พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1447 ข้าบอกให้เขาพูดเอง
“ขอรับ!” เกาก้วนไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไปทันที
พอมีเรื่องนี้เข้ามาประสมโรง ประมุขชิงก็หมดอารมณ์จะไปหาความบันเทิงแล้ว สะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงฮึดฮักแล้วหันเลี้ยง กลับเข้าไปรอในตำหนักดาราจักรอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงถึงสถานะตัวเอง ภายใต้ความเดือดดาลแบบนี้ เขาต้องไปคิดบัญชีกับเหมียวอี้ด้วยตัวเองแน่นอน
ซ่างก่วนชิงแอบส่ายหน้าตามอยู่ข้างหลัง เขามองออกว่าเหมียวอี้ยั่วโมโหประมุขชิงแล้วจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ประมุขชิงก็อาจะไม่เก็บตัวละครเล็กๆ แบบนี้มาใส่ใจเลย แต่คนโปรดของประมุขชิงดันมาทำกำเริบเสิบสานแบบนี้ สิ่งที่ทำให้ประมุขชิงรู้สึกเหมือนตบหน้าตัวเอง
เขารู้ดี คนที่ไม่มีใครหนุนหลังเหมือนหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็จะต้องตายแน่นอน เรื่องที่มีคนมากมายขนาดนั้นเห็นกับตา หนิวโหย่วเต๋อปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง เฟยหงกลับมาอย่างหดหู่ นางก้าวเข้ามาในตำหนักอย่างช้าๆ ทุกคนในตำหนักเผยสายตาเฝ้าหวังทันที ทว่าพอได้เห็นปฏิกิริยาของเฟยหง ทุกคนก็แอบทอดถอนใจอีก คาดว่าคงจะไม่ได้อะไรกลับมา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนมองไปด้านหลังเฟยหงอีกครั้ง เห็นเพียงเงาคนสามคนเหยียบลงด้านนอก เกาก้วนมีสีหน้าเรียบเฉย นำคนสองคนเดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ทหารยามที่อยู่ข้างนอกไม่กล้าขัดขวาง
จู่ๆ ผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้ก็โผล่มา ทุกคนหัวใจกระตุกวูบทันที
เหมียวอี้ที่ประคองกระบี่นั่งอยู่เบื้องสูงลุกขึ้นยืน เก็บกระบี่วิเศษ แล้วรียเดินลงบันไดมากุมหมัดคารวะ “ทูตขวาเกามาเยือนตัวตนเอง ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี เชิญนั่งด้านบนขอรับ!” เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกาก้วนมาลงโทษเขาหรือมาช่วยเขา ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายไปแล้ว
ผ้าคลุมบ่าสีดำปลิวสะบัดตามจังหวะเดิน เกาก้วนหยุดฝีเท้าและยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ ถามเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องนั่งข้างบนแล้ว ข้าได้รับคำสั่งให้มาถามเจ้า ในพิธีรับสนมสวรรค์ แม่ทัพภาคหนิวจงใจก่อความวุ่นวายใช่หรือไม่?”
ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ จบเห่แล้ว! มาเพราะเรื่องนี้จริงๆ!
เหมียวอี้ก็ตึงเครียดในใจเช่นกัน ตอบว่า “ถ้าจะบอกว่าจงใจก่อความไม่สงบ ก็อาจจะไม่ยุติธรรมกับข้าน้อยไปหน่อย ข้าน้อยแค่ไม่อยากรับรางวัลขอรับ ตระกูลอิ๋งมาขวางพวกข้าน้อยเอาไว้ ข้าน้อยหัวร้อนไปชั่วขณะ ก็เลยพูดแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า แม่ทัพภาคหนิวเคยพูดว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’ ในงานจริงๆ?” เกาก้วนถาม
เหมียวอี้รู้ว่าแก้ตัวเรื่องนี้ไม่ไหว จึงแอบกัดฟัน ขณะกำลังจะตอบ ใครจะคิดว่าจู่ๆ ด้านนอกจะมีเสียงที่ก้องกังวานดังมา “ข้าสั่งให้เขาพูดเอง! ทูตขวาเกามีความเห็นอะไรก็มาถามข้าได้เลย!”
