พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1449 แผนการลงโทษ
ซ่างก่วนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนเซ็งนิดหน่อย ทั้งสองไม่ได้ไปล่วงเกินโพ่จวิน แต่ผลปรากฏว่าพอประตูเมืองไฟไหม้ ส่งผลร้ายถึงปลาในบ่อ[1] โดนเจ้าล่อโง่ตัวนั้นตำหนิไปยกหนึ่งแล้ว ทำเอาพวกเขาดูเหมือนขุนนางชั่วอย่างนั้นแหละ
เกาก้วนยังคงยืนอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานโดนโพ่จวินด่าต่อหน้าฝูงชนจนกลายเป็นกองอุจจาระสุนัขแล้ว ด่าจนดูไร้ค่าไร้ราคา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยากจะบดขยี้ร่างโพ่จวินให้แหลกจริงๆ แต่นางดันทำอะไรโพ่จวินไม่ได้ โพ่จวินเถียงฝ่าบาทขนาดนี้ แต่ฝ่าบาทยังปล่อยเขาไป นางโมโหจะตายอยู่แล้ว!
ถึงแม้คนจะไปแล้ว แต่ในตำหนักใหญ่เหมือนยังมีเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดระหว่างโพ่จวินกับประมุขชิงดังก้องอยู่
คนในตำหนักเงียบงันพลางมองประเมินประมุขชิงที่โมโหจนหอบหายใจ ทุกคนไม่พูดอะไรทั้งนั้น ต่างก็รู้ว่าตอนนี้ประมุขชิงกำลังหัวร้อน โพ่จวินโต้แย้งกับประมุขชิงจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว คาดว่าประมุขชิงก็คงชินแล้วเช่นกัน แต่เรื่องที่โพ่จวินทำก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำเหมือนกันได้
โพ่จวินทำตามหลักการโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าจู่ๆ คนอื่นทำแบบนี้บ้าง ประมุขชิงก็จะต้องสงสัยในเจตนาของเจ้าแล้ว
หลังจากผ่านไปนาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้กล้าถามออกมาว่า “ฝ่าบาท โจรชรานั่นไร้มารยาท ส่งหนิวโหย่วเต๋อนั่นให้หม่อมฉันจัดการดีไหมเพคะ?”
เกาก้วนและคนอื่นๆ เหล่ตามองแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นบ้าอะไร วุ่นวายถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ? เดิมทีอีกฝ่ายก็อยากจะถอดเจ้าออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างโพ่จวิน ถ้าไปยั่วโมโหเขา เจ้าคิดว่าเขาจะไม่กล้าใช้กำลังทหารโจมตีเข้าวังหลังแล้วประหารก่อนค่อยรายงานโดยอ้างว่า ‘กวาดล้างคนเลวข้างกายราชัน’ เหรอ?
ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วตะคอกว่า “ออกไปให้หมด!”
“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังคิดจะพูดอีกสองสามประโยค ผลปรากฏว่าประมุขชิงถลึงตาอย่างดุดัน ทำให้นางตกใจจนต้องกลืนคำพูดกลับไป แล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “หม่อมฉันขอตัว!”
หลังจากนางออกไปแล้ว ประมุขชิงถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ปากยังคงพึมพำด่าอย่างเคียดแค้นไม่หยุดว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ!”
“ฝ่าบาท!” ซือหม่าเวิ่นเทียนถามหยั่งเชิง
“มีเรื่องอะไร?” ประมุขชิงกวาดสายตาพร้อมเอ่ยถามถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงให้ฟังรอบหนึ่ง เริ่มตั้งแต่ตอนที่เกาก้วนเข้าไปในจวนแม่ทัพภาค เรื่องพวกนี้เกาก้วนเล่าไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่เกาก้วนยังไม่รู้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเกาก้วนออกไปแล้ว
ตอนที่ได้ยินว่าโพ่จวินให้รางวัลลูกน้องของเหมียวอี้ เลื่อนยศให้ลูกน้องเหมียวอี้สองขั้น แต่กลับไม่ได้ให้รางวัล ‘ผู้สร้างผลงานใหญ่’ อย่างเหมียวอี้ สีหน้าโกรธเคืองของประมุขชิงก็เบาบางลง มองออกว่าโพ่จวินยังรู้จักบันยะบันยัง ออกหน้าปกป้องเหมียวอี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่เหมียวอี้จาบจ้วงอำนาจบารมีสวรรค์ก็เป็นเรื่องจริง โพ่จวินเองก็ไม่ได้ชื่นชมที่เหมียวอี้ทำแบบนั้น
โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งและมีอำนาจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งทหารอย่างไม่ลังเล เห็นความตายเหมือนการกลับบ้านเก่า นี่ต่างหากคือจิตใจหยิ่งทระนงที่หน่วยองครักษ์ซ้ายควรจะมี ถ้าไม่มีจิตใจที่หยิ่งทระนงระดับนี้แล้วกลายเป็นนกสองหัวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาจงรักภักดีต่อฝ่าบาท!’
จากสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าโพ่จวินทำไปก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจทหาร และก็เป็นอย่างที่โพ่จวินบอก กลายเป็นนกสองหัวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาจงรักภักดีต่อประมุขชิง
สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้เช่นกันว่าการที่โพ่จวินปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ ความจริงคืออยากจะอาศัยเรื่องนี้มาโน้มน้าวเขา
ประโยค ‘จงรักภักดีต่อฝ่าบาท’ นั้นเทียบเท่าพันคำพูดหมื่นคำจา ความเดือดดาลที่ประมุขชิงข่มไว้ในใจหายไปแล้ว สีหน้าท่าทางก็สงบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน สำหรับเรื่องที่ขว้างของใส่หน้าโพ่จวินจนหัวแตกด้วยความโมโหเมื่อครู่นี้ เขาเองก็เสียใจอยู่บ้างเหมือนกัน
หลังจากเงียบไปนาน ประมุขชิงก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หรือว่าข้าทำผิดไปแล้วจริงๆ? หรือว่าข้าเลี้ยงสาวงามไว้ในวังสวรรค์เยอะเกินไปจริงๆ? อย่าบอกนะว่าในสายตาของคนในใต้หล้า ข้ากลายเป็นพวกบ้าผู้หญิงไปแล้ว?” สายตามองไปที่ซือหม่าเวิ่นเทียน เห็นได้ชัดว่าให้เขาตอบก่อน
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “โพ่จวินก็นิสัยเจ้าอารมณ์แบบนั้นขอรับ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำตามอารมณ์ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ” ในใจพูดเสริมอีกว่า ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ฆ่าเขาอยู่ดี และไม่มีทางยอมรับคำตำหนิด้วย กับเรื่องแบบนี้ สำคัญด้วยเหรอว่าพวกเราจะพูดอะไร?
ซ่างก่วนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าเหตุผลที่ฟังคล้ายจะจริงของโพ่จวินจะถูกต้องหรือไม่ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ การโจมตีบุกยึดใต้หล้านั้นยาก แต่การปกครองใต้หล้านั้นยากกว่า เรื่องราวในใต้หล้านี้ ที่จริงก็เป็นเรื่องราวในครอบครัวของฝ่าบาท การบุกยึดใต้หล้าต้องอาศัยกำลังทหารกวาดล้างนั้นเป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียหลังจากโจมตีพังแล้วก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ วุ่นวายนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก การปกครองบ้านตัวเองจะให้ใช้กำลังชกต่อยกันตั้งแต่เช้ายันค่ำเชียวหรือ ถ้าสู้กันจนบ้านพังแล้วจะถือว่าบ้านเป็นของใครล่ะ? ถ้าใช้วิธีการแข็งกร้าวกับทุกเรื่องจริงๆ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย คนที่ร่วมติดตามบุกยึดใต้หล้ากับฝ่าบาทในปีนั้นจะเป็นกลุ่มแรกที่ไม่เห็นด้วย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ โพ่จวินเชี่ยวชาญการรบ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญการปกครองใต้หล้า การที่เขาพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลกอะไร และพวกเราเองต่างก็รู้ดี ว่าฝ่าบาทไม่ใช่คนหมกมุ่นในนารี ถึงแม้วังสวรรค์จะมีสาวงามเยอะดั่งเมฆ แต่คนที่ฝ่าบาทเคยแตะต้องจริงๆ กลับมีไม่เยอะ ที่จริงสาวงามของวังสวรรค์เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฝ่าบาทคือประมุขแห่งใต้หล้า ไม่ได้แย่อย่างที่โพ่จวินบอกขอรับ!”
คำพูดพวกนี้ ประมุขชิงฟังแล้วสบายใจ ไม่ผิดหรอก! สาวงามของวังสวรรค์เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น!
โดนโพ่จวินต่อว่าจนทั้งคิดทบทวนทั้งสับสน ในใจเรียกได้ว่าวุ่นวายไปหมดแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็หาเหตุผลที่ทำให้อารมณ์ตัวเองสงบลงได้แล้ว จึงแสยะยิ้มบอกว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ ไม่คู่ควรจะมาปรึกษาหารือกับข้าหรอก!”
ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาใจเย็นและสุขุมเหมือนเดิมแล้ว มองสำรวจคนที่อยู่ตรงนั้นพร้อมถามว่า “เรื่องของหนิวโหย่วเต๋อนั่น ทุกคนคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร?”
