พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1443 ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง
พอโปรยยาเสริมพลังชีวิตลงในน้ำอีกกำ ก็ทำให้ผิวน้ำกระฉอกอีกพักหนึ่ง ปลาหลี่ทองกินอาหารเสียงดัง โค่วหลิงซวีคลึงยาเสริมพลังชีวิตระหว่างนิ้ว พลางกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ดันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียด้วย จะไม่สนใจก็ไม่ได้ ใช้กำลังสมาธิมากมายเพื่อให้ความสนใจ แต่ก็สืบไม่เจอผลลัพธ์อะไร จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีสักเรื่องที่ทำให้คนเห็นหัวเห็นหาง หาผลลัพธ์ไม่เจอเลย แต่กลับตรึงพลังความคิดของพวกเราเอาไว้ ผู้เฒ่าถัง เจ้าว่าเรื่องพวกนี้มีเงื่อนงำอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าถังตกใจ “นายท่าน ท่านหมายความว่ามีคนดำเนินการอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้หรือขอรับ มีคนจงใจวางหมาก?”
โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าแค่สงสัย ถ้ามีคนสามารถดำเนินการเรื่องพวกนี้ได้จริง สามารถนำเรื่องพวกนี้มาวางเป็นหมากได้ ก็แสดงว่าคนคนนั้นไม่ธรรมดาแน่ จะเป็นใครได้อีกล่ะ?”
ผู้เฒ่าถังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ถ้ามีคนดำเนินเรื่องนี้จริงๆ คนที่สามารถปลุกปั่นเรื่องพวกนี้ได้ก็ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดา แต่ผู้ที่มีความสามารถก็ไม่มีใครแล้วนอกจากคนพวกนั้น ประมุขชิง ประมุขพุทธะ ประมุขไป๋ เซี่ยโห้วท่า แล้วก็ยังมีผู้เหลือรอดของหกลัทธิ”
โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ “มีเพียงคนพวกนี้จริงๆ เรื่องพวกนั้นที่โผล่ออกมาก็มีเพียงพวกเขาที่อาจจะยื่นมือเข้าไป ยกตัวอย่างเช่นพระปีศาจหนานโป เรื่องแบบนี้พวกเราสี่อ๋องสวรรค์ไม่เคยไปสัมผัสเลย มิหนำซ้ำการก่อเรื่องแบบนี้ก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเราสี่คนด้วย และเช่นเดียวกัน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับประมุขชิงเลย ประมุขชิงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประมุขไป๋ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ แต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะใช้เจดีย์สยบปีศาจเป็นแกนค่ายกล วางค่ายกลตอบสนองไว้แล้ว ขอเพียงร่างแยกของประมุขไป๋มาปรากฏตัวที่ดาราจักรผืนนี้ เจดีย์สยบปีศาจก็จะต้องตอบสนองทันที และแนวโนมสถานการณ์ในใต้หล้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าประมุขไป๋อาศัยเพียงร่างแยกแล้วคิดจะปลุกระดมเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ก็เกรงว่าจะค่อนข้างลำบาก”
“แต่อาศัยฝีมือของประมุขไป๋ ขอเพียงร่างแยกของเขายังไม่ดับสูญ ก็เกรงว่าจะยังเป็นความกังวงแฝงเร้นที่ใหญ่ที่สุดในใจประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่เคยกล้าลงมือสังหารประมุขปีศาจกับประมุขไป๋ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจเลย ไม่ใช่เพราะอยากล่อให้ร่างแยกของประมุขไป๋ออกมาแล้วถอนรากถอนโคนหรอกเหรอ?” ผู้เฒ่าถังถาม
โค่วหลิงซวีถอนหายใจอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เป็นความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของประมุขชิงกับประมุขพุทธะจริงๆ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ แต่เมื่อได้ประมือกันครั้งนั้น ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋เลย ขนาดโดนกลุ่มคนใกล้ชิดของประมุขไป๋ที่ทรยศล้อมโจมตีมากมายขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้ร่างแยกของประมุขไป๋หนีไปได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทำไมสองคนนั้นถึงพยายามคิดหาทางทุกวิธีเพื่อลงมือสังหารน้องชายร่วมสาบานของตัวเอง สถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้จะเป็นไปได้ว่าอาจมีประมุขไป๋เข้าร่วมด้วย แต่ถ้าประมุขไป๋ต้องการจะทำเรื่องนี้ให้ได้ผล ก็ต้องระดมกำลังพลด้วยสิ อาศัยแค่กำลังตัวเองคนเดียว ต่อให้จะเก่งกาจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ประมุขชิงวางกับดักรอแล้ว ถ้าประมุขไป๋มีความเคลื่อนไหวอะไรจริงๆ มีหรือที่ประมุขชิงจะไม่แสดงท่าทีโต้ตอบ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นประมุขไป๋ก็มีไม่มาก เซี่ยโห้วท่าล้ำลึกและรอบคอบ ระมักระวังตัวมาตลอด ไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ นอกเสียจากจะมีความมั่นใจว่าจะกำจัดประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ หรือไม่ในตระกูลก็มีคนที่มีพลังสยบใต้หล้าได้ ไม่อย่างนั้นการพึ่งพาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้าต่างหากถึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นแล้ว เนื้อก้อนใหญ่ที่ไม่มีฝาหม้อปิดก็จะโดนคนอื่นกรูกันเข้ามาขอส่วนแบ่งทันที ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องโค่นล้มแน่นอน ตราบใดที่ประมุขชิงไม่ทำเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ผู้เหลือรอดของหกลัทธิก็ค่อนข้างมีความเป็นไปได้ ส่วนประมุขพุทธะ…” จังหวะการพูดฟังดูลังเล ขบคิดอย่างลังเล
ผู้เฒ่าถังจึงพูดแทนเขา “ถ้าเรื่องพวกนี้มีคนดำเนินการอยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นประมุขพุทธะก็เป็นไปได้มากที่สุด ประการแรกเป็นเพราะเขาคือคนที่มีความสามารถที่จะปั่นเรื่องพวกนี้มากที่สุดในตอนนี้ ประการต่อมาเป็นเพราะหลังจากตำหนักสวรรค์และประมุขชิงล้มลงแล้ว เขาก็จะเป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด”
โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างค่อนข้างระแวงสงสัยว่า “ประมุขพุทธะจะทำแบบนี้ได้เหรอ? จะทำลายสถานการณ์ที่มั่นคงแบบนี้ได้เหรอ? อย่างไรเสียภัยแฝงแบบประมุขไป๋ก็ยังไม่ถูกกำจัด แบบนี้จะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้คนเจาะช่องโหว่หรอกเหรอ?”
ผู้เฒ่าถังเตือนว่า “นายท่าน ในปีนั้นทำไมพวกเขาสองคนถึงต้องการกำจัดประมุขไป๋กับประมุขปีศาจล่ะ? จุดประสงค์เดี๋ยวกัน ถ้าประมุขชิงล้มลง ประมุขพุทธะก็จะเป็นจ้าวในใต้หล้าแล้ว!”
กรอบ! จู่ๆ ยาเสริมพลังชีวิตที่อยู่ระหว่างนิ้วก็โดนบีบแหละ โค่วหลิงซวีหรี่ตากล่าวว่า “พวกเราคิดได้ เกรงว่าประมุขชิงก็คงเกิดความสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าระหว่างทั้งสองเกิดช่องโหว่ในใจขึ้นมา เกรงว่าในใต้หล้าก็คงจะวุ่นวายใหญ่โตเข้าสักวัน!”
