พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1440 จ้านหรูอี้ที่สิ้นหวัง
หยางเจาชิงลังเล กำลังครุ่นคิดว่าจะไปบอกนายท่านดีหรือไม่
เมื่อเห็นเขาลังเล จ้านหรูอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาทันที เตรียมจะติดต่อเหมียวอี้โดยตรง
ใครจะคิดว่าเงาคนคนหนึ่งจะเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกกลุ่มคน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง
“นายท่าน!” หยางเจาชิงรีบเข้ามาทำความเคารพ
พอเหมียวอี้เห็นสภาพสถานที่ที่โดนล้อมไว้ ในใจมีข้อมูลคร่าวๆ แล้ว คาดว่าจ้านหรูอี้คงต้องการจะออกไปแต่โดนขัดขวางไว้
“นายท่าน ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?” จ้านหรูอี้ชี้ไปยังกำลังพลที่กำลังถืออาวุธยืนเรียงรายล้อมตัวเองอยู่ตอนนี้นางมีสีหน้าคับแค้น
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาเหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
จ้านหรูอี้กัดฟันทันที นางพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่กองมังกรดำจะทำกับนางแบบนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถึงอย่างไรภูมิหลังของนางก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ต่อให้เป็นโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่กล้าแตะต้องตนซี้ซั้ว
“ข้าน้อยมีเรื่องจะคุยกับนายท่านพอดี” จ้านหรูอี้หันตัวแล้วยื่นมือเชิญ ให้เหมียวอี้เข้าไปคุยกันในจวน นางไม่ถือตัวแล้ว ถึงขั้นลดศักดิ์ศรีนิดหน่อยด้วย
ไม่ลดศักดิ์ศรีไม่ได้หรอก เพราะถ้าอยากจะหนีออกจากที่นี่ก็ต้องอาศัยเหมียวอี้ ถ้าทำให้เหมียวอี้ไม่พอใจนางก็ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย เดิมทีนางก็อยากจะออกไปหาเหมียวอี้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ได้หนังสือคำสั่งของเหมียวอี้ ต่อให้นางออกไปจากอุทยานหลวงได้ ต่อให้กองมังกรดำสามารถปล่อยนางออกไปได้ แต่คนที่ควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ก็ไม่ปล่อยให้คนเข้าออกโดยพลการอยู่ดี ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป เป็นสถานที่สำคัญของตำหนักสวรรค์ ไม่ให้ใครเดินเล่นได้ตามอำเภอใจ
ถ้าเป็นยามปกติ การที่นางจะไปขอหนังสือคำสั่งสักฉบับจากเหมียวอี้ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เปลี่ยนเป็นตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ขอร้องคงไม่ได้แล้ว
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า โบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องวางอาวุธลง เดินผ่ากลางกำลังพลที่หลีกทางให้ แล้วเดินขึ้นบันไดตามจ้านหรูอี้เข้าไป
ที่จริงเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมจู่ๆ เบื้องบนจึงต้องการกักบริเวณจ้านหรูอี้ ที่เขามาครั้งนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ จะเกี่ยวข้องกับกองมังกรดำหรือเปล่า จะเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือเปล่า ถึงอย่างไรจ้านหรูอี้ก็เป็นคนของกองมังกรดำ และเป็นอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาด้วย ถ้ามีเรื่องขึ้นมาก็เป็นไปได้สูงที่เขาจะเข้าไปพัวพัน
กอปรกับเกิดเรื่องที่ตลาดผี ช่วงนี้มีขุนนางคนสำคัญของตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อยที่โดนกวาดล้าง รับประกันได้ยากว่าตระกูลอิ๋งกับตระกูลจ้านจะไม่เกี่ยวข้อง
พอเข้ามาในลานบ้านด้านใน เห็นเทพธิดาหลายคนเฝ้าสวนอยู่ จ้านหรูอี้จึงหยุดเดินแล้วหันมาบอกว่า “ให้พวกนางถอยออกไปก่อนได้มั้ย”
“อันนี้จำเป็นด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม
“จำเป็น!” จ้านหรูอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจมาก
เหมียวอี้จึงยกมือขึ้น “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
“รับทราบ!” พวกเทพธิดาที่ถูกจัดแบ่งมาอยู่สังกัดกองมังกรดำชั่วคราวต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้เป็นใคร พวกนางจึงเอ่ยรับและถอยออกไปแต่โดยดี
จ้านหรูอี้ยื่นมือเชิญอีกครั้ง หลังจากให้เหมียวอี้เข้าไปในโถงหลังแล้ว นางกลับหันตัวมาใส่กลอนประตู
