไม่สนใจ ให้คนไปส่งพวกเขาออกจากดาราจักรผืนนี้ หลังจากส่งไปยังสถานที่ที่แน่ใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็นแล้ว ถึงได้ปล่อยพวกเขาเอาไว้ พวกเขาจะได้หลบสายตาคนกลับไปที่ตลาดผีได้สะดวก ถึงแม้ภารกิจแบบขั้นตอนของตำหนักสวรรค์จะเสร็จสิ้นแล้ว หว่านแหจับกลุ่มคนที่มีความคิดไม่ซื่อได้แล้ว แต่การค้นหาที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันนั่นยังต้องดำเนินต่อไป
กำลังพลกลุ่มใหญ่ไปเมื่อไร ไปที่ไหนแล้ว พวกเหมียวอี้นั้นไม่รู้ ได้แต่กลับมาที่ตลาดผีอย่างเงียบๆ กลับมาที่โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวแล้ว
ตำหนักสวรรค์มีการเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังไหว เกิดเป็นข่าวครึกโครมที่ตลาดผีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบนตรอกซอกซอนหรือบนเรือ ทุกที่ล้วนเห็นคนพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งนี้
ในชั้นกลางของตึกศาลาสัตยพรต ชายชราชุดเขียวกำลังรายงานสถานการณ์ข้างนอก
เฉาหม่านกับพิธีกรหญิงที่เป็นหลานสาวกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองตลาดผีอันเจริญรุ่งเรืองจากที่ไกลๆ หลังจากฟังจบแล้ว เฉาหม่านก็เอียงหน้าพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฟิ่งฉือ ข้าคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดใช่มั้ย ได้ยินหมดแล้วสินะ เจ้าเป็นเด็กที่สุขุมเยือกเย็น ไม่อย่างนั้นตระกูลคงไม่ส่งเจ้ามาอยู่ที่นี่หรอก ข้ารู้ว่าคนที่ฆ่าหลงเฉิงพี่ชายเจ้าไปซ่อนตัวที่ทะเลดาวสับสนแล้ว มือสังหารอาจจะเกี่ยวข้องกับไป๋เฟิ่งหวง แต่เจ้าจะใช้อารมณ์ทำงานไม่ได้ ที่ตระกูลจัดให้พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็เพราะเชื่อใจพวกเรา ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ต้องสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้”
พิธีกรหญิงชื่อว่าเฉาเฟิ่งฉือ ชื่อจริงคือเซี่ยโห้วเฟิ่งฉือ เป็นน้องสาวท้องเดียวกันกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เป็นพี่สาวท้องเดียวกันกับเซี่ยโห้วหู่เฉิง ลูกหลานที่เป็นยอดอัจฉริยะที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วล้วนถูกส่งมาอยู่ในสถานที่ที่เป็นความลับเพื่อบริหารอำนาจใต้ดินหมดแล้ว เป็นเพราะอำนาจใต้ดินต่างหากที่เป็นรากฐานในการรักษาตระกูลเซี่ยโห้วไม่ให้ล้มลง ลูกหลานตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ฉากหน้า ถึงแม้จะไม่เรียกว่าเป็นพวกพื้นๆ ธรรมดา แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไร ถึงได้จัดเอาไว้อยู่ฉากหน้าเพื่อให้ทำงานตามกฎระเบียบ ให้รักษาความสงบเสงี่ยมของตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้
ภายใต้สถานการณ์ปกติทั่วไป ลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้วที่หลบอยู่ใต้ดินและที่อยู่ฉากหน้าจะไม่แสดงความเกี่ยวข้องอะไรกัน นี่เป็นการปกป้องกันและกันแบบหนึ่ง
นี่ก็เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันและกันแบบหนึ่ง อำนาจใต้ดินสามารถรับประกันเกียรติยศความร่ำรวยของตระกูลเซี่ยโห้วได้ ส่วนอำนาจในฉากหน้าที่มีเกียรติก็สามารถใช้ฐานะขุนนางข้างกายราชันสวรรค์เพื่อถือหางปกป้องอำนาจใต้ดินได้ในระดับหนึ่ง
เฉาเฟิ่งฉือได้ฟังแล้วก็นึกกลัวทีหลังเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าตำหนักสวรรค์จะแอบวางกำลังพลเอาไว้ที่นี่มากมายขนาดนี้ นางก้มหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านปู่สาม ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าประมุขชิงมองพวกเราเหมือนเป็นของเล่น เลยรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย” แล้วก็เงยหน้าถามอีกว่า “ท่านปู่สาม แล้วจะยอมละทิ้งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นจริงๆ เหรอคะ?”
