พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1442 ท่านโหวกำลังล้อเล่นหรือเปล่า
เมื่อเห็นเขาประชิดเข้ามาที่ตัวท่านแม่ทัพภาค หยางเจาชิงก็กังวลว่าเขาจะมีเจตนาอะไรไม่ดี จึงนำคนไปขวางไว้ทันที แล้วกุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านโหวมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”
เขาไม่ได้เจอจ้านผิงเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่ดาวหกนิ้วก็เคยเห็นจ้านผิงมาแก้สถานการณ์ให้จ้านหรูอี้แล้ว รู้ถึงฐานะของจ้านผิงแล้ว
จ้านผิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร มองข้ามการขัดขวางของพวกหยางเจาชิง แล้วเข้าใกล้เหมียวอี้ต่อไป
สิ่งนี้ทำให้พวกหยางเจาชิงลำบากใจนิดหน่อย กลับเป็นเหมียวอี้ที่ยกมือห้าม บอกใบ้ให้พวกเขาหลีกไป อาศัยกำลังของจ้านผิง ถ้าคิดจะทำอะไรเขาจริงๆ พวกหยางเจาชิงก็ต้านทานไม่ไหวอยู่ดี
จ้านผิงเดินมาใต้ต้นไม้ แล้วสบตากับเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ในดวงตาฉายความรู้สึกที่หลากหลายซับซ้อน
เหมียวอี้ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วกุมหมัดคารวะ “ยินดีกับท่านโหวด้วยขอรับ!”
จ้านผิงย่อมรู้ว่าเขากำลังยินดีเรื่องอะไร จึงหันตัวมองไปที่ตีนเขา เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น “ชาตินี้ข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงมีความฝันอย่างหนึ่ง ข้าหวังให้ลูกสาวได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ข้าเองก็คิดมาตลอดว่าอาศัยปัจจัยของนางก็สามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้ อย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตอิสระกว่าข้าได้ ต่อให้นอนฝันข้าก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งนางจะเสียอิสระโดยสิ้นเชิง แย่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก ในจุดนี้ข้ายอมรับได้ยาก และไม่อยากยอมรับด้วย!”
“คำกล่าวนี้ทำให้ข้าน้อยตกใจจริงๆ ต้องทราบไว้ว่าในใต้หล้ามีคนมากมายเท่าไรที่อิจฉาท่านโหว” เหมียวอี้แกล้งโง่
จู่ๆ จ้านผิงก็กล่าวสิ่งที่น่าตกใจออกมา “เจ้าสร้างความขัดแย้งไว้เยอะเกินไป ถ้ายังปะปนอยู่ในการที่วุ่นวายเหมือนน้ำขุ่นแบบนี้ต่อไป สักวันก็ต้องเกิดเรื่องขึ้น หรูอี้ชอบเจ้า ข้าเองก็หวังมาตลอดว่านางจะหาคนที่ตัวเองถูกใจเจอสักคน แบบนั้นต่อให้จะได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นราคาที่นางต้องแบกรับเอง อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่นางเลือกเอง ดังนั้นข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอะไรไป ไปเถอะ! พาหรูอี้ไปด้วยกัน ออกจากที่นี่ไป โบยบินไปให้ไกล!”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้วถามว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านโหวกำลังพูดอะไร?”
จ้านผิงที่เดิมทอดสายตาไปข้างหน้า ตอนนี้เอียงหน้ามามองเขา “ข้าบอกว่าหรูอี้ชอบเจ้า เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือกำลังแกล้งโง่?”
