พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1431 เข้าประจำการที่อุทยานหลวง
เขาแทบจะคิดจากสัญชาตญาณว่าการสืบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาครั้งนี้มีปัญหา ก็อย่างที่เขาบอกไว้ เป็นไปไม่ได้ที่ในนั้นจะไม่มีผู้เหลือรอดของหกลัทธิอยู่
เกาก้วนที่เหมือนความเย็นชาจะกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปแล้ว ตอนนี้แทบจะไม่แสดงอาการลุกลนผิดปกติใดๆ สีหน้าสงบนิ่งมาก และไม่แก้ตัวให้ตัวเองด้วย ใช้สองมือดันแผ่นหยกให้ “ตรวจสอบที่มาที่ไปของทุกคนหมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในนี้ขอรับ ตอนนี้มีคนส่งต่อให้บรรดาขุนนางใหญ่ตรวจสอบซ้ำแล้ว ถึงตอนนั้นจะสามารถตรวจสอบผลลัพธ์ที่ทั้งสองฝ่ายค้นหาหลักฐานมา”
ฝ่ายขุนนางใหญ่ไม่ลำเอียงเข้าข้างเกาก้วนแน่นอน สิ่งนี้ปลอมแปลงไม่ได้
พอนึกถึงตรงนี้ ประมุขชิงก็ค่อยๆ เก็บสำรวมความรู้สึก ใจเย็นลงแล้ว พบว่าตัวเองคิดมากไป จึงโบกมือดูดบันทึกการสืบสวนเข้ามา ยกมือกดลงบนโต๊ะ แล้วหรี่ตาพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะไม่คิดอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ ตอนนี้ในกับดักกลับไม่มีผู้เหลือรอดของหกลัทธิสักคน ด้วยประสบการณ์ในการสืบสวนหลายปีของเจ้า เจ้าคิดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน?”
เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่น่าสงสัย ยังมีอีกขอรับ คนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีสักคนเช่นกัน ข้าน้อยขอบังอาจถามสักคำ นี่คือสาเหตุที่ฝ่าบาทส่งจ้านหรูอี้ให้เข้าร่วมเรื่องนี้ใช่มั้ยขอรับ” สิ่งที่จะสื่อก็คือ ประมุขชิงจงใจจะปล่อยข่าวให้พวกลูกพี่ใหญ่พวกนั้นรู้ใช่หรือไม่
“ไม่ผิดหรอก! เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะฉีกหน้าพวกเขา” ประมุขชิงยอมรับอย่างไม่ลังเล ดวงตาฉายแววแปลกประหลาดและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แทบจะถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้ากำลังหมายความว่า ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนปล่อยข่าวเหรอ?”
เกาก้วนตอบว่า “หลังจากวางหมากไว้แล้ว ก็ให้ลูกน้องตัดขาดการติดต่อกับภายนอกก่อนที่จะลงมือจริงๆ เดิมทีลูกน้องก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เบื้องบนมีเพียงฝ่าบาทกับข้าน้อยที่รู้เรื่องนี้ ประการต่อมา ประการต่อมา ฮวาอี้เทียนก็วางแผนกับจ้านหรูอี้โดยตรง คนที่มีโอกาสมากที่สุดที่ปล่อยข่าวล่วงหน้าก็มีแค่พวกเราสี่คนขอรับ”
ประมุขชิงเงียบงัน เขาย่อมไม่ปล่อยข่าวตรงๆ อยู่แล้ว เกาก้วนเป็นขุนนางโดดเดี่ยว แทบจะล่วงเกินขุนนางทั้งราชสำนักหมดแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าถ้าแยกจากตนไปจะมีจุดจบเป็นอย่างไร มีเพียงการเกาะติดอยู่ข้างกายตนเท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ส่วนฮวาอี้เทียนก็เป็นคนที่เขาคัดแล้วคัดอีก ความเป็นไปได้ที่จะเปิดเผยความลับก็มีไม่มากเช่นกัน…
เกาก้วนมองดูปฏิกิริยาของเขา แล้วพูดต่อไปว่า “ท่ามกลางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ คนที่รู้ข่าวจริงๆ มีเพียงฮวาอี้เทียนกับจ้านหรูอี้ คนที่ติดกับดักไม่มีคนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว เช่นนั้นแม้แต่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิก็ไม่ติดกับดักเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นควรค่าแก่การคิดทบทวน!”