พอกล่าวคำนี้ออกมา เขาเองก็ค่อนข้างกลุ้มใจ ไม่น่าเชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งจะใช้สมองเยอะขนาดนี้เพื่อแม่ทัพภาคเล็กๆ คนเดียว
พวกเขาก็รู้เช่นกันว่าพอโดนโพ่จวินทำแบบนี้ เวลาจะลงโทษขึ้นมาก็จัดการยากนิดหน่อย โพ่จวินดันทุรังออกหน้าปกป้องคน ผลักความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเอง แต่ถ้าปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปแบบนี้ จะให้ราชันสวรรค์ที่โดนหักหน้าอย่างเขาหาทางลงได้อย่างไร?
ทุกคนเงียบงัน ประมุขชิงจึงเรียกชื่อ “เกาก้วน เจ้าคือคนที่รับหน้าที่สอบสวนและบังคับใช้กฎหมาย”
เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “โพ่จวินอวดดีอย่างบ้าระห่ำ บังอาจขัดขวางคำสั่งของฝ่าบาท ตามความเห็นของข้าน้อย ควรจะตักเตือนโพ่จวินสักหน่อย ตัดหัวหนิวโหย่วเต๋อขอรับ เพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง ไม่อย่างนั้นถ้าให้ท้ายแบบนี้ต่อไป ในอนาคตเกรงว่าจะมีโพ่จวินคนที่สอง!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คำตอบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไม่ได้ตอบ
ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย โพ่จวินคนที่สอง? มีโพ่จวินอีกคนไม่ดีงั้นเหรอ?
เขาเองก็มองไปที่เกาก้วนโดยจิตใต้สำนึกเช่นกัน ถามเสียงเรียบว่า “ทูตขวาเกาชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมากไม่ใช่ หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้ความเหย่อหยิ่งอวดดีของโพ่จวินที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงไปขัดใจทูตขวาเกาแล้ว? หรือเป็นเพราะเมื่อครู่นี้โพ่จวินเพิ่งด่าเจ้าว่าอาจไม่ใช่ขุนนางที่จงรักภักดี?”
เกาก้วนตอบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ข้าก็น้อยเจาะจงเหตุการณ์ไม่เจาะจงคน ในเมื่อฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอแนะนำว่าให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปก็สิ้นเรื่องแล้วขอรับ”
“ถ้าปล่อยเขาไปแบบนี้ ก็เท่ากับข้าไว้หน้าโพ่จวิน แล้วหน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋งล่ะ เขาจะทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?” ประมุขชิงถาม
พวกเขาพึมพำในใจว่า หน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋งเป็นเรื่องรอง เกรงว่าจะเป็นเจ้าเองที่รู้สึกเสียหน้าไม่ได้มากกว่ามั้ง?
เพียงแต่ทิศทางของปัญหาก็ชัดเจนมากแล้ว โดนโพ่จวินเข้ามาประโสมโรงแบบนั้น ประมุขชิงไม่มีความคิดที่จะฆ่าหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว เพียงแต่การลงโทษนั้นเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าลงโทษเบาไปเขาก็ขายหน้า จะอธิบายกับทางตระกูลอิ๋งไม่สะดวก ถ้าลงโทษแรงไป ก็กลัวว่าทางโพ่จวินจะก่อเรื่องอีก
“ส่งไปที่ ‘แดนมรณะดึกดำบรรพ์’ แบบนี้จะเป็นการไว้หน้าทั้งโพ่จวินทั้งอ๋องสวรรค์อิ๋ง” เกาก้วนกล่าว
“แดนมรณะดึกดำบรรพ์?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างก่วนชิงงงงัน ซ่างก่วนชิงขมวดคิ้วถามว่า “แบบนี้ต่างอะไรกับการส่งเขาไปตาย? กลิ่นอายสังหาร กลิ่นอายอัปมงคลในนั้นสามารถฆ่าเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย ถ้าอยากให้เขาตาย ทำแบบนี้ยุ่งยากเกินไปรึเปล่า”
ประมุขชิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทูตขวาเกา เดี๋ยวถ้าโพ่จวินมาคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าอย่ามาโทษว่าข้าไม่เข้าข้างเจ้านะ”
จู่ๆ เกาก้วนก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หรือว่าฝ่าบาทลืมไปแล้ว? เขาเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี พวกกลิ่นอายสังหาร กลิ่นอายอัปมงคลน่าจะทำอะไรเขาไม่ได้ อสุราอัคนีผ่านการลับคมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มา ถึงได้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า”
ประมุขชิงชะงักไปชั่วครู่ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “แต่อสุราอัคนีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาตั้งแต่ก่อนเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เขาเข้าไปจะทนไหวเหรอ?”
