พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1423 วิกฤติเข้ามาประชิด
แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งเดินออกจากประตูมา นางจะบังเอิญเจอคนที่ไม่อยากเจอเข้าแล้ว ฮวาหูเตี๋ยถือถาดสุราอาหารเดินเข้ามาอีกแล้ว
เมื่อผู้หญิงทั้งสองเจอหน้ากัน จ้านหรูอี้ก็สบตาอย่างเย็นเยียบ ส่วนฮวาหูเตี๋ยก็ทำหน้ายิ้มรับแขก แล้วก็ขอให้หยางเจาชิงที่เฝ้าประตูอยู่รายงานให้
จ้านหรูอี้หันกลับมามองคล้อยหลังฮวาหูเตี๋ยเข้าไปในห้องของเหมียวอี้ ได้แต่มองดูประตูปิดลง ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหญิงเข้าไปทำอะไรกันในห้องสองต่อสอง นางแอบกัดฟัน แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์ไปควบคุมเหมียวอี้ได้ จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ในห้องนอน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่หน้าโต๊ะ เขาชำเลืองมองฮวาหูเตี๋ยวางถาดและรินสุรา ไม่รู้เหมือนกันว่านางมาอุทิศตัวรับใช้ที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่จะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรนางก็จะไม่โผล่หน้าออกมาง่ายๆ
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากทั้งสองนั่งลงและชนจอกสุรากัน ฮวาหูเตี๋ยก็ถามเรื่องกับดักที่ตำหนักสวรรค์วาง ถามเขาว่าได้เข้าร่วมด้วยหรือเปล่า
เหมียวอี้บอกปัดให้ผ่านๆ ไป ถ้าตระกูลโค่วถามเขา เขาก็อาจจะบอก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะบอกเรื่องนี้ส่งเดชกับใครก็ได้ของตระกูลโค่ว
หนีการประมูล?
หลังจากให้ฮวาหูเตี๋ยออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบกำไลเก็บสมบัติที่จ้านหรูอี้ให้เขาขึ้นมา เขาพบว่าข้างในเป็นผลึกแดงทั้งหมด หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์นับก็พบว่ามีจำนวนเท่าราคาท้อเซียนที่ประมูลขาย เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เก็บเอาไว้เสียเลย
ส่วนจะไปเอาท้อเซียนที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไม่นั้น เขาก็กำลังลังเลมาก ตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าคนที่ประมูลซื้อท้อเซียนไปเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าตอนนี้เขายังจะไปที่นั่นอีก ดีไม่ดีอาจจะโดนคนจับตาดูก็ได้ จ้านหรูอี้พูดเอาไว้ไม่ผิด นางบอกว่าเป็นไปได้สูงว่าจะทำให้ภารกิจครั้งนี้เกิดปัญหายุ่งยาก
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าช่างเถอะ ก็แค่ท้อเซียนไง ครั้งนี้นับว่าตนได้ช่วยเหลือเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว ให้อีกฝ่ายแบ่งท้อให้สักหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง
เฟยหงก็อาจจะได้เหมือนกัน ถึงอย่างไรแม่เฒ่าลวี่มารดาบุญธรรมของนางก็ดูแลด้านนี้อยู่ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่คิดจะขอให้เฟยหงช่วย
เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะไปจบการซื้อขายที่ตึกศาลาสัตยพรต แล้วเยียวยาบาดแผลต่อไป
ใครจะคิดว่ายังสงบใจได้ไม่ถึงครึ่งวัน จินม่านจากแดนอเวจีก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว : ประมุขปราชญ์ รีบออกจากตลาดผีเร็วเข้า คนของตึกศาลาสัตยพรตหมายหัวท่านเพื่อสร้างบารมีแล้ว!
เหมียวอี้ตกใจ : หมายความว่ายังไง?
จินม่าน : ข้าไม่รู้รายละเอียดหรอก ก็แค่ได้ข่าวมา ว่าบอกว่าท่านก่อเรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรต ตอนนี้คนของตึกศาลาสัตยพรตกำลังแอบสืบหาที่อยู่ของท่าน
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตัวเองยังไม่ได้ก่อเรื่องอะไรที่ตึกศาลาสัตยพรตเลย ทำไมต้องบอกว่าก่อเรื่องอะไรนั่นด้วยล่ะ มีแค่เรื่องท้อเซียนไม่ใช่เหรอ
เขาแปลกใจแล้ว ขอเพียงตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้โง่ ก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ขนาดรู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ก็ยังกล้าลงมืออีกเหรอ บ้าไปแล้วละมั้ง!
เขารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงถามอีกว่า : เจ้ามีสายลับอยู่ที่ตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?
จินม่าน : ไม่มี
เหมียวอี้ : แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าตึกศาลาสัตยพรตจะลงมือกับข้า เอาข่าวมาจากไหน?
จินม่าน : ข่าวน่าจะไม่มีปัญหา ส่วนที่มาของข่าวนั้น ประมุขปราชญ์ได้โปรดให้อภัย ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผย ถ้ามีโอกาสเหมาะสมเดี๋ยวค่อยบอกประมุขปราชญ์อีกทีก็ยังไม่สาย
เหมียวอี้ครุ่นคิด แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูก ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะอยากตามหาเขา แต่ก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ดี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทางจินม่านจะรู้ว่าเขาประมูลซื้อท้อเซียน ทำไมแหล่งข่าวถึงชี้มาที่ตัวเขาได้เร็วขนาดนี้ ทำไมจินม่านจึงไม่แม้แต่จะสงสัย มาเตือนเขาโดยตรงทั้งๆ ที่ไม่ได้ถามว่าคนที่ประมูลได้ท้อเซียนไปคือเขาหรือเปล่า? รู้ว่าคนที่ประมูลท้อเซียนในงานขายประมูลมีแค่คนของตำหนักสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทางตำหนักสวรรค์มีคนรู้ข่าวที่ตึกศาลาสัตยพรตแล้ว อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์มีสายลับอยู่ที่ตึกศาลาสัตยพรต? ถ้าเป็นแบบนี้ ก็พูดได้อีกอย่างว่าหกลัทธิก็มีสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์เหมือนกัน
เหมียวอี้ถามว่า : ประมุขขุนพล บอกข้ามาว่าคนที่ให้ข่าวเจ้าใช่คนของตำหนักสวรรค์รึเปล่า?
จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่บอกว่าใช่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่ เพียงเตือนว่า : ประมุขปราชญ์ เรื่องนี้ไม่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องรีบหนีไปก่อนที่ตึกศาลาสัตยพรตจะเจอตัวประมุขปราชญ์ ความปลอดภัยของประมุขปราชญ์ต้องมาก่อน
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่พูดก็เท่ากับยอมรับแล้วว่ามีสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์จริงๆ จึงตอบว่า : ข้าเข้าใจแล้ว
หลังจากติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็ลำบากใจแล้ว เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ประเด็นก็คือเขาไม่สามารถหนีไปตามอำเภอใจได้
ไม่ว่าแหล่งข่าวจะเชื่อถือได้หรือไม่ แต่เป้าหมายก็คือความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก เหมียวอี้รีบติดต่อกู่ตัวกุ้ยแล้ว ให้อีกฝ่ายเสนอไปทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเพื่อปล่อยให้เขากลับ เหตุผลก็คือรูปร่างของจ้านหรูอี้โดดเด่นเกินไป ตัวเองเคยตามจ้านหรูอี้ไปเผยโฉมที่ร้านประมูลแล้ว ไม่ปลอดภัยแล้ว กลัวว่าจะถูกเปิดโปง จึงขอถอนกำลัง
เขาไม่เชื่อว่าเบื้องบนจะไม่รู้ว่ารูปร่างของจ้านหรูอี้เป็นปัญหา เดิมทีเบื้องบนก็อาศัยรูปร่างของจ้านหรูอี้อยู่แล้ว เอาจ้านหรูอี้มาเป็นเหยื่อล่อ เขาเดาว่าขอเพียงตัวเองอ้างเหตุผลนี้ ก็น่าจะสามารถออกจากตลาดผีไปได้
กู่ตัวกุ้ยเองก็คิดว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลเช่นกัน จึงรับปากว่าจะเสนอเบื้องบนให้
ทว่าหลังจากเสนอเบื้องบนไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาก็ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก กู่ตัวกุ้ยบอกว่า เบื้องบนได้พิจารณาถึงจุดนี้แล้ว จึงออกคำสั่งย้ายจ้านหรูอี้กลับไปแล้ว จะไม่เป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยของเหมียวอี้แน่ พิจารณาว่าถ้าส่งคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่วางไว้ในช่วงนี้มา ก็กลัวว่าจะเป็นอุปสรรคต่อภารกิจ เบื้องบนตัดสินใจแล้วว่าจะให้เหมียวอี้อยู่ที่นี่ต่อไป จ้านหรูอี้จะส่งต่องานให้เขาทันที นางจะส่งต่อกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินที่ตลาดผีให้เหมียวอี้ระดมกำลัง