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านโหวเล่นมุขแล้ว ที่จริงนางเกลียดจนอยากฆ่าข้าให้ตายต่างหากล่ะ”
จ้านผิงจึงบอกว่า “ลูกสาวของข้า ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนโต มีหรือที่จะไม่เข้าใจนาง? ในตอนแรก นางอาจจะอยากฆ่าเจ้าจริงๆ การตายของอิ๋งเหย้าเกี่ยวข้องกับเจ้า บางทีปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นตอนการทดสอบที่แดนอเวจี เจ้าลงมือทีเดียวแล้วสามารถทำให้นางแพ้ได้ สำหรับนางแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ตอนแรกข้าก็ไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เหมือนกัน นึกว่านางหนูนั่นแค่รักศักดิ์ศรีแล้วอยากจะกู้หน้าคืนมา นึกว่านางแค่อยากจะแก้แค้นเจ้า จนกระทั่งตอนที่นางตกอยู่ในมือเจ้าอีกครั้ง ตอนที่โดนเจ้าจับแขวนประจานบนเสาธง เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังทำให้ข้าตระหนักได้ ว่าสาเหตุที่นางหนูนั้นไล่ตามเจ้าไม่ปล่อย บางทีอาจะเป็นเพราะเจ้าแตกต่างกับคนอื่นก็ได้”
“ท่านโหวไม่ต้องลำบากคิดมากขนาดนี้ก็ได้ ท่านก็แค่อยากจะให้ข้าให้ความร่วมมือเท่านั้น จะให้ส่งลูกสาวท่านออกไป” เหมียวอี้กล่าว
จ้านผิงไม่สนใจเขา พูดต่อไปว่า “หลังจากนางโดนเจ้าจับแขวนให้อับอายอยู่บนเสาธง ก็มีผลกระทบเยอะมากจริงๆ กอปรกับอ๋องสวรรค์อิ๋งถูกใจที่เจ้าแสดงความสามารถในการทดสอบที่แดนอเวจี มองว่าเจ้าเป็นคลื่นลูกใหม่ฝีมือดี อยากจะฝึกเลี้ยงเจ้า และเพื่อกำจัดผลกระทบ เปลี่ยนให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดี อ๋องสวรรค์อิ๋งจึงตัดสินใจจะให้เจ้ากับหรูอี้แต่งงานกัน เพราะแบบนี้ ฮูหยินของข้าหรือมารดาของหรูอี้จึงตั้งใจหาข้ออ้างเพื่อมาเจอเจ้าที่ธงพยัคฆ์ดำ ภายนอกอ้างว่ามาทวงของของหรูอี้คืน แต่ที่จริงมาดูตัวให้ลูกสาวต่างหาก อยากจะเห็นว่าเจ้าเป็นคนยังไง ผลก็คือฮูหยินของข้าพอใจมาก”
เหมียวอี้งงจนตาค้าง ตอนนั้นก็รู้สึกว่าอิ๋งลั่วหวนทำตัวแปลกๆ นิดหน่อย ของเล็กน้อยนั่นมีค่ามากพอที่จะให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์มาที่นี่ด้วยตัวเองเลยเหรอ? ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง!
“หลังจากหรูอี้รู้เรื่องนี้แล้ว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง นางควรจะต่อต้านอย่างรุนแรงสิถึงจะถูก แต่นางไม่ได้เป้นแบบนั้น ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย ข้าก็เลยถามนาง ว่าถ้านางไม่เต็มใจ ข้าก็จะคิดหาทางเป็นก้างขวางคอให้ จะทำให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จ” แล้วจ้านผิงก็มองเขาพร้อมถามว่า “เจ้ารู้มั้ยว่าตอนนั้นหรูอี้ตอบข้าว่ายังไง?”