แสงสว่างในห้องมืดลงไม่น้อย เหมียวอี้พลันหมุนตัวด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วจ้องนางด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำอะไรซี้ซั้ว เรื่องกักบริเวณไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ถ้าทำอะไรซี้ซั้ว คนที่เสียเปรียบก็จะเป็นเจ้าเอง”
จ้านหรูอี้แสยะยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ถ้าสู้กันขึ้นมาข้าก็เอาชนะเจ้าไม่ได้ ถ้าสะเทือนไปถึงคนข้างนอกก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับข้า”
คำเตือนของเหมียวอี้ก็หมายความอย่างนี้เหมือนกัน จากนั้นถามถึงประเด็นหลัก “มีเรื่องอะไรทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ความขัดแย้งก่อนหน้านี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรถือสาผู้น้อย ได้โปรดใจกว้างให้อภัยสักครั้ง”
เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งนะ นี่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ข้าเองก็ปฏิบัติตามคำสั่งเหมือนกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเจ้ากับข้า”
จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “ข้าไม่สนว่าจะเป็นประสงค์ของใคร ครั้งนี้ถือว่าข้าขอร้องเจ้าเถอะ ขอหนังสือคำสั่งให้ข้าเถอะนะ ให้ข้าออกไปจากที่นี่”
เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าทำอะไรล้อเล่นใช่มั้ย เบื้องบนมีคำสั่งให้กักบริเวณเจ้า มันใช่เรื่องเหรอที่จะปล่อยเจ้าออกไปโดยพลการ? แบบนั้นแปลว่าข้าเบื่อหน่ายที่มีชีวิตอยู่ต่อแล้วล่ะ” เขาชะงักไปชั่วขณะ เห็นในดวงตานางฉายแวววิงวอนรางๆ จึงถามอย่างสงสัยอีกว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
จ้านหรูอี้ยิ้มอย่างน่าเวทนาทันที “เรื่องอะไรน่ะเหรอ? เรื่องมงคลไงล่ะ ฝ่าบาทต้องการรับข้าเป็นสนม คาดว่าอีกไปกี่วันก็จะต้องเข้าวังแล้ว”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ทำสายตางุนงงนิดหน่อย ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ประมุขชิงต้องการจะรับผู้หญิงคนนี้เป็นสนมงั้นเหรอ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? จะเป็นไปได้อย่างไร? แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนกำลังโกหก พอนึกถึงท่าทางอวดดีของผู้หญิงคนนี้ในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับจะต้องเข้าวังไปแย่งชิงความรักกํบผู้หญิงนับหมื่น คิดไปคิดมาก็รู้สึกสะใจที่กรรมตามสนอง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “เป็นเรื่องมงคลจริงๆ ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าตรงนี้ก่อนเลยแล้วกัน”
“เจ้าเองก็อยู่ที่นี่มาสักระยะแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ของวังหลังเป็นยังไง ข้าไม่อยากไป ตอนนี้ที่นี่มีแค่เจ้าที่ช่วยให้ข้าออกไปได้ นายท่าน ข้าขอร้องเจ้าเถอะ” จ้านหรูอี้พูดจบแล้วคุกเข่าทันที คุกเข่าตรงหน้าเหมียวอี้ ทำสีหน้าเหมือนใกล้จะสิ้นหวัง ขอร้องวิงวอนซ้ำๆ “ช่วยข้าด้วย ขอร้องล่ะ ช่วยข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าช่วยเฉยๆ หรอก ต้องการค่าจ้างเท่าไรเจ้าเสนอมาได้เลย”
เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะคุกเข่าให้ตน เขาก้าวเท้าหลบเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จ้านหรูอี้ ต่อให้ข้าอยากจะช่วยเจ้าแต่ข้าก็ไม่มีความสามารถนั้น ถ้าข้าช่วยเจ้า แล้วตัวข้าจะทำยังไงล่ะ? อีกประเดี๋ยวถ้าข้าไม่ปกป้องชีวิตตัวเอง แล้วใครจะมาช่วยข้าได้ล่ะ? เรื่องแบบนี้เจ้าหาทางขอร้องท่านตาของเจ้าเถอะ อ๋องสวรรค์อิ๋งสามารถคุยต่อหน้าฝ่าบาทได้ ถ้าอยากจะช่วยเจ้าก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องมาทำให้ข้าลำบากใจ”
“ที่ให้ข้าเข้าวังเดิมทีก็เป็นประสงค์ของท่านตาอยู่แล้ว…” จ้านหรูอี้กัดริมฝีปาก แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “พวกเราไปด้วยกันเถอะ ออกไปจากที่นี่ด้วยกัน ข้าสามารถแต่งงานกับเจ้าได้ สามารถเป็นผู้หญิงของเจ้าได้”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามด้วยอารมณ์ที่ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรกัน?”
