พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1444 นี่มันคนบ้า
ชีสิ้วหงที่อยู่ในกาหลอมปีศาจในปีนั้น เขาไม่มีความสามารถที่จะไปช่วย ได้แต่มองดูนางตายอยู่ตรงหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ส่วนจ้านหรูอี้ในตอนนี้ เขามีความสามารถที่จะช่วย แต่เขากลับไม่ได้ไปช่วย ได้แต่มองดูนางกลายเป็นสนมของราชันสวรรค์ไปแบบนั้น ถ้าไม่เคยเกิดฉากที่จ้านหรูอี้ขอร้องเขาก็ว่าไปอย่าง ถ้าจ้านผิงไม่มาพูดอะไรแบบนั้นให้ฟังเขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน ถ้าไม่รู้ว่านางเต็มใจไปกับเขาโดยต้องยอมทิ้งอะไรบ้าง เขาก็คงจะสงบใจกว่านี้
ในปีนั้นเรื่องของชีสิ้วหงได้สร้างความบอบช้ำอย่างรุนแรงให้เขา เขาเจ็บจนฝังลึกถึงกระดูก ทิ้งแผลเป็นใหญ่เอาไว้ในใจของเขาแล้ว
เรื่องของจ้านหรูอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้เขาเจ็บฝังลึกเหมือนชีสิ้วหง ทำให้เขาเจ็บแบบคลุมเครือเท่านั้น แต่ก็ทิ้งบาดแผลเล็กๆ เอาไว้รอยหนึ่งอยู่ดี ทว่าบาดแผลนี้คงต้องใช้เวลานานกว่าจะสมานตัว
เป็นเพราะคนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน รู้ว่านางอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นแล้วจะประสบเรื่องไม่ดีอะไรบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะยังต้องได้เจอกันอีก บางทีเจ้าอาจจะอยากถามนางว่าสบายดีไหม แต่เจ้าจะถามออกเหรอ?
แล้วจะให้บาดแผลนี้สมานตัวได้อย่างไรล่ะ?
ถ้าให้โอกาสเขาอีกหนึ่งครั้ง เขาจะไปกับนางหรือเปล่านะ?
เขาถามใจตัวเองดู คำตอบของเขาก็ยังเหมือนเดิม คือไม่ไปกับนาง! แต่ว่า…ถ้ามีโอกาสย้อนเวลาไปได้จริงๆ เขาก็จะคิดหาทางช่วยนางออกไป แต่โลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติแบบนั้นหรอก!
มือของเหมียวอี้ที่กำลังประคองกระบี่จับด้ามกระบี่ไว้แน่น กำจนข้อนิ้วซีด แทบจะบีบจนด้ามกระบี่แหลก เขาเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนวู่วามอยากจะชักกระบี่ออกมา แต่ก็ยังควบคุมตัวเองไว้ได้อย่างดี
จ้านหรูอี้ที่ก้าวลงบันไดมาอย่างสง่างามเห็นเขาแล้ว สายตาที่อยู่ข้างหลังม่านไข่มุกสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา ทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกันแค่วันสองวัน นางมองออกว่าเขามีความผิดปกติหรือไม่ นางสังเกตเห็นว่าเหมียวอี้เหมือนวู่วามอยากจะชักกระบี่
ดวงตาของนางฉายประกายทันที นางเฝ้ารอให้เขาชักกระบี่ออกมา ถ้าเขายินดีจะชักกระบี่ออกมาเพื่อนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็จะยอมให้อภัยเขา ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นางก็ยินดีที่จะแบกรับไปพร้อมกับเขา ไม่สนใจความล่มจมหรือศักดิ์ศรีของครอบครัวอะไรทั้งนั้น นางไม่อยากแบบรับ ต่อให้เลือดสาดกระจายและตายไปพร้อมกับเขาตอนนี้ นางก็ยินดีทำด้วยความเต็มใจ
จ้านผิงยืนอยู่บนบันได้หน้าตำหนัก ที่จริงก็อยากจะเห็นนานแล้วว่าปฏิกิริยาของเหมียวอี้จะเป็นอย่างไร ตอนที่สายตาของทุกคนไปรวมสนใจอยู่บนตัวลูกสาว แต่สายตาของเขาไปอยู่ตรงมือที่คว้าด้ามกระบี่ของเหมียวอี้ มองดูมือบนด้ามกระบี่ที่สั่นเล็กน้อย อยากจะรู้ว่าเขาจะชักกระบี่ออกมาหรือไม่ อยากรู้ว่าจะคุ้มค่ากับน้ำตาที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจของลูกสาวหรือไม่
แต่เหมียวอี้ก็ทำให้สองพ่อลูกผิดหวัง เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปากที่เม้มแน่นคลายออก ห้านิ้วที่กำด้ามกระบี่แน่นคลายออกอย่างช้าๆ
ดังนั้นสายตาของจ้านหรูอี้จึงเศร้าสลด หลังจากเดินลงบันไดผ่านเหมียวอี้ไปแล้ว แววตาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาทีละเย็น เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน
สนมสวรรค์ที่สวมมงกุฎหงส์ถูกคนประคองขึ้นเกี้ยวหงส์ ด้านซ้ายและขวามีคนเปิดม่านไข่มุกออก แล้วประคองให้นางนั่งบนเบื้องสูง
คนที่เหลือทยอยกันขึ้นเกี้ยวหงส์ แล้วยืนอยู่สองฝั่งด้านนอกตึกเกี้ยว
ซ่างก่วนชิงกุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวง นำผู้ติดตามสองขึ้นเกี้ยวหลังใหญ่ ยืนบนแท่นด้านหน้าเกี้ยวหลังใหญ่ แล้วโบกมือสั่งว่า “ต้อนรับสนมสวรรค์เข้าวัง!”
ราวกับได้ฟังคำสั่ง ทุกคนของกองมังกรดำรวมทั้งเหมียวอี้ ทุกคนของตระกูลอิ๋งรวมทั้งอิ๋งจิ่วกวง กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “น้อมส่งสนมสวรรค์!”
ตรงนั้นมีลมแรงพัดกระพือขึ้น หงส์สีรุ้งกางปีกทะยานฟ้าอย่างสง่างาม ลากเกี้ยวหลังใหญ่ให้ลอยขึ้นอย่างช้าๆ มีเสียงหงส์ร้องดังหนึ่งครั้ง ก่อนจะตะบึงไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างสง่างาม หายไปในท้องฟ้าพร้อมกับกำลังพลที่ติดตามอารักขา
อิ๋งลั่วหวนพลันหันตัวโผเข้าไปร้องไห้สะอึกสะอื้นให้อ้อมกอดสามี แต่กลับถูกเสียงหัวเราะยินดีของทุกคนในตระกูลอิ๋งกลบหมดแล้ว
อิ๋งจิ่วกวงกวาดสายตามองไปเบื้องล่าง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “รบกวนพี่น้องกองทัพองครักษ์แล้ว ตบรางวัล!”
ดังนั้นจึงมีลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกมา ขณะกำลังจะมอบแหวนเก็บสมบัติให้ทุกคน ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะออกคำสั่งว่า “ถอนทัพ!”
เขายังจะรับรางวัลนี้ลงได้อย่างไร ไม่สนใจหรอกว่าจะใช่อ๋องสวรรค์หรือไม่ ถึงอย่างไรก็ควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงใช้มือประคองกระบี่วิเศษที่เอวแล้วหันตัว ก่อนจะก้าวออกไปจากตรงนั้นเสียเลย
สถานการณ์อะไรกัน? กำลังพลทั้งหมดของกองมังกรดำมองหน้ากันเลิกลั่ก แอบเดาะลิ้นอย่างตกตะลึง ท่านแม่ทัพภาคช่างโหดนัก ขนาดเป็นอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังไม่ไว้หน้า!
แต่ในเมื่อแม่ทัพภาคออกคำสั่งแล้ว ทุกคนจึงทำได้เพียงยอมทิ้งรางวัล ไม่อย่างนั้นคำสั่งทหารก็จะไม่ปรานี ได้ไม่คุ้มเสีย เสียงเกราะรบดังขึ้นเป็นแถบ ทั้งหมดเดินตามเหมียวอี้ออกไปแล้ว ตรงนั้นหายไปหมดเกลี้ยง
กลุ่มคนที่หยิบรางวัลออกมาและกำลังจะแจกพากันงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ก็ยังอยู่ในงาน แต่ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพภาคจะไม่บอกลาเลยสักคำ รีบร้อนนำกำลังพลออกไปแบบนี้แล้วน่ะเหรอ? แถมยังปฏิเสธรางวัลด้วย นี่ไม่ใช่การตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งในวันมงคลหรอกเหรอ?
ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่เมื่อครู่นี้ยังดีอกดีใจพากันนิ่งอึ้ง ทุกคนถลึงตาโตมองเหมียวอี้ที่นำคนเดินก้าวยาวออกไป แม้แต่อิ๋งลั่วหวนเองก็ยังเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกสามี ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองไปอย่างงงงัน
เป็นจั่วเอ๋อร์แม่บ้านของตระกูลอิ๋งที่ตอบสนองไว้ ช่วยคิดหาทางช่วยอ๋องสวรรค์กู้สถานการณ์นี้ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าววันมงคลนี้แพร่ออกไปก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ ต่อให้จะคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อแต่ก็ไม่ใช่วันนี้
นางถลันตัวออกมาขวางตรงหน้าเหมียวอี้ไว้ ยามปกติเมื่อเจอกับตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวอี้ นางจำเป็ฯต้องมองตรงด้วยเหรอ? แต่ครั้งนี้นางจำเป็นต้องเลิกวางมาดก่อน กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “แม่ทัพภาคหนิว ให้พี่น้องกองทัพองครักษ์ที่ถืออาวุธมาทำงานเล็กน้อยไม่เข้ากับความสามารถแล้ว แต่เห็นแก่ที่สนมสวรรค์กับทุกคนเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ได้โปรดรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของสนมสวรรค์เอาไว้ด้วย” นางเปลี่ยนหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้
นางเน้นคำว่า ‘สนมสวรรค์’ เป็นพิเศษ แอบบอกเป็นนัยว่านี่คือสนมที่ราชันสวรรค์รับไว้ การพังงานนี้ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าราชันสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อจะต้องพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ความคิดของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับราชันสวรรค์เลย อารมณ์ที่อัดอั้นตันใจอยู่ในเขตแดนที่ใกล้จะปะทุแล้ว รางวัลนี้เหมือนสิ่งที่มายั่วยุอารมณ์อยู่ตรงหน้าเขา กระตุ้นให้เขาควบคุมความรู้สึกไม่ได้ทันที กล่าวเสียงต่ำอย่างเย็นเยียบว่า “ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ หนิวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอับอาย!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกพี่น้องของกองมังกรดำก็ตกใจแล้ว ทุกคนของตระกูลอิ๋งก็ตกตะลึงเช่นกัน
สวีถังหรานที่อยู่ข้างกันก็ยิ่งตกใจจนตับสั่น ราชันสวรรค์รับสนมทำไมกลายเป็นขายผู้หญิงแลกเกียรติยศแล้วล่ะ? นี่ไม่ใช่การล่วงเกินแค่ตระกูลอิ๋ง นายท่านบรรพบุรุษของข้าเอ๊ย นี่มันเป็นการล่วงเกินผู้หญิงทุกคนของวังหลังเชียวนะ ล่วงเกินอำนาจที่อยู่เบื้องหลังผู้หญิงพวกนั้นด้วย แม้แต่ราชินีก็โดนเจ้าลากไปเช่นกัน เป็นประโยคเดียวที่โหดกว่าเจ้าล้างเลือดตลาดสวรรค์สิบครั้ง!
จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ตะลึงค้างแล้ว กำไลเก็บสมบัติที่ยื่นให้ค้างอยู่กลางอากาศ เหมือนทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อย ท่านนี้เป็นบ้าไปแล้วรึเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรแบบนี้อออกมาได้!
เหมียวอี้ทำหน้าตึง ขี้คร้านจะสนใจนาง เดินก้าวยาวอ้อมนางออกไป กลุ่มพี่น้องกองมังกรดำที่เงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้าหนาวรีบก้มหน้าตามเขาไป
“หยุดนะ!”
เสียงตะคอกอันเดือดดาลดังขึ้นหลายครั้ง
คนในตระกูลอิ๋งรู้สึกไม่ปลื้มทันที เงาคนหลายคนถลันตัวเข้ามา ขวางตรงหน้าเหมียวอี้เอาไว้ มีคนชี้หน้าด่าเขาว่า “แม่ทัพภาคกระจอกๆ คนหนึ่งกล้ามาทำอวดดีตรงนี้ได้เหรอ ตบปากตัวเองให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่!”
เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเจ้าคนทรามตรงหน้า ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ แต่แทนที่จะตบปากตัวเอง เขากลับส่งสัญญาณมือ
ทุกคนของกองมังกรดำตกใจทันที หยางเจาชิงตะโกนเสียงต่ำแล้วว่า “เตรียมโจมตีศัตรู!”
คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา ถึงแม้ทุกคนของกองมังกรดำจะลังเลในใจ แต่ทุกคนก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง เวลาเกิดเรื่องขึ้นก็จะโทษพวกเราไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทหาร ตอนหลังก็จะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ
ทันใดนั้น เสียงเกราะรบขยับดังเป็นแถบ ชั่วพริบตาเดียวอาวุธที่ตั้งเรียงรายก็ชี้ไปยังลูกหลานตระกูลอิ๋งที่แทรกแถวออกมา และยิ่งมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกนับไม่ถ้วนที่ง้างสายเล็งไปที่พวกเขา ขณะเดียวกันก็ชี้ไปยังคนของตระกูลอิ๋งที่อยู่รอบๆ
เรื่องมงคลกลายเป็นเรื่องแบบนี้ไปแล้ว กลายเป็นใช้อาวุธเจอหน้ากัน ขนาดคนของตระกูลอิ๋งเองยังรู้สึกเลยว่ากำลังจะระเบิด ใบหน้าชราของอิ๋งจิ่วกวงดำเป็นก้นหม้อแล้ว
ตอนนี้แม้แต่จั่วเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าตระกูลอิ๋งกลัวทหารเล็กๆ พวกนี้ เพราะสามารถกำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ แต่ที่นี่คืออาณาเขตของกองทัพองครักษ์ และเป็นเขตการดูแลของวังสวรรค์ด้วย การลงมือกับทหารเล็กๆ พวกนี้ที่นี่ ก็เท่ากับแตะต้องกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์อยู่ใต้หนังตาราชันสวรรค์ ต่อให้มีเหตุผลเต็มที่แต่ก็เหมือนไม่มีเหตุผลอยู่ดี สถานการณ์ร้ายแรงมาก
ต่อให้ราชันสวรรค์จะไม่เอาเรื่อง แต่ก็ไปมีเรื่องกับโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ไหว ถ้าโจมตีเข้ามาในอาณาเขตของโพ่จวิน แค่นิสัยเจ้าอารมณ์ของโพ่จวินที่กล้าเถียงกับราชันสวรรค์ มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาทั้งหมดไป? และตระกูลอิ๋งก็ไม่ได้นำกำลังพลมาที่นี่ด้วย ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำกำลังพลภายนอกเข้ามา ไม่สามารถนำเข้ามาได้เลย ถ้าสู้กับโพ่จวินที่รังเก่าของกองทัพองครักษ์ก็จะต้องเสีบเปรียบแน่ ถ้าถูกยอดฝีมือจำนวนมากล้อมโจมตี ถ้าทำให้วุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะเสียหน้าเองก็ได้
“พวกเจ้าอยากจะก่อกบฏใช่มั้ย?” ลูกหลานคนนั้นของตระกูลอิ๋งโมโหแล้ว ชี้หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกด่า เคยโดนคนปฏิบัติด้วยแบบนี้เสียเมื่อไรกัน
“วันมงคลแบบนี้จะก่อเรื่องทำไม ไสหัวกลับมาให้หมด!”
อิ๋งจิ่วกวงที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักกล่าวเสียงเรียบ สีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว ทำเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าจะให้อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาประลองกำลังต่อหน้าแม่ทัพภาคเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนั้นก็น่าอายไปหน่อย ที่สำคัญคือที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะแสดงบารมีได้ ไม่อย่างนั้นจากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ วันนี้ต่อให้ฆ่าเหมียวอี้ตายที่นี่ แต่เขาก็กู้หน้าตากลับมาไม่ได้อยู่ดี ศักดิ์ศรีหน้าตาของเขาจะกลับคืนมาได้เพราะการตายของตัวละครเล็กๆ คนเดียวเหรอ? วันนี้เป็นวันมงคลของหลานสาวเขา ไม่สะดวกจะปล่อยให้เกิดเรื่องอัปมงคลขึ้น ส่วนคำพูดแบบนั้นที่เหมียวอี้กล่าวออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือหรอก เหมียวอี้จะมีชีวิตรอดผ่านวันนี้ไปได้เหรอ?