ทุกคนหันไปด้านนอกพร้อมกัน ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำ รูปร่างผอมบางและค่อนข้างเตี้ยบุกเข้ามาอย่างมีพลังเต็มเปี่ยม แววตาเป็นประกาย มีพลังอำนาจในตัวเอง ข้างกายมีชายวัยกลางคนที่ผิวขาวปากแดง แววตาล้ำลึก บุคลิกสง่างาม
พอเห็นชายชราตัวเตี้ยปรากฏตัว กอปรกับคำพูดเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่าย เหมียวอี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขาเคยพบคนคนนี้ที่ทะเลดาวสับสนครั้งหนึ่ง เป็นผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้าย จึงทำความเคารพทันที “ข้าน้อยแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อของกองมังกรดำ ทัพเป่ยโต้ว สังกัดหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่คารวะผู้บัญชาการองครักษ์ซ้าย!”
ทุกคนในกองมังกรดำตกใจทันที พากันคารวะตาม “คารวะผู้บัญชาการองครักษ์ซ้าย!”
โพ่จวินยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเผชิญหน้ากับเกาก้วนต่อ ถึงแม้จะตัวไม่สูงเท่าเกาก้วน แต่ดูมีพลังมากกว่า เขาแสยะยิ้มแล้วกล่าวว่า “เกาก้วน ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมามาหาเรื่องที่หน่วยองครักษ์ซ้ายของข้า? ได้รับอนุญาตจากคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายหรือยัง?”
“ข้าได้รับคำสั่งมา หรือว่าคำสั่งของฝ่าบาทใช้ไม่ได้ผลที่หน่วยองครักษ์ซ้าย?” เกาก้วนถามอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป็นคำสั่งของฝ่าบาท ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน ตอนนี้คนที่สามารถตัดสินใจอย่างข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว มีอะไรก็รีบว่ามา!” โพ่จวินกล่าว
เกาก้วนจึงบอกว่า “จากรายงาน หนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเจ้ากล่าวจาบจ้วงบารมีของราชันสวรรค์ในงานพิธีรับสนม ฝ่าบาทเดือดดาลมาก สั่งให้ข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง หวังว่าผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายจะให้ความร่วมมือ!”
“ให้ความร่วมมือ แน่นอนว่าให้ความร่วมมือ!” โพ่จวินพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างดื้อรั้นเอาแต่ใจว่า “ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้ เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกไปแล้ว ข้าสั่งให้เขาพูดเอง หนิวโหย่วเต๋อปฏิบัติตามคำสั่งทหารของหน่วยองครักษ์ซ้าย หรือว่าทูตขวาเกามีความเห็นแย้งอะไร?”
“ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายต้องคิดดูให้ดีนะ จะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้ ต้องการจะรับผิดชอบเหรอ?” เกาก้วนถาม
โพ่จวินแสยะยิ้ม “พูดซี้ซั้วเหรอ? สิ่งที่พูดไปไม่ใช่ความจริงรึไง? ที่จริงตาแก่น่าไม่อายอิ๋งจิ่วกวงก็ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศอยู่แล้ว ข้าเห็นเรื่องหายนะของวังหลังแบบนี้มาจนชินแล้วล่ะ อย่าว่าแต่หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงเลย ต่อให้เป็นราชินีสวรรค์ ข้าเองก็ไม่รู้สึกว่านางเป็นมารดาแห่งใต้หล้าเหมือนกัน ข้าโน้มน้าวให้ถอดราชินีสวรรค์ออกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าฝ่าบาทจะลงโทษข้าเลย เกาก้วน ถึงคราวที่เจ้าจะถ่อมาเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ปาดเหงื่อ! ขณะที่พวกเหมียวอี้รู้สึกเหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอก ก็พาปาดเหงื่อเช่นกัน พบว่าผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายท่านนี้พูดจาโหดใช้ได้ ไม่เกรงใจเลยสักนิดเดียว!
