พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1434 วิ่งชนพาหนะหงส์
ที่จริงก็มีไม่กี่คนหรอกที่อยากจะไปเที่ยวเล่นกับเขา ไปเที่ยวเล่นกับผู้บังคับบัญชาที่อยู่บนหัวตัวเอง จะเพลิดเพลินใจได้ก็แปลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่กลิ่นคาวเลือกยังไม่สลายไปแบบนี้
แต่ก็ไม่มีทางเลือก การไว้หน้าเล็กน้อยนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำ จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ตอนนี้ใครจะพูดได้ละว่า ‘ข้าน้อยมีธุระขอตัวก่อน?’
“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
จะมีสักกี่คนที่พูดออกมาจากใจจริง? ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงทีนั่งอยู่เบื้องบน หรือจะเป็นขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างล่าง ในใจต่างรู้ทั้งนั้น
สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนล้วนมีท่าทางเต็มใจที่จะไป
ประมุขชิงกลับไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักหลังก่อน พอโผลมาอีกครั้งก็สวมชุดชุดลำลองแล้ว ซ่างก่วนชิงเดินลงบันไดตามอยู่ข้างหลัง กลุ่มขุนนางแยกออกเป็นสองฝั่ง รอจนกระทั่งประมุขชิงเดินผ่านไปแล้ว พวกเขาถึงได้เดินตามหลัง
นอกตำหนักฟ้าดิน เกี้ยวใหญ่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มังกรทองตัวใหญ่สองตัวลากเกี้ยวใหญ่หรูหราที่คันหนึ่งเหมือนเรือโหลวฉวน ข้างหน้าและข้างหลังมีกองทัพองครักษ์คอยคุ้มกัน
ประมุขชิงขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว ก้าวเข้าไปนั่งอยู่เบื้องสูงบนพลับพลา กลุ่มขุนนางทยอยกันตามขึ้นไป แต่กลับยืนอยู่สองฝั่งตรงตีนบันไดด้านนอกพลับพลา
“อ๋าว…” มังกรทองสองตัวคำรามพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นลมพัดเมฆม้วน คอยๆ ลากเกี้ยวใหญ่ลอยขึ้นบนท้องฟ้า แล้วเพิ่มความเร็วทีละนิดทยอยขึ้นฟ้าไป เหาะไปยังดาราจักร โดยมีทหารสวรรค์นับพันตามหลัง
ตั้งแต่ตอนที่คนฝั่งนี้ยังไม่ทันออกเดินทาง เหมียวอี้ที่อยู่ทางอุทยานหลวงก็ได้รับข่าวจากเบื้องบนแล้ว รีบเรียกกำลังพลหนึ่งแสนไปคุ้มกันที่ทุ่งนาฝั่งนั้น ที่จริงเรื่องคุ้มกันก็ยังไม่ถึงคราวของพวกเขาหรอก แค่ไปช่วยกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกก็เท่านั้น พวกเขาก็มีสิทธิ์แค่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างๆ เช่นกัน
แต่กลุ่มคนของกองมังกรดำที่จะเข้าร่วมเรื่องนี้ พอนึกว่าตัวเองจะได้เห็นราชันสวรรค์ที่คนร่ำลือกัน แต่ละคนก็ตื่นเต้นกังวลใจนิดหน่อย คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นราชันสวรรค์มาก่อน เหมียวอี้ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยเช่นกัน รีบสั่งให้คนที่อยู่ตรงจุดอื่นของอุทยานหลวงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ฝ่าบาทเสด็จมาเยือนถึงที่ ไม่แน่ว่าอาจจะไปตรวจดูตรงไหนก็ได้ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด
กำลังผลกำลังกระจายตัวล้อมรอบผืนนาที่กว้างใหญ่ ยังไม่ทันเห็นราชันสวรรค์มาถึง แต่กลับเห็นหงส์เฟิ่งหวงสีรุ้งสองตัวลากเกี้ยวหงส์หลังหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้าแล้ว ทั้งยังมีกลุ่มองครักษ์ติดตามอยู่ข้างหลังด้วย
ด้านล่างและด้านบนเกี้ยวหงส์มีสตรีที่งามเลิศล้ำกลุ่มหนึ่งราวกับฝูงนกกระจาบ ถ้าจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันก็แปดร้อย แต่ละคนสวมชุดกระโปรงผ้าดิบ ล้อมรอบผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดาราวกับดาวล้อมเดือน แต่ลักษณะท่าทางของผู้หญิงคนนี้ก็ดูสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ สง่าราศีที่ดูแพงแสดงออกมาให้เห็น