จ้านหรูอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ถ้าไปด้วยกันเจ้ากับข้าจะไม่เป็นอะไร ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าก็มอบร่างกายให้เจ้าได้ตอนนี้เลย ข้าสามารถเป็นผู้หญิงของเจ้าได้ตอนนี้เลย ต่อไปพวกเราก็ไปอยู่ด้วยกันในเขตของอำนาจท้องถิ่น ถ้ามีคนในครอบครัวข้าดูแล สวัสดิการก็ไม่ได้แย่กว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคของเจ้าเลย” พูดจบก็ถอดเกราะรบของตัวเองเลย แล้วทำท่าเหมือนจะถอดผ้าคาดเอวจริงๆ
จากสีหน้าท่าทางร้อนใจของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็มองออกว่านางไม่ได้โกหก นางคิดจะทำจริงด้วย แต่เขากลับหันตัวหนี แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างช้าๆ ขี้เกียจจะอยู่เป็นเพื่อน ขณะที่เดินไปก็พูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูใหญ่จ้าน หนิวคนนี้เป็นเพียงบุคคลต่ำต้อย อยู่เป็นเพื่อนไม่ไหว”
จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียง “แคว่ก” เขาหันกลับไปมอง ทำให้งงงวยทันที ร่างกายท่อนบนที่ขาวเหมือนหยกหิมะเปลือยล่อนจ้อนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว บนยอดเขาที่ขาวอวบอิ่มดุจหยกอ่อนมีผลไม้สีแดง ยั่วใจคนเป็นพิเศษ หัวไหล่สวยประณีตเนียนเกลี้ยงเกลา ร่างอรชรอ่อนช้อยขาวเนียนเหมือนก้อนเนย…
จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองภายใต้ความร้อนใจ เสื้อที่ขาดรุ่ยห้อยอยู่ระหว่างเอว อย่าว่าแต่เหมียวอี้ที่งงงวย นางก็เหมือนจะตกใจกับการกระทำของตัวเองเช่นกัน ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอก แต่สุดท้ายก็ยังวางมือลงอย่างช้าๆ นางกัดริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเตือนว่า “เจ้าลองเดินออกไปสิ ข้าจะตะโกนทันทีว่าเจ้าล่วงเกินข้า ล่วงเกินสนมของฝ่าบาทจะมีผลที่ตามมาเป็นยังไง ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะนะ”
ตอนนางยังไม่ขู่ก็ยังดีหน่อย แต่พอโดนขู่ก็ทำเสียเรื่องทันที เหมียวอี้รู้สึกอับอายจนโมโหเพราะติดกับดักกลอุบาย แต่ความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาหันหน้าแล้วเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ข้าก็จะบอกว่าข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถึงยังไงทุกคนก็รู้ว่าเจ้ากับข้าเป็นศัตรูกัน เจ้าคอยดูว่าเบื้องบนจะเชื่อข้าหรือเจ้า ถ้าหน้าหนามากพอ ก็วิ่งออกไปแบบนี้เลยก็ได้ ให้ผู้ชายข้างนอกได้ชื่นชมร่างงามของจ้านคนสวยสักหน่อยก็ดี จะได้เพิ่มเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล! ข้ากลับหวังให้เจ้าทำแบบนี้ด้วยซ้ำ ใครก็มองออกทั้งนั้นว่าเจ้าจงใจ!”
