พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1430 ใจคนหวาดหวั่น
เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็ย่อมเปลี่ยนขุนนางใหม่ การจากไปของเนี่ยอู๋เซี่ยวไม่ใช่แค่การแต่งตั้งและปลดออกของคนในตำแหน่งสำคัญเท่านั้น ถือโอกาสตอนนี้ที่มีลูกน้องเก่าของเนี่ยอู๋เซี่ยวสนับสนุน ทำเหมือนกับตอนแรกที่มาธงพยัคฆ์ดำ ปรับกำลังพลของแต่ธงพยัคฆ์ใหม่ กระจายสมาชิกทั้งหมดแล้วค่อยนำมารวมกันอีกครั้ง
คำสั่งย้ายกองมังกรดำเข้าไปประจำการที่อุทยานหลวงอย่างเป็นทางการยังไม่มา กองมังกรดำจึงรอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิม แต่แขกของท่านแม่ทัพภาคมาแล้ว
ไป๋เฟิ่งหวงมาแล้ว เหมียวอี้ออกจากกองมังกรดำไปพบนางเป็นการส่วนตัว
ส่วนเรื่องว่าทั้งสองแอบคุยอะไรกัน คนนอกก็ไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่หลังจากคุยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ได้มอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหยียนซิว จากนั้นเหยียนซิวก็แอบออกไปข้างนอกคนเดียว ได้รับคำสั่งให้นำของไปมอบให้อวิ๋นจือชิว…
ตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน ร้านค้าสมาคมวีรชน ในตึกศาลา คนยังสง่างามเหมือนเดิม
ข่าวเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่งดังมาถึงที่นี่แล้ว แต่กลับทำให้หวงฝู่จวินโหรวพิงหน้าต่างทอดสายตามองออกไปไกล ในมือถือปิ่นปักผมรูปแมลงปอสีแดงพลางถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมียวอี้ไต่เต้าได้เร็วขนาดนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ
ในตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงก็ยิ่งมองการณ์ไกล เขาถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินข่าวว่าเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่ง เขาก็ดีใจไม่ออกเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจกับเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากข้างนอก
สี่พี่น้องร่วมสาบานแอบเจอกันอย่างลับๆ หลังจากปรึกษากันแล้วผลที่ได้ก็โหดร้ายมาก แต่กับความจริงที่โหดร้ายบางอย่าง จะไม่เผชิญหน้าก็ไม่ได้ ท่ามกลางลูกน้องระดับล่างที่เดิมทีอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน มีบางคนได้เลื่อนตำแหน่ง มีบางคนได้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนอื่น สิ่งนี้ได้ทำให้เกิดคำพูดที่คับแค้นใจที่ไม่ค่อยสามัคคีกันแล้ว นี่คือเรื่องที่อันตรายมาก
คำพูดที่คับแค้นใจเหล่านั้นทำให้ทั้งสี่หวาดระแวงกลัว เหมือนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของทุกคน สุดท้ายทั้งสี่จึงตัดสินใจ ว่าจะรอให้การทดสอบที่นรกครั้งหน้ามาถึง แล้วล่อพี่น้องพวกนี้ให้ไปเข้าร่วมการทดสอบที่นรก จะไม่ให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมาอีก
สถานการณ์ที่เคยรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่อต้านหกปราชญ์ตอนอยู่พิภพเล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกกัดกร่อนของผลประโยชน์ สุดท้ายใจคนก็ไม่อยู่แล้ว
จวนแม่ทัพภาคตงหัว ท่านโหวเทียนหยวนที่ระบายอารมณ์กับปี้เยว่ฮูหยินในห้องเดินออกมาจากห้องแล้ว กำลังนั่งเหม่อลอยในศาลาด้านนอก
หลังจากจัดแจงตัวเองเรียบร้อยแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็เดินช้าๆ ออกจากห้อง ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ บอกไม่ถูกว่าแค้นหรือไม่แค้น เพราะนางโดนท่านโหวเทียนหยวนบังคับจนชินแล้ว เรื่องบางเรื่องนางไม่มีทางเลือก ในสายตาของคนในสังคม พวกเขาคือสามีภรรยากัน เรื่องบางเรื่องไม่ว่าท่านโหวเทียนหยวนจะทำอย่างไรก็ไม่ถือว่าทำเกินไป ไม่มีใครมาร้องขอความยุติธรรมให้ปี้เยว่ฮูหยิน
จะว่าไปก็น่าขำเหมือนกัน หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเกิดวิกฤติ ท่านโหวเทียนหยวนก็ขยันมาที่นี่ ในหนึ่งปีจะมาอย่างน้อยสามสี่ครั้ง ถึงแม้ในด้านความรักใคร่สนิทสนมจะมีแต่ความป่าเถื่อนไปบ้าง แต่สำหรับสามีภรรยาที่เคยไม่เจอหน้ากันเป็นร้อยปี ตอนนี้กลับเหมือนสามีภรรยากันมากขึ้นแล้ว