ผู้เฒ่าถังรู้ว่าเขากังวลอะไร จึงกล่าวปลอบใจว่า “นายท่าน ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเรา มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าผู้เหลือรอดของหกลัทธิอยากจะก่อก่วนใต้หล้าเพื่อล้างแค้น”
โค่วหลิงซวีคว้ายาแก่นเซียนโปรยไปไกล “ถ้าเป็นประมุขพุทธะ ดีไม่ดีก็อาจจะต้องดึงข้าไปเป็นพวกด้วย ถ้าเป็นผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่พลิกกระดาน ก็จะยิ่งไม่เป็นผลดีสำหรับข้า! ผู้เฒ่าถัง เรื่องบางเรื่องเจ้าก็รู้อยู่ ในปีนั้นเพื่อที่จะข้าจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็เรียกได้ว่าฆ่าล้างบางหกลัทธิ ถ้าจะบอกว่าใครมีความแค้นกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิลึกล้ำที่สุด ทั้งตำหนักสวรรค์เป็นใครไปไม่ได้นอกจากข้า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ทุกคนของตระกูลของไห่ยวนเค่อตายด้วยน้ำมือของข้าหมด ความแค้นนี้ลึกจนอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ แต่ดันปล่อยให้ไห่ยวนเค่อโชคดีรอดชีวิตหนีไปได้ แถมตอนนี้ไห่ยวนเค่อก็ยังอยู่ในตำแหน่งสำคัญท่ามกลางผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ถามหน่อยว่าถ้าผู้เหลือรอดของหกลัทธิโต้กลับสำเร็จขึ้นมา มีหรือที่จะปล่อยข้าไป! หลังจากพวกเขาโดนขังอยู่ในแดนอเวจีแล้ว เดิมทีข้านึกว่าพวกเขาจะจุดชนวนความวุ่นวายไม่ได้แล้ว แต่จู่ๆ ‘เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน’ ก็โผล่ออกมาอีก มันทำให้ข้ากังวลใจ!”
คนที่มีสีหน้ากังวลไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ในศาลาเย็นหลังหนึ่งบนยอดเขาที่มีทิวทัศน์ล้อมรอบงดงามดุจภาพวาด เซี่ยโห้วท่ากำลังยืนถือไม้เท้า ถอนหายใจเบาๆ…
อุทยานหลวง เรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ประดับผ้าหลากสีและผ้าสีแดงสดไปทั่วทุกที่ดูสะดุดตาเมื่อเทียบกับเรือนพักหลังอื่นๆ ที่อยู่บนแนวภูเขาโดยรอบ มีบ่าวรับใช้ของเรือนพักหลายหลังวิ่งออกมา แล้วจ้องประเมินทางนี้
เหมียวอี้ไม่อยากมาที่นี่ แต่จำเป็นต้องมา และครั้งนี้ก็จำเป็นต้องเข้ามาในเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง
วังสวรรค์ส่งคนมาอีกแล้ว ผู้การใหญ่ซ่างก่วนชิงมาด้วยตัวเอง ทางซ้ายและขวามีผู้ติดตามสองคน ก่อนที่เขาจะเข้ามาในประตูใหญ่ เหมียวอี้ก็นำกำลังพลกลุ่มใหญ่มาประจำอยู่ที่นี่แล้ว แบ่งยืนอยู่สองข้างของทางหลัก ถืออาวุธตั้งเรียงรายอยู่นอกตำหนักหลักไปจนถึงข้างใน โอบล้อมพิทักษ์ซ้ายขวาของตำหนักใหญ่
กองมังกรดำทำหน้าที่เป็นองครักษ์ในพิธีชั่วคราว แต่ละคนแขวนผ้าหลากสีไว้บนอาวุธและยืนอย่างเคร่งขรึม เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการหลัก จึงแขวนกระบี่วิเศษสีแดงไว้ที่เอวเป็นพิเศษ ตอนนี้กำลังเอามือประคองดาบและยืนตรง
แสงแดดยามเช้าเป็นสีทอง ส่องสว่างเต็มท้องฟ้า
ซ่างก่วนชิงนำคนสองคนเดินเข้ามาตลอดทาง อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่บนบันไดกุมหมัดคารวะตั้งแต่อยู่ไกลๆ พอต้อนรับแล้วก็หันตัวยื่นมือเชิญเข้าในตำหนัก
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของตีนบันไดมองไม่เห็นภาพนี้ ได้ยินเพียงเสียงของซ่างก่วนชิงดังออกมาจากในนั้น ไม่อยากได้ยินก็คงยาก ซ่างก่วนชิงเหมือนอยากจะให้ทุกคนได้ยิน ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้เสียงดัง เสียงก้องกังวานอยู่ระหว่างหมู่ขุนเขาโดยรอบ