เหมียวอี้โบกมือเปิดประตูออก แล้วเดินก้าวยาวออกไป
การเปิดประตูครั้งนี้กลับทำให้จ้านหรูอี้ตกใจแทบแย่ กลัวว่าคนนอกจะมองเห็น นางรีบหลุดไปด้านข้าง สุดท้ายก็ถอยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ ในมุม น้ำตาไหลโดยไร้เสียง…
ข้างหลังไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น เหมียวอี้ที่เดินออกมาจากจวนผู้บัญชาการใหญ่โล่งอกแล้ว ที่จริงเมื่อครู่นี้เขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าจ้านหรูอี้กำลังสับสนอลหม่าน จึงฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของตนเพื่อหนีออกมา เขากลัวจริงๆ ว่านางจะทำซี้ซั้วด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แบบนั้นต่อให้เขามีเหตุผลแต่ก็แก้ตัวได้ไม่ชัดเจนแล้ว
ต่อให้ทุกคนรู้ว่าเขาโดนใส่ร้าย แต่อาศัยแค่ข้อหาเห็นสนมของราชันสวรรค์ตอนไม่ใส่เสื้อผ้า เขาก็จะต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาแล้ว
หลังจากออกประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็รู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว รู้ว่าตัวเองผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้แล้ว
แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบกำหมัดแน่น นึกเสียใจทีหลังที่มาที่นี่ ควรจะหลบหลีกไม่เจอกันสิถึงจะถูก แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ ครั้งนี้ล่วงเกินจ้านหรูอี้อย่างโหดร้ายแล้ว ถึงแม้จะผ่านด่านตรงหน้าไปได้ ในภายหลังเมื่อจ้านหรูอี้กลายเป็นสนมของราชันสวรรค์แล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะใช้อำนาจกลั่นแกล้งตนอย่างไร
พอเดินลงบันไดมา ก็โบกมือสั่งว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าออก ให้คนข้างในดูผู้บัญชาการใหญ่จ้านไว้ให้ดี ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก็ห้ามละสายตา จับตาดูไว้ให้ข้า อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว!”
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
ตอนที่ออกมาอีกครั้ง เห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ริมหน้าผา จึงเดินเข้าไปแล้วรายงานว่า “นายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เกรงว่าข้าจะเจอปัญหาแล้ว เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมเบื้องบนสั่งกักบริเวณนาง? เพราะนางกำลังจะเข้าวังไปเป็นสนมของฝ่าบาทแล้ว แถมตอนแรกข้าก็ล่วงเกินนางไว้โหดมาก เดี๋ยวต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะมาหาเรื่องข้ายังไง”
ส่วนเรื่องที่จ้านหรูอี้โป๊เปลือยเมื่อครู่นี้ ตราบใดที่จ้านหรูอี้ไม่พูดออกมา เขาก็ย่อมไม่พูดออกมาเช่นกัน
“เอ่อ…” หยางเจาชิงก็พูดไม่ออกเช่นกัน การเปลี่ยนฐานะของจ้านหรูอี้กะทันหันเกินไปแล้ว ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด
พอได้สติกลับมาแล้ว ก็ยิ้มพลางพูดปลอบใจว่า “นายท่านคิดมากไปแล้ว หลังจากนายท่านโดนทำโทษครั้งก่อน หยางชิ่งก็ตั้งใจให้ข้าน้อยไปสืบดูสถานการณ์ทางนั้น จากที่ข้าน้อยรู้มา ถ้าสนมของวังหลังไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์ ขนาดจะออกจากวังก็ยังลำบากเลย นางเป็นคนของตระกูลอิ๋ง นางไปที่วังหลังแล้วจะสู้กับราชินีสวรรค์ได้ก็แปลกแล้ว คาดว่าถ้าอยากจะออกจากวังก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าสนมในวังหลังคนไหนสามารถแทรกแซงเรื่องการปกครองได้ มิหนำซ้ำนายท่านยังเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าคนจากอำนาจท้องถิ่นคิดจะลงมือกับนายท่านก็ต้องชั่งน้ำหนักเหมือนกัน ข้าน้อยเคยได้ยินมา ว่าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของพวกเราชอบเสนอเรื่องถอดตำแหน่งราชินีสวรรค์บ่อยๆ แม้แต่ท่านปู่ของราชินีสวรรค์ก็เคยซ้อมมาแล้ว ขนาดราชินีสวรรค์ผู้บัญชาการองครักษ์ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย มีหรือที่จะปล่อยให้นางสนมคนหนึ่งทำซี้ซั้วได้ จะว่าไปการที่จ้านหรูอี้เข้าวังก็อาจจะเป็นเรื่องดี นางจะทำอะไรนายท่านไม่ได้ ต่อไปนายท่านก็ไม่ต้องระแวงอีกว่าข้างกายมีอันตรายที่แฝงเร้น”
พอได้ยินคำพูดนี้ เหมียวอี้ก็คิดได้ทันที กวาดความกังวลใจออกไปแล้ว เขาตบบ่าหยางเจาชิงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตรงนี้ต้องฝากเจ้าดูแลด้วย เฝ้าไว้ให้ข้าดีๆ นะ อย่าให้นางหนีไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หยางเจาชิงพยักหน้ารับปากให้เขาวางใจได้
…………………………