เฉาหม่านตอบเสียงเรียบว่า “ใครบอกว่าข้าจะยอมแพ้ล่ะ? ถ้าได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นมา ก็จะสามารถแสดงประโยชน์ได้มหาศาล จุดประสงค์ที่พวกเราอยู่ที่นี่ก็เพื่อแอบเตรียมสะสมสิ่งต่างๆ ไว้ให้ตระกูล บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้งานก็ได้ ต้องมีการเตรียมตัวอย่างเพียงพอ ถึงจะทำให้ตระกูลรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างไม่สะกสะท้าน เพียงแต่จะใจร้อนเกินไปไม่ได้ ถ้าอยากได้มาไว้ในมือก็ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จะไม่มีใครจับได้ ต่อให้จะเป็นคนคนเดียวรู้ก็ตาม ต่อให้พวกเราจะได้มาไว้ในมือ แต่ก็จะแตะต้องพวกมันไม่ได้เช่นกัน”
“เพราะอะไรคะ?” เฉาเฟิ่งฉือประหลาดใจ
เฉาหม่านถอนหายใจแล้วบอกว่า “นางหนูเอ๊ย เจ้าจำไว้นะ สำหรับในตอนนี้ ราชันสวรรค์จำเป็นต้องมีอำนาจใต้ดินอย่างพวกเราอยู่ เพราะตระกูลของพวกเราไม่มีทางอนุญาตให้ขุนนางคนอื่นๆ มายุ่งกับอาณาเขตพวกเรา ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้ตระกูลพวกเราอ่อนแอลง ถ้ามีตระกูลของพวกเราอยู่ ผู้มีอำนาจคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์ก็จะไม่สามารถขยายอำนาจใต้ดินได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าภายนอกกุมอำนาจทางทหารมากมายเอาไว้ แล้วใต้ดินก็มีอำนาจที่แข็งแกร่งอีก แบบนั้นก็จะเป็นเรื่องที่อันตรายต่อประมุขชิงมาก จะสูญเสียการควบคุมได้ง่าย เช่นเดียวกัน ประมุขชิงไม่มีทางอนุญาตให้พวกเรากุมอำนาจทางทหารมากมายเอาไว้ในฉากหน้า ถึงแม้ตระกูลจะพยายามช่วงชิงมาตลอด แต่ประมุขชิงก็ไม่เคยผ่อนปรนเลย นี่เป็นความสมดุลอย่างหนึ่ง เป็นความสมดุลที่ประมุขชิงจำเป็นต้องมี ไม่อย่างนั้นแล้ว ประมุขชิงก็จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลของพวกเราแน่นอน เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”
เฉาเฟิ่งฉือทำท่าครุ่นคิดพลางพยักหน้า “หลานเข้าใจแล้วค่ะ”
แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เฉาหม่านจะแสยะยิ้มอีก ใบหน้าแสดงความดุร้าย ดวงตาเผยแววดุดัน “ประมุขชิงชอบใช้วิธีการเจรจาก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง เช่นนั้นพวกเราคอยเล่นไปตามน้ำก็พอ พอเขาเล่นเสร็จแล้ว พวกเราก็ต้องคืนเงินให้เขา แต่พวกเราก็ไม่ได้เล่นด้วยได้ง่ายขนาดนั้น ตอนนี้คงยังไม่ถึงคราวที่พวกเราจะลงมือ ให้กลุ่มคนคอยจับตาดูที่ตลาดผีเอาไว้ คิดว่าพวกเราไม่รู้งั้นเหรอ? พวกเราอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเห็นพวกเราเป็นคนตาบอดไปแล้วจริงๆ? เฒ่าชี คิดหาทางบีบพวกผีซ่อนของตำหนักสวรรค์แอบที่ปะปนอยู่ในตลาดผีออกมา กำจัดให้ข้าให้หมด!”