“จ้านหรูอี้ฟังคำสั่ง นี่คือราชโองการของฝ่าบาท : จ้านหรูอี้บุตรสาวของท่านโหวจ้านผิงมาจากตระกูลที่โด่งดัง มีความประพฤติอยู่ในศีลธรรม รูปโฉมงดงามและมีความสามารถ เป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุค อุปนิสัยตรงไปตรงมา เมื่อพบกันที่สวนท้อฝ่าบาทก็ถูกตาต้องใจ ต้องการจะรับเป็นสนมโปรด ตอนที่สนมจ้านยังไม่เข้าวัง ก็ได้สร้างผลงานไว้ก่อนแล้ว เสียสละนำชีวิตไปเสี่ยงอันตรายที่ตลาดผี สร้างผลงานใหญ่ให้ฝ่าบาท จึงแต่งตั้งให้เป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ เป็นกรณีพิเศษ อยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่มสนมในวังหลัง ประทานพาหนะหงส์เดี่ยว ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง จบ!”
เมื่อประกาศคำสั่งนี้ออกมา ผู้คนที่อยู่ในจวนตามแนวภูเขารอบๆ ก็พากันตกตะลึง รู้ว่าจ้านหรูอี้จะต้องเข้าวังไปเป็นสนม แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกแต่งตั้งให้เป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ เป็นสนมอันดับหนึ่งของวังหลัง ตั้งแต่มีวังสวรรค์เกิดขึ้นมา นี่คือ ‘สนมสวรรค์’ คนแรก!
ราชันสวรรค์ยังประทานพาหนะหงส์เดี่ยวให้ด้วย ถึงแม้จะแย่กว่าหงส์คู่ของราชินีสวรรค์นิดหน่อย แต่ก็มีกฎว่ามีเพียงราชินีสวรรค์เท่านั้นที่จะใช้พาหนะหงส์ได้
ที่บอกว่า ‘ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง’ เท่ากับว่าต้องความเคารพคนที่ระดับเหนือราชินีสวรรค์ขึ้นไปเท่านั้น ต่ำกว่าราชินีสวรรค์ลงมาก็ไม่มีใครอยู่เหนือนางแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อเจอคนที่ระดับต่ำกว่าราชินีสวรรค์ก็ไม่ต้องทำความเคารพอีก
มีคนรีบนำระฆังดาราออกมารายงานข่าวบอกเจ้านายทีอยู่เบื้องหลัง
ทุกคนของกองมังกรดำที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน เหมียวอี้หันหน้ามองไปในตำหนักโดยจิตใต้สำนึก ความตกตะลึงในใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวฐานะของจ้านหรูอี้จะเปลี่ยนเป็นสูงส่งขนาดนี้ แทบจะทำให้ทุกคนในใต้หล้าต้องแหงนหน้ามอง หลายวันก่อนยังเป็นลูกน้องของตนอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุคคลที่เป็นรองแค่ราชินีสวรรค์แล้ว
เหมือนจะเพื่อขานรับคำพูดของซ่างก่วนชิง บนท้องฟ้ามีเสียงหงส์ร้องก้องกังวานราวกับเสียงทองกระทบหยก หงส์สีรุ้งที่งดงามและมีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินฝ่าเมฆออกมา กางปีกบินร่อนอยู่ในท้องฟ้า สีของขนสวยแพรวพราว ขนหางยาวล่องลอยราวกับสายรุ้ง ด้านหลังหงส์สีรุ้งลากด้วยเกี้ยวหงส์หลังหนึ่งที่เฉิดฉายเจิดจรัส ทั้งสองฝั่งมีทหารสวรรค์นับพันคุ้มกัน
หลังจากบินวนบนท้องฟ้าได้พักหนึ่ง พาหนะหงส์ที่งดงามหรูหราก็เหาะลงมาข้างล่าง ลอยลงเหยียบเบาๆ บนพื้นที่ว่างนอกตำหนักที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว หงส์สีรุ้งที่ตัวใหญ่ถึงสิบจั้งมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม หยุดยืนอย่างหยิ่งผยอง
นางในหลายสิบคนออกมาจากสองฝั่งจองตึกเกี้ยว รีบก้าวขึ้นมาบนบันได แล้วเข้าไปในตำหนักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คำนับสนมสวรรค์!”