ที่จริงเหมียวอี้ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจ้านหรูอี้พูดว่าอย่างไร เพียงแต่ถามไม่ออก
โชคดีที่จ้านผิงเปิดเผยที่เขาไม่ต้องเอ่ยถาม สาเหตุที่มาที่นี่ก็เพื่อจะเปิดเผยอยู่แล้ว “หรูอี้บอกว่า ในบ้านไม่มีใครปฏิเสธการตัดสินใจของท่านตาได้ บอกว่าไม่อยากเห็นท่านตาโกรธบิดาอย่างข้า ก็เลยทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม! ยอมรับชะตากรรมงั้นเหรอ? พอได้ฟังประโยคนี้ ข้าก็เดาความคิดนางออกทันที ตัดสินได้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่นางไปหาเรื่องเจ้าแล้ว ไม่ใช่เพราะความแค้นหรอก แต่เป็นเพราะนางอยากจะไปหาเรื่องเจ้าเฉยๆ เพียงแต่ตอนแรกนางเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ก็อย่างที่ข้าบอก ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนโต ข้ารู้จักนิสัยนางดีเกินไป เรื่องบางเรื่องถ้าเปิดเผยให้นางรู้แล้ว นางก็จะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าลองคิดดูสิ ตั้งแต่นั้นมาท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปไม่ใช่เหรอ นางไม่เคยไปหาเรื่องเจ้าอีกเลยใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เงียบไป แต่ก็กำลังคิดตามแล้วจริงๆ มีเรื่องบางเรื่องสอดคล้องกับที่จ้านผิงบอกแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่ที่ตลาดผีจึงรู้สึกได้รางๆ ว่าจ้านหรูอี้เหมือนจะสนใจเขา
เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่เข้าใจก็ยังดีหน่อย แต่พอเปิดเผยออกมาแล้ว รสชาติของมันก็ยากจะรับไหว สิ่งที่ทำให้ท่านขุนนางเหมียวรับไม่ได้มากที่สุดก็คือฉากที่จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าเผยหน้าอกในห้อง ทำให้หัวใจเขากระตุกเบาๆ แล้ว
จ้านผิงบอกอีกว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้าเตรียมคนมารอรับนางด้านนอกแล้ว แต่ข้ารู้ว่าขนาดพวกเราสองสามีภรรยายังโดนกักบริเวณเลย ทางฝั่งนางก็อาจจะโดนควบคุมไว้เหมือนกัน ข้าก็เลยออกความคิดบางอย่างให้นาง ในเมื่อนางชอบเจ้า ก็ไม่ต้องลังเลแล้ว เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเลือกอย่างกล้าหาญ ถ้าเจ้ากังวลว่านางจะหลอกใช้เจ้า ก็ให้นางกับเจ้าหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเสียเลย เพื่อแสดงความจริงใจ แล้วพาเจ้าหนีไปด้วยกัน หนีไปให้ไกลจากที่นี่ แต่นางก็หนีออกมาไม่ได้ ตอนที่ข้าไปรับตัวนางที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ ข้าก็ถ่ายทอดเสียงถามว่านางได้ทำตามที่ข้าบอกหรือเปล่า แต่นางบอกว่าเจ้าไม่ชอบนาง ส่วนเรื่องอื่นนางก็ไม่ยอมพูดอีก ข้าก็เลยกำลังคิดว่า เป็นเพราะนางหนูนั่นมีจิตใจหยิ่งในศักดิ์ศรีหรือเปล่า ปากก็เลยไม่ยอมรับ ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน เพราะว่านางมีปัญหานี้จริงๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่หัวใจยอมรับแล้วแท้ๆ แต่ปากกลับไม่ยอมรับ”
เหมียวอี้ยืนอยู่อย่างนั้นราวกับเทียนไข มีเพียงเขาที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าจ้านหรูอี้ทำตามที่บิดาของนางบอกแล้วจริงๆ แต่เขาปฏิเสธไปแล้ว เพียงแต่จ้านหรูอี้อับอายจนเอ่ยปากพูดไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป หลังจากจบเรื่องก็ไม่มีใครกล้าพูดทั้งนั้น
“หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ตอนนั้นข้ากำลังคิดว่า ถ้านางหนูนั่นพูดเปิดเผยออกมาจริงๆ ต่อให้ในใจเจ้าจะสนใจนางบ้างนิดหน่อย ก็คงจะไม่นิ่งเฉยเย็นชา ข้าก็เลยรีบตรวจดูรอบๆ ก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ ถ้าเจ้าคอยแอบดูอยู่เงียบๆ ก็แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจ ดังนั้นข้าเลยรู้สึกว่าพวกเจ้ายังพอมีหวัง ข้าเลยคิดจะสู้เพื่อนางหนูสักหน่อย” พอพูดถึงตรงนี้ จ้านผิงก็หันมาจ้องเขาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปเถอะ! พานางไป! ตอนนี้ที่นี่มีเพียงอำนาจในมือเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถพานางหนีออกไปได้!”