เกาก้วนตอบว่า “การที่สามารถฝึกตามก้าวของอสุราอัคนีได้ ก็ย่อมแปลว่ามีความสามารถเฉพาะตัวที่ดีกว่า ฝ่าบาทก็จะได้ทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรมาหนึ่งคน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาก็ไม่ใช่คนโง่ คงไม่เข้าลึกไปในแดนมรณะจนยั่วโมโหสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหว แน่นอน ถ้าฝ่าบาทคิดว่าการลดตำแหน่งหรือใช้ทัณฑ์ทรมานหนิวโหย่วเต๋อสักยกจะทำให้ตระกูลอิ๋งรู้สึกว่ายุติธรรม ก็ไม่ต้องให้เขาไปก็ได้”
ประมุขชิงเงียบไป การให้คำอธิบายกับตระกูลอิ๋งเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือถ้าลงโทษเบาเกินไปเขาเองก็จะรู้สึกตงิดในใจ ขนาดก่อเรื่องใหญ่ในงานรับสนมของราชันสวรรค์ยังไม่โดนลงโทษหนักเลย แบบนี้คนในใต้หล้าจะมองอย่างไรล่ะ? อำนาจบารมีของเขาจะไปอยู่ไหนหมด?
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างก่วนชิงสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังแอบพึมพำอะไรกันอยู่
สุดท้ายก็เห็นประมุขชิงพยักหน้า แล้วประกาศว่า “ลงโทษให้เขาไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ นี่เป็นการลงโทษที่เบาที่สุดแล้ว” กำหนดตามนี้แล้ว
ซือหม่ากับซ่างก่วนมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วก็มองไปที่เกาก้วนด้วยสายตาตั้งคำถาม แต่เกาก้วนแสร้งทำเป็นไม่เห็น
“ฝ่าบาท ไปดำเนินการตอนนี้เลยใช่มั้ยขอรับ?” ซ่างก่วนชิงถาม
“พรุ่งนี้ค่อยประกาศแล้วกัน วันนี้เป็นวันมหามงคลของข้า ตาแก่ปัญญาทึบนั่นจะได้ไม่มาทำลายอารมณ์สุนทรีของข้าอีก” ประมุขชิงลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา เรื่องนี้มีบทสรุปแล้ว เขาเองก็เบาใจลงไม่น้อยแล้วเช่นกัน โบกมือบอกว่า “นำทาง อย่าให้สนมสวรรค์รอนาน”
ซ่างก่วนชิงยื่นมือนำทางอยู่ข้างหน้าทันที จากนั้นก็เดินตามกันไป
เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนที่เดินตามออกมาจากในตำหนักย่อมตามไปอีกไม่ได้ ทั้งสองหยุดยืนมองตามอยู่นอกตำหนัก ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบส่ายหน้า เมื่อครู่นี้ยังบอกอยู่เลยว่าตัวเองไม่ใช่คนลุ่มหลงในนารี ตอนนี้ดันรีบไปนอนกกหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง
เกาก้วนชำเลืองมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรื่องบางเรื่องเขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน เรื่องวางกับดักที่ตลาดผีเป็นความคิดของเขา แต่เขานึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะเข้ามาแทรกวางแผนการมากมายขนาดนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงถึงต้องการจะผลักจ้านหรูอี้ไปอยู่หน้าเวที
ลมพัดแรงแสงจันทร์กระจ่าง แสงสีเงินส่องสว่างปูพื้นแผ่นดิน
บนภูเขาลูกหนึ่งของจวนแม่ทัพภาคที่อยู่ไกลๆ เหมียวอี้ยืนเงยหน้ามองแสงจันทร์กระจ่างอยู่ริมหน้าผา
“นายท่านไม่ต้องกังวล มีท่านนายท่านโพ่จวินออกหน้าให้แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไรค่ะ” เฟยหงเดินมาพูดโน้มน้าวข้างหลังเขา
“เจ้ามาได้ยังไง?” เหมียวอี้ถามโดยไม่หันกลับมา
เขาอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้คนตามมา
“ที่นี่ลมพัดแรงค่ะ” เฟยหงสะบัดผ้าออกมาคลุมบ่าให้เขา
ลมแรงจริงๆ ผ้าคลุมบนบ่าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เหมียวอี้หันตัวมา แล้วยื่นมือช้อนคางนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้เห็นเจ้าเต้นมานานแล้ว ท่วงท่ายามเฟยหงเต้นระบำใต้แสงจันทร์คงจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบ”
เฟยหงยิ้มอย่างอ่อนหวานพราวไปด้วยเสน่ห์ นางก้าวถอยหลังช้าๆ แล้วกางแขนสองข้างอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างอ่อนช้อย เอวเพรียวบาง กระโปรงปลิวสะบัด ราวกับจะถูกลมพัดไป
……………………………………..
[1] ประตูเมืองไฟไหม้ ส่งผลร้ายถึงปลาในบ่อ 城门失火殃及池鱼 อุปมาว่าได้รับผลกระทบไปด้วย เหมือนเวลาไหม้กำแพงแล้วคนมาวิดน้ำไปดับไฟจนน้ำแห้งปลาตาย