“ขอรับ!” ชายชราชุดเขียวเอ่ยรับ แล้วถามอีกว่า “เถ้าแก่ สายลับของตำหนักสวรรค์ ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ กำจัดให้หมดเกลี้ยงเลยใช่มั้ยขอรับ?”
เฉาหม่านโบกมือ “พวกที่มาใหม่ ถ้ากำจัดได้ก็กำจัดให้หมด ส่วนพวกคนเก่าๆ ก็เก็บกวาดให้เหมาะสมหน่อย อย่าทำแบบสุดโต่งเกินไป ถ้ากำจัดจนสะอาดเกินไป แล้วในภายหลังตำหนักสวรรค์จับคนแทรกเข้ามาอีก ก็จะสร้างความยุ่งยากในการจัดการเบาะแสของพวกเรา จะกำจัดให้หมดไม่ได้ และไม่กำจัดไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตำหนักสวรรค์สงสัยและเปลี่ยนตัวสายลับทั้งหมด แล้วอีกอย่าง คนที่ประมูลซื้อแล้วหนี ไปตรวจสอบมาหน่อย ดูว่ายังอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถ้ายังอยู่ก็บีบออกมาให้ข้า แล้วกำจัดทิ้งต่อหน้าฝูงชนข้อหาทิ้งสินค้าประมูล ทำให้ทุกคนได้เห็น ว่านี่คือจุดจบของการทิ้งสินค้าประมูล!”
เฉาเฟิ่งฉือจึงกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านปู่สาม แบบนี้ไม่ดีกระมัง ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าคนที่ทิ้งสินค้าประมูลเป็นคนของตำหนักสวรรค์แน่นอน ถ้าพวกเรากำจัดต่อหน้าฝูงชน จะไม่เป็นการตบหน้าประมุขชิงหรอกหรือคะ? ตอ่ไปประมุขชิงจะต้องให้ท้ายโพ่จวินมาลงมือกับหัวหน้าตระกูลแน่ จงใจทำให้หัวหน้าตระกูลกับท่านอาอับอายเพื่อล้างแค้น”
เฉาหม่านบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ประมุขชิงไม่กล้าทำแบบนี้หรอก นอกเสียจากเขาจะไม่อยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นแล้ว ถ้ายังอยากจะหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นอยู่ เขาจะต้องส่งคนมาสืบข่าวที่ตลาดผีอีกแน่ เจ้าว่าเขาจะกังวลว่าพวกเราจะลงมือกับคนของเขาอีกมั้ยล่ะ? ดังนั้นครั้งนี้เขาจะอดทนไว้”
เฉาเฟิ่งฉือรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม จึงเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านปู่สาม จะปรึกษากับหัวหน้าตระกูลก่อนสักหน่อยมั้ยคะ?”