เกาก้วนจึงบอกว่า “ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายมีความเห็นอะไรก็ไปชี้แจงต่อหน้าฝ่าบาทได้ เรื่องไร้ระเบียบพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าสนใจ ข้าเพียงปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น หวังว่าผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายจะให้ความร่วมมือ!” จากนั้นยกมือชี้เหมียวอี้ “ทหาร พาตัวหนิวโหย่วเต๋อไปสอบสวน!”
“บังอาจ!” โพ่จวินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด กวาดสายมองสองคนข้างหลังเกาก้วนที่กำลังจะลงมือ “หน่วยองครักษ์ซ้ายเป็นกองทัพองครักษ์ของฝ่าบาท จะยอมให้ใครมากำเริบเสิบสานตามใจได้ยังไง! ใครกล้าแตะต้องก็ลองดู ข้าจะบิดหัวมันมาทำเป็นกระโถนขี้!”
สองคนนั้นทำสีหน้าไม่ถูก โดนตะคอกจนหยุดแล้ว พากันเอียงหน้ามองไปทางเกาก้วน ดูปฏิกิริยาของเขา
“โพ่จวิน เจ้าอยากจะขัดคำสั่งรึไง?” เกาก้วนหรี่ตาถาม
โพ่จวินแสยะยิ้ม “อย่ามายัดข้อหาให้ข้า ข้าบอกไปแล้วไง หนิวโหย่วเต๋อปฏิบัติตามคำสั่งทหารของข้า ทูตขวาเกาควรจะพาตัวต้นเรื่องอย่างข้าไปสิถึงจะถือว่าปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาทจริงๆ ไม่ใช่เอาตัวคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญไปตบตาฝ่าบาท! ลงมือเถอะ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาท ไม่ฝ่าฝืนเด็ดขาด!” พูดจบก็ยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน
เกาก้วนเผยแววตาคมกริบราวกับมีด จ้องโพ่จวินอย่างไม่ละสายตา สุดท้ายก็สะบัดชายเสื้อ หันตัวเดินจากไป “ไป…โพ่จวิน เจ้าไปคิดเอาแล้วกันว่าจะอธิบายกับฝ่าบาทยังไง!”
แตะต้องหนิวโหย่วเต๋อไม่สำเร็จ กลับมาโดยไร้ผลงาน ทว่าหากประมุขชิงยังไม่มีคำสั่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่เกาก้วนจะจับตัวผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายไป ถ้าทำแบบนี้จริงๆ จะกลายเป็นว่าหน่วยตรวจการขวาจับตัวหัวหน้าของหน่วยองครักษ์ซ้ายโดยไม่ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นจะไม่แย่หรือไง? เกรงว่าศูนย์บัญชาการของหน่วยตรวจการขวาจะต้องโดนกำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้ายทำลายแน่นอน ต้องทราบไว้ว่าโพ่จวินกุมอำนาจทางทหารเอาไว้คุ้มกันวังสวรรค์ครึ่งหนึ่ง ถ้าใช้กำลังทหารขู่เบื้องบน ประมุขชิงก็จะต้องจัดการเกาก้วนเพื่อระงับความเดือดดาลของพี่น้องหน่วยองครักษ์ซ้าย
“ไม่รบกวนให้ทูตขวาเกาต้องมายุ่งหรอก กลับดีๆ ขออภัยที่ส่งแค่ตรงนี้!” โพ่จวินแสยะยิ้ม แล้วหันกลับมา กวาดสายตามองทุกคนพร้อมถามว่า “คนไหนออกคำสั่ง ‘เตรียมโจมตีศัตรู’ ในเรือนของอิ๋งจิ่วกวง?”
ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องหรือว่าจะทำอย่างไร หนิวโหย่วเต๋อกุมหมัดคารวะตอบทนัที “เป็นข้าน้อยเองที่ออกคำสั่ง”
โพ่จวินเหล่ตามองแวบหนึ่ง “ข้ารู้ว่าเป็นความคิดของเจ้า ข้าถามว่าคนไหนเห็นเจ้าส่งสัญญาณมือแล้วตะโกนว่า ‘เตรียมโจมตีศัตรู’ อย่างไม่ลังเล”
เมื่อเห็นว่าเขารู้เรื่องในสถานที่เกิดเหตุอย่างชัดเจน หยางเจาชิงก็จำต้องแข็งใจยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะตอบ “ตอบผู้บัญชาการองครักษ์ เป็นข้าน้อยเองขอรับ”
โพ่จวินจ้องประเมินหยางเจาชิงศีรษะจดเท้า ในดวงตาฉายแววชื่นชมเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ใช้ได้! รู้ทั้งรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งและมีอำนาจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งทหารอย่างไม่ลังเล เห็นความตายเหมือนการกลับบ้านเก่า นี่ต่างหากคือจิตใจหยิ่งทระนงที่หน่วยองครักษ์ซ้ายควรจะมี ถ้าไม่มีจิตใจที่หยิ่งทระนงระดับนี้แล้วกลายเป็นนกสองหัวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาจงรักภักดีต่อฝ่าบาท! ฮวาอี้เทียน แบบนี้สิที่เป็นแบบฉบับของการปฏิบัติตามคำสั่งทหารที่หนักแน่นดุจขุนเขา!”
ชายหน้าขาวปากแดงผู้สง่างามที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ายิ้ม “ขอรับ!”
ฮวาอี้เทียน? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ที่แท้ก็เป็นท่านนั้นที่อยู่ตลาดผีนี่เอง
ตอนอยู่ที่ตลาดผีฮวาอี้เทียนปลอมตัวไว้ เขาไม่รู้ว่าฮวาอี้เทียนหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่มาแล้ว จึงรีบทำความเคารพทันที “ข้าน้อยคารวะผู้ตรวจการใหญ่”
คนที่เหลือก็รีบทำความเคารพเช่นกัน “คารวะผู้ตรวจการใหญ่”
ฮวาอี้เทียนหรี่ตายิ้มพลางโบกมือ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี
สายตาของโพ่จวินกลับไปตกอยู่บนยศตรงคอปกเสื้อเกราะของหยางเจาชิง พบว่าเป็นแค่ทหารเลวห้าแถบเอง จึงพูดออกมาอย่างสบายๆ อีกว่า “ถ้าควรจะตบรางวัลก็ต้องตบรางวัล อย่าทำเล่นๆ เพิ่มยศให้เขาอีกสองขั้น”
ฮวาอี้เทียนเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว ทำแบบนี้เพราะต้องการให้เป็นแบบอย่างที่ดีกับพี่น้องหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาพยักหน้าตอบว่า “เดี๋ยวกลับไปจะให้ทัพเป่ยโต้วดำเนินการขอรับ”
หยางเจาชิงรีบทำความเคารพ “ขอบคุณผู้บัญชาการองครักษ์ ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่”
ในโถงมีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่เป็นการเลื่อนยศติดต่อกันสองขั้นแล้ว เลื่อนจากทหารเลวห้าแถบไปเป็นแม่ทัพหนึ่งแถบในรวดเดียว?
สวีถังหรานอ้าปากเล็กน้อย นึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ตอนนั้นเขาอยู่ในเหตุการณ์และกลัวแทบตาย ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ถ้าตอนนั้นคนที่ตะโกนเป็นเขา คนที่ได้เลื่อนยศสองขั้นก็จะเป็นเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนั้นเขาจะลังเลทำไมกันนะ! ในใจสวีถังหรานเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะพลาดโอกาสนั้นไปเฉยๆ ต้องทราบไว้ว่าการจะเลื่อนยศสักขั้นหนึ่งนั้นยากขนาดไหน!