ผ่านไปไม่นาน นางในสิบกว่าคนก็ทยอยกันออกมา แล้วแบ่งยืนข้างบันไดสองฝั่ง
จ้านหรูอี้ที่สวมมงกุฎหงส์และชุดกระโปรงยาวสีแดงทั้งตัวเดินออกมาอย่างช้าๆ แต่งตัวงดงามมีเสน่ห์กว่าที่เคยเป็น ม่านไข่มุกใต้มงกุฎหงส์สั่นไหวตามจังหวะการเดิน สาวใช้สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาจูงแขนนางไว้คนละข้าง ประคองนางออกมาอย่างระมัดระวัง นางในที่ยืนอยู่สองฝั่งของบันไดทยอยกันเดินตามหลังนางโดยเริ่มจากตรงประตู
พอนางปรากฏตัว ลูกน้องที่อยู่ข้างกายซ่างก่วนชิงก็ส่งสัญญาณมือทันที ทุกคนของกองมังกรดำตะโกนเสียงดังว่า “คารวะสนมสวรรค์!”
จากข้างนอกจนถึงข้างใน แม้กระทั่งทหารยามที่อารักขานอกเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง ยังไม่ทันเห็นตัวคน พวกเขาก็ทำตามที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว มีเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องกันอีก “คารวะสนมสวรรค์!” เสียงดังจนเมฆหมอกกระจาย
ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่เดินตามออกมาจากในตำหนักมีสีหน้าปีติยินดี มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมองไปทางพาหนะหงส์ที่อยู่ด้านนอก ในดวงตาแสดงอารมณ์อิจฉาอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ อิ๋งจิ่วกวงก็ยิ่งเอามือลูบเคราพลางหรี่ตายิ้ม มีเพียงจ้านผิงที่สีหน้าเรียบเฉย ส่วนอิ๋งลั่วหวนก็สีหน้าห่อเหี่ยว ไม่ได้เห็นความดีใจใดๆ
ขณที่มองจ้านหรูอี้เดินลงบันไดมา เหมียวก็เข้าใจแล้ว อาศัยฐานะของตระกูลอิ๋ง เกรงว่าการแต่งตั้ง ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ นี้จะมีการเจรากับตระกูลอิ๋งเรียบร้อยแล้ว และก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง เป็นเพราะเข้าใจสิ่งนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกเศร้าใจอย่างรุนแรง
เมื่อนึกถึงภาพที่จ้านหรูอี้คุกเข่าขอร้องต่อหน้าตนวันนั้น นึกถึงภาพที่จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าเผยหน้าอกให้ตนดูด้วยความสิ้นหวัง นางมีเกียรติยศให้โอ้อวดใต้หล้าแต่กลับไม่ต้องการ นางแค่อยากหนีไปกับเขาเท่านั้น แต่เขากลับปฏิเสธไปแล้ว
เขาไม่คิดว่าตัวเองชอบจ้านหรูอี้ ที่จริงแล้วเกลียดนางมาตลอด แต่ตอนนี้ ในใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง หนักจนขนาดจะหายใจยังลำบาก รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เป็นความเจ็บปวดที่คลุมเครือแต่กลับไม่มีที่สิ้นสุด เกรงว่าคงจะกำจัดความเจ็บปวดนี้ทิ้งไม่ได้ตลอดไป
…………………………