พอเหลือบมองคนที่อยู่ในศาลาแวบหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของท่านโหวเทียนหยวนในครั้งนี้ค่อนข้างแปลกไป เห็นได้ชัดว่าเป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสีย นางรู้จักเขาดีเกินไป ครั้งนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วแน่นอน แต่ระหว่างทั้งสองไม่ค่อยได้พูดคุยสื่อสารอะไรกันอีกแล้ว มีเพียงการบังคับขืนใจและความป่าเถื่อนของท่านโหวเทียนหยวน ปี้เยว่ฮูหยินรีบเดินออกไป อยากจะอยู่ให้ห่างจากเทียนหยวนสักหน่อย
ในศาลา ท่านโหวเทียนหยวนแววตาฉายประกาย มองไปที่ตัวนาง ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “ฮูหยิน พวกเราคุยกันสักหน่อยได้มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้า แล้วถามขณะที่หันหลังให้ “เจ้าคิดว่าระหว่างเรายังมีอะไรให้คุยกันดีๆ อีกเหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนยิ้มเจื่อน “เทพประจำดาวคนฉลูอาจจะต้องลงจากตแหน่ง ตำแหน่งท่านโหวของข้าก็อยู่ในวิกฤติแล้วเช่นกัน”
ปี้เยว่ฮูหยินตัวสั่นทันที ในดวงตาฉายแววตกตะลึง นางหันตัวมาช้าๆ และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อยากเดินเข้าไปหา แต่สุดท้ายก็ยังอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงร้ายแรงขนาดนี้ จึงค่อยๆ เดินเข้าไปในศาลา นั่งลงตรงหน้าเขา แล้วถามเสียงแข็งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เจ้าเองก็คงได้ยินเรื่องที่ตลาดผีแล้ว ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี หว่านแหดักพวกที่มีเจตนาแอบแฝง และเป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเก่าเจ้าก็เข้าร่วมเรื่องนี้เช่นกัน ตอนนี้เหยียบหมวกพวกขุนนางกระโดดข้ามตำแหน่งขึ้นไปสองตำแหน่งแล้ว”
การที่หนิวโหย่วเต๋อเลื่อนขั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปี้เยว่ฮูหยินรู้ถึงความสามารถของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว นางไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก ส่งข่าวไปแสดงความยินดีเรียบร้อยแล้ว และถือโอกาสถามถึงสถานการณ์ของลูกสาวด้วย แต่ที่นางตกใจคือเรื่องอื่น อดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนใจว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าก็ยื่นมือเข้าไปในตลาดผีเหมือนกัน คนของเจ้าติดกับดักเหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ถึงแม้ที่ตลาดผีจะมีหูตาของข้าอยู่ และข้าก็อยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเหมือนกัน แต่ข้าก็รู้กำลังตัวเอง ของที่มีคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มากมายขนาดนั้นจ้องอยากได้ อาศัยกำลังของข้าต่อให้หาเจอแต่ก็แย่งชิงมาไม่ได้อยู่ดี ข้าเลยไม่ได้คิดเพ้อฝัน”
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนถอนหายใจยาว แล้วบอกว่า “ข้าไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนของเบื้องบนไม่ได้เข้าร่วม ข้าได้ยินข่าวมาแล้ว เกรงว่าคนที่อยู่ข้างบนเทพประจำดาวจะไม่มีใครหลุดพ้นความเกี่ยวข้องนี้ เบื้องล่างมีคนตกอยู่ในมือเกาก้วนแล้ว เจตนาของฝ่าบาทในการอาศัยเรื่องนี้ถอดอำนาจเป็น เรื่องมาถึงตอนสุดท้ายทุกคนจึงรู้กันหมดแล้ว มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าหน่อยว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเทพประจำดาวคนฉลู เปลี่ยนให้คนของฝ่าบาทมารับตำแหน่งแทน มีหรือที่จะยอมให้ข้าครองตำแหน่งนี้ต่อไป ข้าไม่ได้เป็นแค่ลูกน้องเก่าของเทพประจำดาวคนฉลู ทั้งยังเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋งด้วย ถ้าไม่ถอดพวกเราทิ้ง เทพประจำดาวคนใหม่จะต้องเผชิญกับการโดนขนาบโจมตีทั้งข้างล่างบ้างบน จะต้องฉวยโอกาสที่ฝ่าบาทอ้างว่าสามารถบีบคนระดับบนได้เพื่อรีบกวาดล้างข้างล่างแน่นอน การกวาดล้างเป็นทอดๆ คือสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก”