“ท่านโหวกำลังล้อเล่นหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถามอย่างใจเย็น
จ้านผิงตอบว่า “ไม่ได้ล้อเล่น ถึงแม้อำนาจของเจ้าตอนอยู่ที่นี่จะมีไม่เยอะ แต่ทัพของกองมังกรดำที่ประจำอยู่ที่นี่ก็มีสิทธิ์ไปเยี่ยมครอบครัวที่ดาวเคราะห์ดวงที่จัดไว้ให้ครอบครัวพักอาศัย แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าก็ไปไม่ได้ มีเพียงหนังสือคำสั่งของเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้ผ่านการสอบสวนได้ เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบก็ยิ่งไม่มีปัญหา นี่คือช่องโหว่เดียวที่สามารถเจาะได้ในตอนนี้ และเป็นโอกาสเดียวในตอนนี้เช่นกัน ข้าสามารถใส่หรูอี้ไว้ในกระเป๋าสัตว์ จากนั้นเจ้าค่อยพานางไปยังดาวเคราะห์ที่จัดไว้ให้ครอบครัวพัก ข้าจะอยู่ทางนั้นและส่งลูกน้องคนสนิทมารับ จะมีคนพาพวกเจ้าไปส่งยังที่ปลอดภัย”
“ท่านโหวไม่กังวลหรือว่าหลังจากลูกสาวท่านไปแล้วจะไม่มีทางอธิบายกับตำหนักสวรรค์ได้?” เหมียวอี้ถาม
จ้านผิงตอบว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล หลังจากพวกเจ้าไปแล้ว ความรับผิดชอบทุกอย่างจะผลักไปที่เจ้า บอกว่าเจ้าลักพาตัวหรูอี้ไป ตำหนักสวรรค์จะต้องยอมรับความจริงข้อนี้เช่นกัน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ฝ่าบาทกับตระกูลอิ๋งจะแปรพักตร์ใส่กัน มีแต่จะต้องเข็นเรือไปตามน้ำ ผลักความรับผิดชอบไปให้เจ้า”
“ท่านโหวกำลังล้อเล่นแน่ๆ!” เหมียวอี้ยืนยันอีกครั้ง
“เจ้ากำลังกังวลอะไร? กังวลว่าในภายหลังจะไม่มีทรัพยากรฝึกตนเหรอ? ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่าทรัพยากรฝึกตนของพวกเจ้าในภายหลังจะมีเพียงพอ หรือว่ากังวลอนาคตของเจ้า? ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นะ เจ้าไม่ใช่คนทะเยอะทะยานอะไรขนาดนั้นเลย ตราบใดที่มีอีกเส้นทางให้เดิน เจ้าคงไม่เอาแต่คิดถึงอำนาจหรอก และก็เพราะแบบนี้ ข้าถึงได้วางใจที่จะส่งต่อหรูอี้ให้เจ้า” จ้านผิงกล่าว
เหมียวอี้แปลกใจแล้ว จึงเอียงหน้ามองเขาแล้วถามว่า “ทำไมท่านโหวตัดสินว่าข้าไม่มีความทะเยอะทะยานที่จะไต่เต้าขึ้นข้างบนล่ะ?”
จ้านผิงตอบอย่างเฉียบขาดว่า “เหตุผลไม่ซับซ้อนหรอก ขอเพียงเป็นคนทะเยอะทะยานอยากจะไต่เต้าขึ้นข้างบน ก็จะทนล้ำกลืนความอัปยศอดสู ไม่มีทางก่อเรื่องล่วงเกินคนมากมายที่ตลาดสวรรค์หรอก! เจ้าอยู่กับหรูอี้มาตลอด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะดูไม่ออกเลยว่าหรูอี้รู้สึกกับเจ้ายังไง ถ้าเจ้าอยากจะปีนป่ายขึ้นข้างบนจริงๆ เจ้าคงฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากทางลัดที่วางอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างหรูอี้ไปนานแล้ว เจ้าคงทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงของเจ้าไปนานแล้ว มีหรือที่จะเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้!”