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เตือนเสียงเบาว่า “นายท่าน ราชินีสวรรค์มาแล้ว ผู้ที่ติดตามมาคงจะเป็นนางสนมของฝ่าบาท”
เหมียวอี้พอจะเดาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นใครจะกล้านั่งเกี้ยวหงส์มาประกาศให้คนเห็นที่นี่
เพียงคนระดับอย่างเหมียวอี้ แค่มองดูไกลๆ ก็พอแล้ว ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปตีสนิท
ไม่นานเกี้ยวหงส์ก็เหาะผ่านไปแล้ว เห็นเพียงผู้หญิงกลุ่มนั้นทยอยกันหยิบเครื่องมือทำการเกษตรออกมา แล้วกระซิบกระซาบกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอะไร เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง จ้านหรูอี้มองปฏิกิริยาของเขา แล้วกลั้นขำพร้อมถามว่า “นายท่าน รู้สึกอนาถจนทนมองไม่ได้ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยอมรับในใจ แต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ออกมาได้ กลับถลึงตาจ้องจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง “ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ก็อย่าโทษที่ข้าใช้กฎทหารลงโทษนะ!”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเทพธิดาคนหนึ่งเหาะเข้ามา นางเหยียบลงพื้นแล้วกวาดมองพวกเขา พร้อมถามว่า “ท่านไหนคือแม่ทัพภาคที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่?”
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาตอบทันที กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “ข้าน้อยเองขอรับ”
เทพธิดาย่อตัวเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ราชินีสวรรค์แจ้งมาว่ามีบางอย่างจะถามท่านแม่ทัพภาค ตามข้ามาค่ะ!”
“รับทราบ!” เหมียวอี้เหาะตามนางไปทันที
เหมียวอี้เคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าเหาะขึ้นเหาะลงต่อหน้าราชินีสวรรค์ กลัวว่าจะทำให้พาหนะหงส์แตกตื่น จึงเหยียบลงพื้นในจุดที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินไป รีบมองประเมินผู้หญิงกลุ่มนั้น ผลก็คือพบว่าผู้หญิงคนนั้นจ้องประเมินตนอยู่เช่นกัน เขาจึงรีบก้มหน้า ไม่กล้ามองผู้หญิงของราชันสวรรค์ซี้ซั้วต่อหน้าฝูงชน
เหมียวอี้กังวลนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าเพิ่งมาได้ไม่นานก็จะต้องพบ ราชินีสวรรค์ผู้เป็นมารดาแห่งใต้หล้าเสียแล้ว
ตรงจุดไกลๆ พวกจ้านหรูอี้ก็กำลังจ้องมองมาทางด้านนี้เช่นกัน
พอเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ก็รักษาระยะห่างสามจั้ง แล้วกุมหมัดคารวะ “หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคเฝ้าอุทยานหลวง คำนับราชินีสวรรค์!” สายตาเขาจ้องไปที่พื้น ไม่กล้ามองตรงๆ
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา กลุ่มสตรีงามเลิศล้ำฝั่งซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อย มีคนไม่น้อยกำลังสุมหัวกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ในตำแหน่งสูงมานานใช้แววตาที่แฝงความน่าเกรงขามจ้องประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งกองมังกรดำทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยังคงกุมหมัดคารวะค้างไว้ สายตายังคงจ้องพื้น “เป็นข้าน้อยเองขอรับ”
สายตาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดอยู่บนตัวเขา แล้วก็กวาดมองรอบๆ อีกแวบหนึ่ง “ฝ่าบาทล่ะ?”