เฉาหม่านพลันหันตัวมา แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “นี่ก็คือประสงค์ของหัวหน้าตระกูล! หัวหน้าตระกูลบอกไว้แล้ว ว่าต้องแสดงความแข็งกร้าวเท่าที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ ก็จะมีคนมาทำแบบนี้ที่อาณาเขตของพวกเราอีก จะให้ผ่อนปรนเรื่องนี้ไม่ได้ เส้นตายบางอย่างพวกเราต้องรักษาไว้ และจำเป็นต้องทำให้ประมุขชิงเข้าใจด้วย จะให้ประมุขชิงมองพวกเราเป็นลูกพลับอ่อนที่บีบง่ายไม่ได้! เฒ่าชี ถ้าคนมาแล้วก็ให้เฟิ่งฉือลงมือด้วยตัวเอง คนที่พังงานมาอยู่ในมือของนางแล้ว ให้นางเรียกอำนาจบารมีกลับคืนมาต่อหน้าทุกคน!” พูดจบก็โบกมือให้ชายชราชุดเขียว
“บ่าวระไปเตรียมการขอรับ!” ชายชราชุดเขียวกล่าวขอตัว
พอกลับมาถึงโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือรักษาอาการบาดเจ็บ
ทางตำหนักสวรรค์ใช้กลยุทธ์ทุกข์กาย เขาก็เลยดวงซวย ไม่มีทางเลือก ในฐานะที่เป็นคนของตำหนักสวรรค์ เขาได้แต่มองดูคนของตำหนักสวรรค์โดนโจมตีจนสาหัสโดยทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกันแล้วเขาก็ยังนับว่าโชคดี ไม่เหมือนกับคนชุดดำพวกนั้น ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนมีความสามารถที่จะช่วยชีวิตพวกเขาได้แท้ๆ แต่กลับไม่ช่วยเหลือ ทำแบบนี้ก็เพื่อจะรอให้ทัพใหญ่มาล้อม เลยทำได้แต่มองกลุ่มลูกน้องเอาชีวิตไปทิ้ง เหมียวอี้นึกย้อนไปแล้วก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย
ทว่าการเยียวยาบาดแผลไม่ราบรื่น เหยียนซิวก็ได้รับบาดเจ็บและกำลังรักษาตัวเช่นกัน คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกมีเพียงหยางเจาชิง หยางเจาชิงรายงานอยู่นอกประตูว่า “คุณชายเหมียว แม่นางฮว๋ามาขอพบขอรับ”
“ให้นางเข้ามา” ในน้ำเสียของเหมียวอี้เจือความเดือดดาลเล็กน้อย ครั้งนี้เกือบจะโดนผู้หญิงคนนั้นเอาชีวิตไปล้อเล่นแล้ว
จ้านหรูอี้ผลักประตูเข้ามา นางก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เพียงแต่นางนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องมาอธิบาย
พอเหมียวอี้เห็นนางก็หงุดหงิดแล้ว ถามแดกดันว่า “มีเรื่องอะไร? คงไม่ได้มีภารกิจอะไรอีกหรอกใช่มั้ย?”
จ้านหรูอี้เองก็หวาดผวาเช่นกัน เข้าใจสาเหตุที่เหมียวอี้โมโห แต่นางก็ไม่ได้ถูกเขายั่วให้โมโห ถามเสียงเรียบว่า “ท้อเซียนชุดนั้นที่เจ้าประมูลซื้อได้ในงานขายประมูล เจ้าคงยังไม่ลืมใช่มั้ย?”
ท้อเซียน? เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิยื่นมือ “เอามาให้ข้า!”
“ไม่มี ของยังอยู่ที่ตึกศาลาสัตยพรต” จ้านหรูอี้ตอบ
เหมียวอี้ถลึงตาทันที “เจ้าบอกว่าจะจ่ายเงินให้ข้าไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าล้อข้าเล่น?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น แต่ว่าเจ้าเอาป้ายลำดับไปแล้ว งานประมูลขายไม่เห็นป้ายลำดับก็เลยไม่ยอมจบการซื้อขาย เพราะพวกเขากลัวว่าในภายหลังจะมีคนนำป้ายลำดับของเจ้าไปก่อความวุ่นวาย” พูดจบก็ดีดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งเข้ามาให้ “เงินนี้ข้าให้เจ้าแล้ว จะไปเอาของที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าตึกศาลาสัตยพรตบอกว่าเจ้าหนีการประมูล ดูเหมือนจะโกรธมาก เจ้าระวังตัวเอาไว้หน่อยเถอะ อย่าสร้างปัญหาให้พวกเรา” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
…………………………