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น เหมือนกำลังพยายามควบคุมบางอย่างในใจ สุดท้ายก็กล่าวอย่างใจแข็งดุจหินผาว่า “ท่านโหว ข้าไม่ได้สนใจลูกสาวท่านเลย!”
ประโยคนี้ได้โค่นล้มสิ่งที่ใครบางคนพูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้ว
จ้านผิงพลันจ้องไปที่เขา จู่ๆ ลมภูเขาก็พัดวูบอย่างรุนแรง ชายเสื้อของเขาปลิวสะบัดพลิกไปพลิกมา แต่เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกลับจ้องไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น ราวกับเป็นรูปสลักหิน
จ้านผิงหันตัวช้าๆ แล้วเดินจากไป
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ บนราวจับสลักลายของสะพานโค้งหยกขาวแห่งหนึ่ง บนนั้นวางโถหยกใบหนึ่งเอาไว้ ด้านในเต็มไปด้วยยาเสริมพลังชีวิต
โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่บนสะพานคว้ายาเสริมพลังชีวิตกำหนึ่งโปรยลงในน้ำที่อยู่ใต้สะพาน
ในน้ำม้วนกลิ้งทันที ละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ปลาหลี่ทองยาวประมาณครึ่งจั้งที่ตาเปล่งแสงสีแดงฝูงหนึ่งโผล่มา แย่งกันกินอาหารอยู่อย่างนั้น โค่วหลิงซวีจ้องมองความเคลื่อนไหวที่ผิวน้ำ แล้วถอนหายใจเบาๆ “วุ่นงายแล้ว เริ่มวุ่นวายแล้ว!”
ผู้เฒ่าถังที่อยู่ข้างๆ ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านหมายถึงเรื่องที่หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงจะเข้าวังไปเป็นสนมหรือขอรับ?”
วันนี้เรื่องนี้ถูกประกาศแล้ว ข่าวแพร่ออกไปแล้วเช่นกัน
โค่วหลิงซวีพึมพำว่า “นี่ประมุขชิงกำลังจะเริ่มตักเตือนตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ข้าควรจะรู้สึกดีใจสิถึงจะถูก แต่ในใจข้ากลับรู้สึกไม่สงบอย่างบอกไม่ถูก ผู้เฒ่าถัง เจ้าไม่สังเกตบ้างเหรอว่าในหลายพันปีมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นเยอะเกินไป? แดนอเวจีปรากฏทางเข้าออกใหม่ ตอนปรับปรุงตลาดสวรรค์ฝ่าบาทกับพวกเราก็ขัดแย้งกัน ในหน่วยองครักษ์เงาอาจจะมีเกลือเป็นหนอน ข่าวของพระปีศาจหนานโป การปรากฏตัวของไป๋เฟิ่งหวง เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงก็ต้องการจะตักเตือนตระกูลเซี่ยโห้วอีก เรื่องใหญ่ๆ ที่ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นได้ยาก แต่ตอนนี้กลับเหมือนกำลังปะทุขึ้นมาทีละเรื่อง ทำให้เวลาจะรับมือขึ้นมาก็มีอุปสรรคมาก ขนาดคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวายังไม่พอใช้เลย ตำหนักสวรรค์เหมือนจะมีเค้าลางของความวุ่นวายในสังคมแล้ว!”
ผู้เฒ่าถังก็ถอนหายใจเช่นกัน “ใช่แล้ว! อย่าว่าแต่ตำหนักสวรรค์เลย ขนาดสมาธิส่วนใหญ่ของพวกเรายังถูกดึงดูดด้วยเรื่องพวกนี้เ กำลังคนเบื้องล่างก็แทบจะเข้าไปสืบเรื่องพวกนี้กันหมด เกรงว่าอำนาจฝ่ายอื่นๆ ก็คงจะไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ไม่มีสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นแล้ว ตาข่ายใหญ่ที่ครอบใต้หล้าเอาไว้ถูกฉีกจนมีรูโหว่มั่วไปหมด สมควรจะเป็นกังวล!”
…………………………