เหมียวอี้พึมพำในใจ ‘เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?’ แต่ภายนอกยังตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “ฝ่ามาเสด็จมาเยือนอุทยานหลวง เจ้าอยู่ในฐานะแม่ทัพภาคเฝ้าอุทยานหลวง ไม่รู้เชียวเหรอว่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหน?”
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งว่าให้ต้อนรับเสด็จที่นี่ อย่างอื่นก็ไม่รู้จริงๆ ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เขาไม่รู้จริงๆ ไม่รับรายงานใดๆ จากลูกน้องเลย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าประมุขชิงอยู่ที่ไหน
ทว่าเมื่อกล่าวประโยคแก้ตัวนี้ออกมา กลุ่มนางสนมก็รีบส่งสายตาให้กัน คนที่รู้จักเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่างก็รู้ว่าคำพูดแก้ตัวนี้คงเหมือนกระด้างกระเดื่องต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะต้องลำบากแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันหรี่ตา แล้วตำหนิว่า “ตัวเองทำหน้าที่ไม่ดีแล้วยังกล้ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ! ทหาร ลากตัวเขาไปสั่งสอนสักหน่อย!”
เหมียวอี้พลันเงยหน้า สายตาจ้องไปที่ดวงตาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างคบกริบราวกับมีด
ท่ามกลางพาหนะหงส์ที่ติดตามมาอารักขามีคนถลันตัวออกมาสองคนทันที มาจับแขนสองข้างของเหมียวอี้ไว้ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ควบคุมตัวและลากเหมียวอี้ไปไว้ในป่าด้านหลังทันที
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หันกลับมามองแวบหนึ่งแสยะยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเคยเอ่ยถึง นางคงสั่งให้ลากตัวเหมียวอี้ไปประหารแล้ว แม่ทัพภาคคหนึ่งที่ไม่มีอำนาจใดๆ หนุนหลัง นางจะฆ่าก็ย่อมฆ่าได้ ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หันกลับมาอีกครั้งโบกมือ กลุ่มนางสนมแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างถือเครื่องมือไปยังผืนนาของตัวเอง ไม่ว่าฝ่าบาทจะอยู่หรือไม่อยู่ ทุกคนก็ต้องทำให้เห็นพอเป็นพิธี ถ้าฝ่าบาทเที่ยวเล่นผ่านมาทางนี้จำทำยังไงล่ะ?
องครักษ์ในวังสวรรค์ก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์เช่นกัน หลังจากชายวัยกลางคนทั้งสองลากเหมียวอี้เข้าไปในป่าแล้ส ขณะที่ถอนเกราะรบของเหมียวอี้ออก ก็ส่ายหน้าพร้อมบอกว่า “น้องชาย พวกเราก็เป็นพี่น้องของกองทัพองครักษ์เหมือนกันทั้งนั้น ชื่อเสียงของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาแล้ว ไม่อยากจะทำให้เจ้าลำบากเหมือนกัน แต่พวกเราได้รับคำสั่งมาให้ทำงาน ทำตามใจตัวเองไม่ได้ เจ้าเองก็อย่าโทษพวกเราเลย”
“ข้าทำผิดตรงไหน?” เหมียวอี้หันกลับมากัดฟันถาม
หนึ่งในนั้นยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ไม่รู้ตัวเหรอว่าพูดผิดไปแล้ว? อย่างเจ้าน่ะเรียกว่าวิ่งชนพาหนะหงส์ ไม่ดูเสียบ้างว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นใคร ถ้าพูดจาขัดหู หรือไม่เคารพเพียงนิดเดียวก็ทำให้หัวหลุดลงพื้นได้แล้ว นางแค่สั่งให้สั่งสอนเจ้าเฉยๆ ก็นับว่าเมตตาแล้ว” เกราะรบบนตัวเขาถูกโยนลงบนพื้นข้างๆ แล้วชี้ไประหว่างต้นไม้สองต้น “ไปยันไว้เองก็พอแล้ว อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไป อย่าขัดขืน ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้เบื้องบนโมโหก็จะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว”