“พวกอ๋องสวรรค์จะนั่งดูเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรได้ยังไง? ฝ่าบาทใช้วิธีแข็งกร้าวแบบนี้ ไม่กลัวคนข้างล่างจะก่อกบฏเหรอ?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนตอบว่า “ก็เกือบจะก่อกบฏ คนในราชสำนักล้วนหวาดหวั่นใจ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง ยุยงให้อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก่อกบฏแล้ว! ได้ยินว่ามีคนกำลังหยั่งเชิงท่าทีของตระกูลเซี่ยโห้วด้วย”
ปี้เยว่ฟังจนอกสั่นขวัญแขวน ถามว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วมีท่าทียังไง”
เทียนหยวนส่ายหน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วยืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างฝ่าบาท เรื่องบางเรื่องก็ชัดเจนมากแล้ว แค่กำลังของฝ่าบาทคนเดียวก็แข็งแกร่งเกินไป ในใต้หล้าแทบจะไม่มีใครสู้ได้ ต่อให้สามารถโค่นล้มใต้หล้าของประมุขชิงได้ แต่ก็ยากที่จะกำจัดประมุขชิงได้ นึกถึงศึกที่สู้กับประมุขไป๋ในปีนั้น มีคนตั้งเท่าไรล้อมโจมตี มียอดฝีมือผู้โด่งดังตั้งเท่าไรที่ตายด้วยน้ำมือประมุขไป๋ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขไป๋ต้องการจะช่วยประมุขปีศาจ ก็ไม่มีทางรั้งเขาไว้ได้เลย บทเรียนก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว บุคคลที่สามารถใช้กำลังตัวเองเพียงคนเดียวแล้วอยู่ในใต้หล้าได้อย่างอิสระ แค่คิดก็รู้แล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นประมุขชิงสามารถอาศัยกำลังของตัวเองเพียงคนเดียวเพื่อล้างแค้นที่ละคนได้เลย มิหนำซ้ำประมุขชิงยังมีการสนับสนุนจากประมุขพุทธะ ใต้หล้าวุ่นวายไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ายังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดประมุขชิงทิ้งได้อย่างราบคาบ ตระกูลเซี่ยโห้วจะตอบตกลงทำเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีอำนาจลับที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่เหนือกว่ากำลังทหารในมือสี่อ๋องสวรรค์หรอก ถ้าไม่มีกำลังทหาร ตระกูลเซี่ยโห้วเอาวิ่งเต้นไปก็มีแต่จะยกประโยชน์ให้คนอื่นเท่านั้น หลังจากเปลี่ยนประมุขใหม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีฐานะเหนือกว่าตอนนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นให้สิ้นเปลืองกำลังของตัวเอง ย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งประมุขชิงอยู่แล้ว เรื่องก่อกบฏจึงหยุดเองโดยไม่มีเหตุผลพิเศษอะไร แค่โดนเบื้องบนกดดันลงมาแบบนี้”
“แล้วผลลัพธ์ล่ะ?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวน “ถ้าจะบอกว่าใครอยากให้ใต้หล้าวุ่นวายที่สุด ก็ต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอน ตราบใดที่ยังมีกฏและความเป็นระเบียบอยู่ นั่นก็แปลว่าอาศัยกำลังของใต้หล้าเลี้ยงดูเขา เขาสามารถครอบครองทรัพยากรที่มหาศาลมากที่สุดในตลอดไป สามารถทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเขาแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็จะต้องยอมถอยให้เขา และแน่นอน เขาเองก็ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาเช่นกัน กลุ่มขุนนางในราชสำนักสงสัยผลการสืบสวนของเกาก้วน จึงร่วมมือกันต่อสู้ช่วงชิงจนได้อำนาจในการสืบสวนซ้ำมา นี่ก็คือการยอมถอยของฝ่าบาท เพราะในนั้นมีช่องว่างให้ดำเนินการใหญ่เกินไป ไม่กี่วันก่อนข้ากับเทพประจำดาวปรึกษากันเรื่องนี้ ได้ยินเทพประจำดาวเปิดเผยมานิดหน่อย ว่าเบื้องบนกับฝ่าบาทเหมือนจะแอบประนีประนอมกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว เบื้องบนจะต้องรักษาคนส่วนใหญ่เอาไว้แน่นอน แต่จะต้องทิ้งคนส่วนหนึ่งเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนฝ่าบาท คนระดับจอมพลขึ้นไปไม่เป็นอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบมากเกินไป แต่ถ้าน้ำหนักในการตอบแทนเบาเกินไปก็ไม่ได้อีก ดังนั้นสี่อ๋องสวรรค์อาจจะถอดเทพประจำดาวฝ่ายละสองคน ส่วนรายละเอียดว่าจะถอดใคร ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายเบื้องบนก็คงไม่ประกาศ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความวุ่นวาย ตอนนี้ก็ต้องคอยดูแล้วว่าใครจะซวย เดิมทีข้าเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่กลับถูกยัดเข้าไปใต้บังคับบัญชาเทพประจำดาวคนฉลู…เฮ้อ!”