ประมุขชิงเริ่มทำสีหน้าดุร้าย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในบรรดาสี่อ๋องสวรรค์มีคนเหยียบเรือสองแคม กำลังสมคบคิดกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิเหรอ? เจ้าคิดว่าเป็นใคร?”
“ไม่ทราบขอรับ! นอกจากสี่อ๋องสวรรค์แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นไปได้เช่นกัน” เกาก้วนส่ายหน้า
ประมุขชิงบอกอีกว่า “ต่อให้จ้านหรูอี้จะปล่อยข่าวไปแล้ว แต่สี่อ๋องสวรรค์ก็มีแต่จะบอกข่าวกันเองเท่านั้น ไม่มีทางบอกตระกูลเซี่ยโห้ว พวกเขาอยากจะให้เกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วจะแย่ ถ้ามีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เป็นอะไรไป พวกเขาถึงจะมีโอกาสยื่นมือไปที่อำนาจใต้ดิน แล้วสร้างตัวเองให้ใหญ่ขึ้น ในแผนที่ข้าวางไว้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นเพียงผู้ที่รู้ข่าวคนสุดท้ายเท่านั้น ข้าสร้างแรงกดดันให้พวกเขา พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน เรื่องแรกที่ต้องทำคือรักษาชีวิตตัวเอง พวกเขาไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับทุกคนได้ทัน อย่างน้อยก็ต้องมีผู้เหลือรอดของหกลัทธิบางส่วนติดกับดักบ้าง ดังนั้นตัดตระกูลเซี่ยโห้วออกได้เลย ถ้ากำหนดเป้าหมายไว้ที่สี่อ๋องสวรรค์ เจ้าคิดว่าใครน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด?”
เกาก้วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ทราบขอรับ! สถานการณ์ไม่ชัดเจน ทั้งสี่อ๋องสวรรค์ล้วนเป็นไปได้!”
ประโยคที่บอกว่า ‘ล้วนเป็นไปได้’ ทำให้สี่อ๋องสวรรค์ยากที่จะหลุดพ้นการตกเป็นที่ต้องสงสัย คำพูดนี้เหมือนเข็มที่แทงโดนอะไรบางอย่าง ทำให้ประมุขชิงพลันหรี่ตา จากนั้นเริ่มแสยะยิ้มอย่างเยียบเย็น “สงสัยข้าจะมีเมตตามากเกินไปสินะ คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าพวกเขารึไง?”