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ นอกจากตัวเองจะไม่ได้หลุดพ้นจากเขตอันตราย กลับยกประโยชน์ให้จ้านหรูอี้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่สะดวกจะบอกไปว่าเขารู้ข่าวทางตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าตำหนักสวรรค์ซักไซ้ว่าได้แหล่งข่าวมาจากไหน เขาก็ไม่มีทางอธิบายได้เลย
รวดเร็วอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาไม่ถึงครั้งชั่วยาม จ้านหรูอี้ก็เคาะประตูเข้ามา เป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน
ตรงไปตรงมามาก จ้านหรูอี้ไม่มีอะไรจะพูดคุยกับเขาเยอะเช่นกัน เข้าประเด็นเลยว่า “เบื้องบนบอกว่าถ้าข้าอยู่ที่นี่แล้วจะถูกเปิดโปงได้ง่าย เลยตัดสินใจย้ายข้ากลับไปแล้ว ต้องการให้ข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ส่งคนมาคุ้มกันส่งข้าแล้ว เจ้าเองก็รู้ถึงสิ่งที่เบื้องบนบอกแล้ว ว่าให้ข้าส่งกำลังพลให้เจ้าบัญชาการ”
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “งั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วยจริงๆ สร้างผลงานใหญ่ขนาดนี้ กลับไปเกรงว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคคงหนีไม่พ้น” นี่ไม่ใช่คำประจบ สิ่งที่พูดคือความจริง ครั้งนี้จ้านหรูอี้สร้างผลงานไม่น้อยเลยจริงๆ จะต้องได้รับรางวัลอย่างงามแน่นอน
จ้านหรูอี้ก็ไม่เปลืองคำพูดเช่นกัน ส่งต่อโจทย์งานทันที
หลังจากส่งต่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็หันตัวเดินไป แต่พอเดินไปตรงประตูก็หยุดฝีเท้าอีก แล้งเตือนว่า “เจ้าต้องระวังเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมนี้ไว้นะ นางเข้าใกล้เจ้าคงจะไม่ได้มีเจตนาดีอะไร”
เหมียวอี้ย่อมไม่บอกอยู่แล้วว่าที่นี่มีตระกูลโค่วคอยปกป้องความปลอดภัยให้เขา อย่างน้อยตอนนี้ตระกูลโค่วก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายเขา จึงกุมหมัดคาระวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จะจำไว้ สถานการณ์ไม่ปกติ ข้าไม่ไปส่งแล้วกัน ขอให้เดินทางราบรื่น”
ตอนนี้เขาต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่โผล่หน้าไปพร้อมกับจ้านหรูอี้
จ้านหรูอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก บทจะไปก็ไปเลย พาไปด้วยแค่ลูกน้องคนสนิทสองคน ทิ้งคนอื่นๆ ไว้ให้เหมียวอี้หมดแล้ว ออกจากตลาดผีผ่านเส้นทางด้านบนของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวโดยตรง
ส่วนเหมียวอี้ก็เริ่มกังวลใจแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่มหึมาอย่างตึกศาลาสัตยพรต นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้เลย เขาจึงคิดที่จะหาคนมาช่วยปกป้อง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการหาทางออกไปจากที่นี่จะเหมาะสมกว่า…
เรือลำหนึ่งลอยอย่างเชื่องช้าอยู่ในแม่น้ำ ในห้องโดยสารเรือ ชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าซีดขาวและมีเลือดออกมุมปากกำลังถูกดาบจ่อคอ ชายวัยกลางคนยกมือแหวกม่านชี้ไปยังชายคนหนึ่งที่เดินไม่ช้าไม่เร็วอยู่บนฝั่ง “เขา! เขาคือเถาหยวนหล่างผู้ที่รับผิดชอบโค้งที่เก้าทางทิศใต้ ข้าได้รับคำสั่งจากเขา เขาจะเจอหน้ากับผู้บังคับบัญชาในบางครั้ง เขารู้ว่าเบื้องบนสุพักที่ไหน!” พอพูดจบ มือก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำสีหน้าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเขาเองยังไม่รู้ชัดลยว่าตัวเองถูกเปิดโปงได้อย่างไร
ชายชราชุดเขียวที่นั่งจิบน้ำชาช้าๆ อยู่ข้างหลังเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าเบาๆ คนชุดดำที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
ส่วนชายที่กำลังเดินอยู่บนฝั่ง หลังจากเดินไปได้สักระยะ ก็เลี้ยวเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินทะลุซอยเพื่อจะไปโผล่อีกปากซอย จู่ๆ เกี้ยวหลังหนึ่งก็โผล่มาบังตรงปากซอยเอาไว้ บังสายตาคนเดินถนนข้างนอกเช่นกัน มีคนชุดดำสองคนเดินเลี้ยวเข้ามาจากฝั่งซ้ายและขวาของซอย แล้วเดินคู่กันเข้ามา