เขาเปลี่ยนจากท่าทีเดือดดาลสุดขีดกลับมาเป็นสุขุมเยือกเย็นแล้ว ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้แล้ว
พวกลูกหลายของตระกูลอิ๋งนึกว่าตัวเองฟังผิดไป พากันมองอ๋องสวรรค์อิ๋งด้วยสีหน้าหงุดหงิด ผลปรากฏว่าเห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งทำสีหน้าเคร่งขรึม จึงตกใจจนรีบถอยกลับมา
เหมียวอี้เดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา กำลังพลของกองมังกรดำมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง รีบถอนกำลังตามเขาไปแล้ว
กำเริบเสิบสาน! มีลูกหลานของตระกูลอิ๋งจำนวนไม่น้อยที่กล่าวคำนี้ในใจ กำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ!
วันนี้พวกเขานับว่าได้รับบทเรียน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อกล้าสังหารหมู่ที่ตลาดสวรรค์ ทำไมถึงกล้าล่วงเกินผู้มีอำนาจมากมายของตำหนักสวรรค์ เขามันก็คนบ้าคนหนึ่งนี่เอง! กล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งแบบซึ่งๆ หน้าแล้ว ยังมีอะไรที่เจ้าบ้านี่ไม่กล้าทำอีกล่ะ? ล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่ปกติจริงๆ!
อิ๋งลั่วหวนที่ตะลึงค้างกลับไม่คิดอย่างนั้น นางเหลือบมองเงาร่างของเหมียวอี้ที่หายไปด้วยแววตาที่เป็นประกายเป็นพิเศษ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย ตอนแรกนางมองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย!
แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวความโศกเศร้าก็พรั่งพรูขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวของกับลูกสาวของนางแล้วใช่มั้ย
นางรู้สึกเสียดายไม่หายที่ลูกสาวตัวเองปล่อยให้ผู้ชายแบบนี้ผ่านไป พอนึกถึงลูกสาวที่มีชะตากรรมลำเค็ญของลูกสาวตัวเอง นางก็หมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดสามีอีก
แต่ช่วยไม่ได้ที่จ้านผิงไม่ได้บอกนางว่าเบื้องหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเขากับเหมียวอี้ เพราะเขารู้วาฮูหยินของตัวเองทนการตักเตือนของอิ๋งจิ่วกวงไม่ไหว สักวันหนึ่งก็จะหลุดปากพูด ถ้าให้อิ๋งลั่วหวนรู้ความจริงขึ้นมา เกรงว่าคงจะอยากฉีกเนื้อเหมียวอี้ทั้งเป็นๆ จะยังรู้สึกว่าเหมียวอี้ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชายได้เหรอ เป็นเรื่องที่ผู้ชายทำได้เสียที่ไหนกัน
จ้านผิงที่กำลังลูบหลังนาง ตอนนี้มีเพียงคำว่า ‘โง่เง่า’ ให้เหมียวอี้
“ท่านปู่ ควรจะรายงานฝ่าบาทให้ลงโทษเจ้าคนอวดดีคนนี้ให้หนักๆ เลยยะ!” หลานชายคนหนึ่งของตระกูลอิ๋งกุมหมัดคารวะอย่างกระฟัดกระเฟียด
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะไปถือสาทำไม” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วหันตัวกลับเข้าไปข้างใน
ความใจกว้างและความเด็ดขาดนี้มีเยอะจนทำให้หลานชายคนนั้นไม่เข้าใจ จั่วเอ๋อร์ที่เดินผ่านตัวเขาแอบส่ายหน้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว จำเป็นต้องให้ท่านปู่เจ้ารายงานด้วยเหรอ? วิธีการเอาชีวิตคนก็มีระดับสูงต่ำของมันเหมือนกัน
ส่วนทางด้านเหมียวอี้ ที่จริงพอนำกำลังพลเดินออกมาจากประตูใหญ่เรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ประดับประดาผ้าหลากสีแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจทีหลัง เวลาที่ควรจะวู่วามก็ไม่วู่วาม แต่เวลาที่ไม่ควรจะวู่วามกลับวู่วาม รู้ว่าความวู่วามชั่วขณะนี้ได้ทำให้ตัวเองเจอหายนะที่หลีกเลี่ยงได้ยากแล้ว
…………………………