ที่บอกกันว่าราชามักขี้ระแวงก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ล้วนถูกกดดันทั้งนั้น
เกาก้วนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขารู้ชัดเจนดีมาก ภายใต้ศึกภายนอกและศึกภายใน ประมุขชิงโมโหก็ส่วนโมโห แต่ไม่มีทางฉีกหน้าขุนนางคนสำคัญของตัวเองง่ายๆ ไม่ให้คนนอกได้ฉวยโอกาสยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะมีใครสร้างภายคุกคามต่อเขาอย่างแท้จริงๆ เขาก็จะพยายามรักษาระเบียบในปัจจุบันเอาไว้ หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำอย่างช้าๆ ไม่ใช่วิธีการที่ทำให้ใต้หล้าผันผวนรุนแรงเกินไปแน่
และประมุขชิงก็โกรธง่ายหายเร็วเช่นกัน ไม่นานก็ใจเย็นลงแล้ว โบกมือให้เกาก้วนถอยออกไป ขณะเดียวกันก็บอกให้ซ่างก่วนชิงมาพบเขา
หลังจากซ่างก่วนชิงเข้ามาทำความเคารพแล้ว ประมุขชิงก็กล่าวเสียงเรียบว่า “แจ้งให้ทางอุทยานหลวงเปลี่ยนผลัดป้องกันเถอะ”
“รับทราบ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง
คำสั่งให้กองมังกรดำไปประจำการต่อที่อุทยานหลวงกับสวนบรรณาการอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นหลังจากเหมียวอี้คุมกองมังกรดำได้สามเดือน
เมื่อคำสั่งมาถึง ทัพใหญ่ก็ออกเดินทาง เหมือนที่อวี่จ้งเจินบอกไว้ สวนบรรณาการพันแห่งทั้งใต้หล้าใช้คนเฝ้าไม่เยอะเท่าไร แต่ละสวนบรรณาการส่งคนไปเฝ้าหนึ่งร้อยคนก็พอแล้ว มีทัพใหญ่หนึ่งแสนก็เพียงพอ เหมียวอี้ส่งต่อภารกิจนี้ให้ธงพยัคฆ์ดำ ให้ชวีหย่าหงนำคนไปเปลี่ยนผลัดป้องกัน ในภายหลังสิบธงพยัคฆ์ของกองมังกรดำก็จะผลัดกันเฝ้าสวนบรรณาการ ให้ทุกคนมีโอกาสได้ประสบการณ์ หลังจากชวีหย่าหงนำคนออกไปแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เหลือก็ถูกเหมียวอี้นำไปที่อุทยานหลวง
ระหว่างทางเมื่อถึงตลาดสวรรค์แห่งหนึ่ง เหมียวอี้สั่งให้ทัพใหญ่หยุดพักผ่อนชั่วคราว โดยอ้างว่าจะให้โอกาสกำลังพลได้ทำกิจกรรมอิสระเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนขาดเหลืออะไรหรืออยากซื้ออะไรก็ทำที่นี่ให้จบไปเลย พอเข้าไปที่อุทยานหลวงแล้วจะต้องรักษากฎอย่างเข้มงวด
แน่นอนว่านี่เป็นข้ออ้างของเหมียวอี้ ทุกคนตั้งค่ายพักอยู่ในป่ารกร้างไกลจากตลาดสวรรค์ ส่วนเหมียวอี้ก็ปลอมตัวเข้าไปในเมือง แล้วก็เข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งโดยมีเหยียนซิวไปด้วย
เถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจีเหม่ยลี่นั่นเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังร้านนี้คือใคร เหมียวอี้ถือโอกาสผ่านทางนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมนางโดยเฉพาะ
ในชัยภูมิถ้าสวรรค์ เหมียวอี้นั่งชันเข่าบนเสื้อ กำลังมองดูผู้หญิงที่กำลังนั่งยองๆ เตรียมของต้มน้ำชาอยู่ตรงข้าม นางนิ่งเงียบ รักษาระยะห่างไม่ยอมเข้าใกล้เขามาตลอด
หลังจากอยู่ด้วยกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า “อยู่ที่นี่ยังสบายดีมั้ย?”
จีเหม่ยลี่พยักหน้า “อิสระกว่าอยู่ที่ดาวเทียนหยวน”
การพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ไม่มีวันอบอุ่นมีน้ำใจไมตรีขึ้นมาได้ เหมียวอี้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่ตัวเองฆ่าจีเหม่ยเหมยน้องสาวของนาง ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่จากนั้นจีเหม่ยลี่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน “อยู่กี่วันล่ะ?”
“มีเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น” เหมียวอี้ตอบ
จีเหม่ยลี่เงียบไปอีกแล้ว นางรินน้ำชา แล้วดันถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าเขา
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับมือเรียวขาวของนาง แล้วผลักน้ำชาไปด้านข้าง “ไม่ดื่มน้ำชาแล้ว ไม่คิดจะอยู่กับข้าหน่อยเหรอ?”