เหมียวอี้หันไปเห็นอีกคนสะบัดแส้สยบมังกรออกมาแล้ว รู้สึกขนหัวลุกทันที รสชาติของสิ่งนี้ทำให้คนเสียขวัญเกินไป ตัวเองอยู่มาจนถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่ายังจะมีโอกาสลิ้มลองรสชาติของมันอีก! แต่เขาก็รู้ว่าการโดนฟาดครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลียงไม่ได้ จึงแข็งใจเดินไปอยู่ระหว่างต้นไม้สองต้น กางแขนกางขายันต้นไม้เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกินว่า “ทั้งสอง ข้าว่าเบาหน่อยก็ดีนะ”
“ไม่ต้องห่วง เป็นพี่น้องหน่วยองครักษ์ร้ายเหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พวกเราก็ไม่ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเจ้าหรอก ในใจรู้ดีอยู่แล้ว อดทนไว้หน่อย แค่สิบแส้เท่านั้น” พอคนคนนั้นพูดจบ แส้ในมือก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ เงาแส้ที่สะบัดออกมาสว่างมาก แต่ยังควบคุมแรงตอนที่ฟาดลงหลังเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าออมมือ เพียงแต่เสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้คนตกใจนิดหน่อย นับว่าทำให้คนที่ได้รับคำสั่งมาอธิบายกับเบื้องบนได้แล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ใช้แส้ฟาดต่อไป ก็ยังทำให้แผ่นหลังเหมียวอี้ฉีกจนมีก้อนเนื้อหลุดอยู่ดี
รสชาตินั้นยากจะบรรยายออกมาได้ “เอื้อ…” เหมียวอี้ครางออกมา เจ็บจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเดียวหน้าก็ซีดแล้ว
มีเนื้อหลุดออกจากร่างกายก้อนใหญ่ทั้งเป็นๆ ใครได้ลิ้มลองก็คงได้รู้รสชาตินั้น
ตรงจุดไกลๆ กำลังพลกองมังกรดำที่เห็นฉากนี้สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอะไรผิดกันแน่ เพิ่งจะออกไปเจอก็โดนสั่งลงโทษแล้ว เหยียนซิวสีหน้าบึ้งทันที กำหมัดสองข้างและก้าวออกไปได้ครึ่งก้าว แต่หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ รีบดึงแขนเขาไว้ ขณะเดียวกันหยางเจาชิงที่อยู่อีกด้านก็ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้
เหยียนซิวรู้ถึงความหมายที่หยางชิ่งสื่อ เมื่ออยู่ใสถานที่แบบนี้ อาศัยกำลังของตัวเองก็ไม่มีทางช่วยชีวิตใครได้เลย ถ้าทำซี้ซั้วก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง ไม่เพียงแค่ช่วยเหมียวอี้ไม่ได้ แต่กลับจะเป็นการทำร้ายเหมียวอี้ด้วยซ้ำ
เขาทำได้เพียงทำตัวแข็งทื่อดทนเอาไว้ ได้แต่มองดูโดยทำอะไรไม่ได้
ในสวนป่า หลังจากฟาดสิบแส้เสร็จแล้ว คนที่ปฏิบัติหน้าที่ลงโทษก็ถอดฟันของแส้ที่มีเลือดติดออกมา แล้วโบกมือไปตรงจุดไกลๆ ส่งสัญญาณให้คนเข้ามา
พวกจ้านหรูอี้รีบถลันตัวเหาะเข้ามา พอเข้ามาในป่า ก็เห็นแผ่นหลังของเหมียวอี้มีเลือดเนื้อปนกันเละเทะ เรียกได้ว่าเลือดสดหยดย้อย สามารถมองเห็นกระดูกสีขาวและอวัยวะภายในร่างกาย แขนขาทั้งสี่ที่เหมียวอี้ค้ำบนกิ่งไม้ก็สั่นเทิ้ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้ว คุกเข่าลงพื้นดังตุ้บ
ผู้ที่ทำหน้าที่ลงโทษเก็บแส้ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “มัวอึ้งอะไรอยู่ล่ะ ยังไม่รีบพานายท่านของพวกเจ้าไปรักษาอีก?”