ชายที่กำลังจะเดินออกจากซอยพบความไม่ชอบมาพากลทันที และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เบาๆ ข้างหลัง พอเขาหันขวับไปมอง คนชุดดำคนหนึ่งก็โผล่มาอยู่ข้างหลังเขาแล้ว กำลังใช้กระบี่ด้ามหนึ่งจ่อบนคอของเขา ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวส่งเดช
จากนั้นมือสองข้างก็กดลงบนบ่าของเขา ควบคุมเขาได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร จู่ๆ ก็หยุดหายใจ ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ ควสามรู้สึกตัวหายไปแล้ว
เกี้ยวที่บังสายตาผู้คนที่เดินไปมาบนถนนออกจากซอยไปแล้ว ในซอยว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน
รอจนกระทั่งเขาฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายโอนเอนเล็กน้อย ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองอาจจะอยู่บนเรือ
พอลืมตามอง ก็เห็นชายชราชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาพยายามลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็ถูกกดบ่าเอาไว้ รู้สึกเจ็บข้อพับหลังเข่า เข่าของเขากระแทกพื้นดังตุ้บ โดนคนกดให้นั่งตรงหน้าชายชราชุดเขียวแล้ว เขาถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เอาไว้ ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เงยหน้าถามอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไร?”
ข้างๆ กันมีคนถูกผลักออกมาอีกคน เป็นคนที่ขับเรือให้พวกเหมียวอี้ไปตึกศาลาสัตยพรตก่อนหน้านี้นั่นเอง คนขับเรือมองดูชายที่กำลังคุกเข่า แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่เขา”
ชายชราชุดเขียวโบกมือ ให้คนพาคนขับเรือลงไป แล้วจ้องชายที่กำลังคุกเข่า พร้อมถามเสียงเรียบว่า “เถาหยวนหล่าง? ว่ามาเถอะ จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อพักอยู่ที่ไหน?”
ชายคนนั้นตกใจทันที ตระหนักได้แล้วว่าฝ่ายตัวเองมีคนทรยศ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้ากลุ่มคือใคร จึงตอบอย่างเย็นเยียบอีกว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว ยังจะกล้าแตะต้องข้าอีกเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ?”
ชายชราชุดเขียวขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับตัวละครเล็กๆ แบบนี้ “ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน จับหัวหน้ามาแล้วตัดขาดการติดต่อทั้งข้างล่างข้างบน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีข่าวหลุดไป แล้วค่อยหว่านแหจับให้ข้าทั้งหมด”
คนชุดดำที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า พอพลิกมือ ในแขนเสื้อก็มีงูตัวเล็กสีเขียวขลับสองตัวโผล่มาทันที พวกมันเลื้อยออกมาช้าๆ เล็กกว่าตะเกียบไม่เท่าไร ดวงตาทั้งคู่สีดำเปล่งแสง ขณะที่แลบลิ้นมีไอสีดำพ่นออกมาจางๆ กลิ่นเหม็นคาวน่าอึดอัด คนชุดดำบีบคางของเถาหยวนหล่าง พอทำให้ศีรษะของเขาขยับไม่ได้แล้ว งูสองตัวก็เจาะเข้าไปในรูจมูกของเถาหยวนหล่างทันที แล้วก็เริ่มเลื้อยชอนไชในรูจมูกของเขา
เถาหยวนหล่างตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในลำคอมีเสียงดังอู้อี้ “ข้าจะบอก…”
คนชุดดำพลิกมือดึงงูสองตัวกลับมา และคลายมือออกจากคางของเขาแล้ว…
ตอนที่เรือสองลำเจอกันกลางแม่น้ำ ชายชราชุดเขียวขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่งแล้ว กำลังรีบเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
ข้างในนั้น เฉาเฟิ่งฉือกำลังนั่งบนเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่าง พอได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างตกใจว่า “ผู้นำกลุ่มที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาคือจ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
…………………………