จีเหม่ยลี่เข้าใจความหมายของเขา ใบหน้านางแดงเล็กน้อย ออกแรงชัดมือกลับมา จากนั้นพลิกฝ่ามือร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟที่เตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันตัวเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ แล้วก็ลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้องนางเช่นกัน ถือโอกาสปิดประตูแล้ว…
ใช้เวลาเหาะเดินทางหลายเดือน สุดท้ายทัพใหญ่ก็มาถึงดาราจักรที่เป็นศูนย์กลางของตำหนักสวรรค์แล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ ก็ไม่อนุญาตให้ครอบครัวของกำลังพลเข้าไปด้วย พวกภรรยาอะไรก็ต้องอยู่ต่อข้างนอก มีดาวเคราะห์เล็กๆ สำหรับใช้เป็นที่พักของครอบครัวทหารโดยเฉพาะ
เสวี่ยหลิงหลง ชิงจวี๋ หลินผิงผิงทั้งหมดต้องรออยู่ข้างนอก แม้แต่เฟยหงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แน่นอน ที่นี่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ทหารประจำการจะได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมครอบครัวได้บางช่วงเวลา และไม่ต้องกังวลว่าหลังจากตัวเองเข้ามาในอุทยานหลวงแล้วจะไม่มีใครดูแล ในอุทยานหลวงมีเทพธิดาจำนวนมาก คอยทำงานจิปาถะทุกอย่าง จะแก้ปัญหาเรื่องในชีวิตประจำวันขั้นพื้นฐานให้พวกเขาได้
หลังจากผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดหลายขั้น ทุกคนของกองมังกรดำก็ตื่นเต้นดีใจอีกครั้ง พวกเขาได้เห็นวังสวรรค์ที่มีบรรยากาศเป็นมงคลอยู่ท่ามกลางดาราจักรไกลๆ ทุกคนพากันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เพื่อมองทั่วทุกด้านของวังสวรรค์ให้ชัดเจน
เพียงแต่วังสวรรค์ไม่ใช่จุดหมายปลาทางของพวกเขา สถานที่สำคัญระดับนั้นไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะเข้าไปได้ง่ายๆ ศักยภาพของพวกเขามีไม่มากพอที่จะเฝ้าสถานที่สำคัญแบบวังสวรรค์ ดาวเคราะห์แสนสวยตรงหน้าที่เชื่อมต่อกับวังสวรรค์อยู่ไกลๆ ต่างหากที่เป็นสถานที่ประจำการของพวกเขา ถึงอุทยานหลวงแล้ว!
มีคนมานำทาง ทัพใหญ่บุกเข้าไปในดาวเคราะห์แสนสวยดวงนั้น
กำลังพลเหยียบลงระหว่างแนวเทือกเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียนเพื่อรอฟังคำสั่ง จู่ๆ บนฟ้าก็มีหงส์เฟิ่งหวงสีรุ้งที่สวยแพรวพราวตัวหนึ่งบินผ่านมา มันส่งเสียงร้องก้องกังวานราวกับเสียงทองกระทบหยก ดึงดูดให้ทุกคนเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย
จากนั้นก็มีเงาคนหลายคนแฉลบผ่านฟ้าเข้ามา แม่ทัพภาคที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่มารับด้วยตนเอง
หลังจากทักทายกันตามมารยาท เหมียวอี้ก็นำคนตำแหน่งสำคัญของกองมังกรดำตามไปที่จวนแม่ทัพภาค ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งต่องานกันอย่างเป็นทางการ
จวนแม่ทัพภาคตั้งอยู่บนยอดเขาที่สวยงามแห่งหนึ่ง ทุ่งดอกไม้ที่ละลานตาเหมือนผ้าไหมสอดรับกับรุ้งหลายสายบนท้องฟ้า นกเทพนานาชนิดบินฉวัดเฉวียน ท้องฟ้าใสสะอาดราวกับอัญมณี
เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาแล้วทอดสายตามองออกไป ด้านนอกที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีพลังจิตวิญญาณที่หนาทึบปกคลุมราวกับหมอก ไม่สลายไปแม้อยู่ภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรง ต้นไม้โบราณหลายต้นแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณ มีไอหมอกสีม่วงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องไร้ขอบเขต เมื่อได้รับคำแนะนำถึงได้รู้ ว่าที่นั่นก็คือสวนท้อเซียนสามพันลี้ที่อวี่จ้งเจินบอกนั่นเอง
หลังจากปรึกษาหารือกันเป็นเวลาครึ่งวัน บวกกับถามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายพวกเหมียวอี้ก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของอุทยานหลวงแล้ว
หลังจากบุคคลในตำแหน่งสำคัญของกำลังพลเดิมที่ประจำการอยู่ที่นี่นำเหมียวอี้และพวกลูกน้องไปเฝ้าแทนที่แต่ละจุดแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งล้านของกองมังกรดำก็แยกย้ายกันไปตามแต่ละจุด
ใช้เวลาไปแล้วสามวันเต็มๆ หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งต่องานกันเสร็จแล้ว กำลังพลเดิมก็รวมตัวกันแล้วเหาะจากไปอย่างเป็นทางการ
หลังจากส่งฝ่ายนั้นเสร็จ เหมียวอี้ที่พอจะเข้าใจสถานการณ์โดยรวมบ้างแล้วก็หันตัวมา เห็นจ้านหรูอี้มีท่าทางเคยชินไม่ตื่นเต้นเหมือนกับคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่เคยมาที่นี่?”
จ้านหรูอี้เอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ “หลังจากได้รับตำแหน่งแล้วก็แทบจะไม่ค่อยได้มาเลย เมื่อก่อนติดตามคนที่บ้านมาบ่อย ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท บ้านข้าก็มีสวนอยู่ทางนั้นสวนหนึ่ง” นางยกมือชี้ไปทางนั้น
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “สมกับเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าจะเทียบติด ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่คุ้นเคยกับที่นี่ คราวหลังถ้าเจอสถานการณ์อะไรที่ไม่คุ้นเคย เกรงว่าจะต้องรบกวนให้ผู้บัญชาการใหญ่เป็นผู้นำทางแล้ว”
จ้านหรูอี้กุมหมัดคารวะ “หากท่านแม่ทัพภาคมีคำสั่ง ข้าน้อยก็มิบังอาจไม่ทำตาม”
ที่จริงเหมียวอี้ก็ยังไม่ทันได้ชื่นชมทิวทัศน์ของอุทยานหลวงเลย เขายังอยู่ในจวนแม่ทัพภาคและรวบรวมรายงานสถานกาณ์ที่พวกลูกน้องแยกย้ายกันไปสำรวจ หรือพูดได้อีกอย่างว่ากำลังทำความคุ้นเคยสถานการณ์ แต่จู่ๆ กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยม
“นายท่าน ท่านแม่บุญธรรมของท่านมาแล้ว” จ้านหรูอี้เข้ามารายงาน ตอนนี้นางโดนเหมียวอี้กดข่ม โดนปล้นอำนาจไปหมดแล้ว ใช้ชีวิตการทำงานอย่างน่าอนาถนิดหน่อย เป็นผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางผู้สง่าผ่าเผยแท้ๆ แต่เรื่องเดียวที่ได้ทำก็แทบจะมีแต่คอยวิ่งเต้นรายงานเข้าข้างนอกกับข้างใน
“ท่านแม่บุญธรรม?” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินความหมายแฝงที่เหมือนกล่าวเหน็บแหนมจากปากจ้านหรูอี้ เขาก็เข้าใจทันที นอกจากแม่เฒ่าลวี่แล้วยังจะมีใครอีก
…………………………