ถ้าเขาไม่เอ่ยปากแล้วใครจะรู้สถานการณ์ล่ะ ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะยื่นมือเข้ามาแทรกได้หรือเปล่า ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้ พวกเหยียนซิวก็ย่อมรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ประคองเหมียวอี้ขึ้นมา ใช้ชุดคลุมยาวคลุมบนร่างกายเหมียวอี้ แล้วประคองตัวไปรักษา มีบางคนช่วยเก็บเกราะรบของเหมียวอี้ที่ร่วงอยู่บนพื้น
เรื่องบางเรื่องก็บังเอิญอย่างนี้ ที่จริงวังสวรรค์ก็อยู่ห่างจากอุทยานหลวงไม่ไกล พอเกี้ยวใหญ่ออกเดินทางก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ประมุขชิงคงจะรู้สึกว่าแค่ก้าวขึ้นเกี้ยวแล้วก็ก้าวลงเกี้ยวนิดหน่อยก็เท่านั้น จึงสั่งให้เกี้ยวใหญ่วนเล่นอยู่รอบดาราจักรรอบหนึ่ง
ยามปกติประมุขชิงก็ไม่วางมาดแบบนี้เช่นกัน เวลาจะไปอุทยานหลวงก็นำผู้ติดตามเหาะไปด้วยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่นั่งเกี้ยวใหญ่ไป เนื่องจากวันนี้นำกลุ่มขุนนางใหญ่มาด้วย ดังนั้นจึงต้องวางมาดสักหน่อย
ผลปรากฏว่าการวนอ้อมครั้งนี้ ทำให้เหมียวอี้ที่มีประสบการณ์คลุกคลีกับคนในวังน้อยได้รับความทนทุกข์ทรมานแล้ว
ในตอนนี้เกี้ยวใหญ่เลี้ยวกลับมา เหาะตรงมายังดาวเคราะห์ของอุทยานหลวงดวงนั้น แต่ซ่างก่วนชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเก็บระฆังดารา แล้วก้มหน้ากระซิบข้างหูประมุขชิง
“อ้อ! ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? สงสัยพอได้รีบตำแหน่งก็โดนแสดงบารมีใส่ทันที!” ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ แววตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ พูดหยอกว่า “เช่นนั้นก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคของอุทยานหลวงเลยแล้วกัน เหมือนข้าจะยังไม่เคยเห็นที่นั่นมาก่อน”
“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง และถ่ายทอดคำสั่งไปให้คนที่ขับเกี้ยวใหญ่อย่างรวดเร็ว
กลุ่มขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่นอกพลับพลาของเกี้ยวใหญ่ทยอยกันได้รับข่าวแล้ว ที่พวกเขาส่งกลุ่มสาวสวยเข้าไปบรรณาการในวังก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เซี่ยโห้วท่า ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่อยู่ท่ามกลางขุนนางกลุ่มนั้น พอได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น ข่าวบางอย่างที่ส่งมาจากตึกศาลาสัตยพรต เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังไม่รู้ และไม่มีทางที่จะบอกให้นางรู้เช่นกัน แต่หัวหน้าตระกูลอย่างเขากลับรู้ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ข้างๆ มีคนไม่น้อยกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา
………………………