ตอนนี้เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกหรือเปล่าว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ รู้ตั้งแต่แรกว่าผู้บัญชาการองครักษ์จะออกหน้าช่วย ถึงได้มีความกล้าขนาดนั้น พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งนึกเสียใจทีหลัง แต่ไหนแต่ไรมานายท่านก็ไม่เคยอ่อนหัดเลย ตัวเองควรจะเข้าใจตั้งนานแล้วสิ
เรื่องนี้ได้ให้บทเรียนกับเขาอีกครั้ง เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าต่อไปนี้ขอเพียงแค่เป็นคำสั่งของเหมียวอี้ เขาก็จะไม่ลังเลเด็ดขาด…
ส่วนโพ่จวินก็โพล่งออกมาว่า “รางวัลของตระกูลอิ๋งไม่มีอะไรน่ารับจริงๆ รางวัลที่แลกมาจากการให้หลานสาวถอดกระโปรงพวกนั้นน่ะ ไม่เอาก็ได้หรอก แต่หน่วยองครักษ์ซ้ายของพวกเราก็ไม่ให้พี่น้องเสียเปรียบ ออกคำสั่งลงไป ว่าพี่น้องคนไหนที่ปฏิเสธรางวัลในเรือนพักของตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวหน่วยองครักษ์ซ้ายจะออกเงินชดเชยให้เอง”
“ขอรับ!” ฮวาอี้เทียนเอ่ยรับพร้อมรอยยิ้ม
โพ่จวินหันตัวไปจ้องเหมียวอี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ให้รางวัลหยางเจาชิงแล้ว แต่กลับไม่ให้รางวัล ‘ผู้สร้างผลงาน’ ที่มีจิตใจหยิ่งทระนงที่สุดอย่างเหมียวอี้ หันตัวแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไปเลย
“น้อมส่งผู้บัญชาการองครักษ์” ฮวาอี้เทียนกุมหมัดคารวะ
“น้อมส่งผู้บัญชาการองครักษ์!” พวกเหมียวอี้รีบกล่าวตาม
รอจนกระทั่งโพ่จวินหายไปแล้ว ฮวาอี้เทียนก็เก็บมือแล้วหันตัวมากวาดสายตามองกลุ่มคน “อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด ทุกคนต้องรู้อยู่แก่ใจ เรื่องที่ผู้บัญชาการองครักษ์ให้รางวัลกับทุกคน ทุกคนสามารถโอ้อวดได้ ส่วนเรื่องที่ผู้บัญชาการองครักษ์กับเกาก้วนคุมเชิงกัน ทุกคนก็ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ใครกล้าใช้ลิ้นมั่วๆ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน!”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ ในใจต่างก็เข้าใจดี คำพูดของโพ่จวินเมื่อครู่นี้ ที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับการขัดคำสั่ง เรื่องบางเรื่องทำได้แต่กลับโอ้อวดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้โพ่จวินอยู่ในสภาวะถูกกระทำ
“ส่วนเจ้าน่ะ!” ฮวาอี้เทียนพลันจ้องเหมียวอี้พร้อมถามอย่างเย็นเยียบ “เจ้ารู้มั้ยว่าทำอะไรผิด?”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้วถอนหายใจ “ข้าน้อยหัวร้อนไปชั่วขณะ จึงควบคุมปากตัวเองไม่ได้ รบกวนให้ผู้บัญชาการองครักษ์กับผู้ตรวจการใหญ่ตระหนกแล้ว ข้าน้อยยอมรับผิดแล้ว!”
ฮวาอี้เทียนชี้แนะว่า “ถึงแม้ผู้บัญชาการองครักษ์จะปกป้องเจ้าได้ แต่ต่อให้ปกป้องชีวิตเจ้าได้ แต่ก็ไม่อาจปกป้องให้เจ้าพ้นโทษ เจ้าเตรียมใจเอาไว้เถอะ”
“สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ข้าน้อยก็ซาบซึ้งมิรู้สิ้นแล้วขอรับ!” เหมียวอี้กล่าว
“เรื่องที่จาบจ้วงบารมีราชันสวรรค์ ต่อไปนี้อย่าทำอีก ถ้ามีครั้งหน้าอีกก็ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าพิจารณาตัวเองแล้วกัน!” ฮวาอี้เทียนกล่าวคำเตือนทิ้งไว้ แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป
………………………