ปี้เยว่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เป็นเพราะอ๋องสวรรค์อิ๋งไม่ค่อยวางใจเทพประจำดาวคนฉลู ดังนั้นถึงได้จับเทียนหยวนยัดมาไว้ในบังคับบัญชาเขา หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีความเป็นไปได้สูงว่าเทพประจำดาวคนฉลูจะถูกอ๋องสวรรค์อิ๋งทิ้ง!
นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พอเกิดเรื่องขึ้น ทำไมเจ้าไม่ไปขอพึ่งพาฝ่าบาทโดยตรงล่ะ?”
ท่านโหวเทียนหยวนยิ้มเจื่อน “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าไม่ไปพึ่งพาฝ่าบาทก็ยังพอมีทางรอดอยู่บ้าง อย่างมากก็เสียตำแหน่งขุนนางไป แต่ถ้าไปขอพึ่งพาฝ่าบาทจริงๆ ก็มีแต่จะถายสถานเดียวเท่านั้น มีหรือที่อ๋องสวรรค์อิ๋งจะปล่อยคนทรยศที่มีระดับแบบข้าไป ไม่ว่าจะเป็นในที่แจ้งหรือที่ลับ ถ้าต้องยอมแลกทุกอย่างจริงๆ วิธีที่เขาจะทำให้ข้าตายมีตั้งเยอะแยะ ต่อให้ทำไปเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็ไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่นอน! ฝ่าบาทจะฉีกหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งเพื่อข้ารึไงล่ะ?”
“แล้วเจ้าจะทำยังไง?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนตอบ “ยังจะทำยังไงได้อีก ต่อไปก็ต้องไปที่จวนอ๋องสวรรค์บ่อยขึ้น รื้อฟื้นสัมพันธ์กับสหายเก่าที่จวนอ๋องสวรรค์ให้มากขึ้น คาดว่าอ๋องสวรรค์คงจะสังเกตเห็น หวังว่าอ๋องสวรรค์จะไตร่ตรองจนคิดได้ ว่าจะไม่ทำให้คนที่ติดตามรับใช้มาตลอดผิดหวังท้อใจและช่วยดึงตัวข้ามาได้ในช่วงเวลาสำคัญ ต่อให้จะไม่ได้เป็นขุนนางก็ไม่เป็นไร ขอเพียงรักษาชีวิตไว้ได้ก็พอ ตราบใดที่มีชีวิตย่อมมีหวัง ที่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ว่าหลังจากข้าไปครั้งนี้ ก็อาจจะไม่ได้มาเจอเจ้าอีกนาน ไม่อย่างนั้นถ้าไปมาหาสู่กันบ่อยเกินไป คนที่มารับตำแหน่งต่อจากข้าก็อาจจะไม่ปล่อยเจ้าไป อาจจะมาหาเรื่องเจ้า พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่สามีภรรยาอย่างเจ้ากับข้าทะเลาะกันจนเกิดวิกฤติ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเจ้าก็ได้ เฮ้อ! ข้าพูดเท่านี้แหละ ข้าไปก่อนนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากศาลาไป
“เจ้าก็ระวังตัวหน่อย”
จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงห่วงใยดังมา ท่านโหวเทียนหยวนหยุดเดินแล้วหันตัวมา เห็นเพียงปี้เยว่ที่เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังยืนมองเขาอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เหอะๆ! ต่อให้ทำเพื่อฮูหยิน ข้าก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้!” เทียนหยวนหัวเราะเสียงกัง ก่อนเงาร่างจะแวบหายไป
ปี้เยว่ถอยหลังสามก้าวอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำสีหน้าเหมือนทนไม่ไหว ว่ากันว่า ‘เป็นผัวเมียกันวันเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน’ ถึงอย่างไรเทียนหยวนกับนางก็เป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกัน ไม่ว่าเทียนหยวนจะทำผิดต่อนางหรือไม่ แต่ลับหลังนางก็ทำเรื่องผิดต่อเทียนหยวนเช่นกัน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเทียนหยวนคิดถึงนางได้ ยังไม่ลืมความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาส่วนนั่น ทำให้ความโกรธแค้นของนางหายไปในทันที กลับเหลือเพียงการตำหนิตัวเอง ตอนนี้ตัวนางอยู่ระหว่างชายสองคน นางเองก็ไม่รู้ว่าจะตัดขาดได้อย่างไร…
“อะไรนะ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิไม่มีสักคนเลยเหรอ?”
ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงพลันตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วจ้องเกาก้วนอย่างเดือดดาล “เป็นไปไม่ได้! เกาก้วน เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่?”
…………………………