พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1450 ทำบ้าอะไรกัน
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เฟยหงที่กำลังเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยค่อยๆ หยุดอยู่ท่ามกลางสายลม แล้วมองเหมียวอี้ถือทวนรำอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ท่าทวนมีพลังน่าทึ่งราวกับเป็นมารคลั่ง
รอจนกระทั่งเหมียวอี้ใช้ทวนปักลงพื้นแล้วประคองทวนยืนเงียบๆ เฟยหงถึงได้เดินช้าๆ เข้ามาคล้องแขนเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยค่ะ ทำไมนายท่านถึงทำเรื่องที่บุ่มบ่ามไร้เหตุผลแบบนั้น จนนำปัญหายุ่งยากมาให้ตัวเองแบบนี้?”
เหมียวอี้หันกลับมา แล้วจ้องมองอย่างแฝงความหมายล้ำลึกพักหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะย้ายออกจากใบหน้างามเลิศล้ำที่ปอยผมปลิวมตามลม ขณะที่ทอดสายตามองไปไกลก็อ้างว่า “ข้ากับจ้านหรูอี้มีความแค้นต่อกัน ถ้านางได้กลายเป็นสนมสวรรค์ นางจะไม่มาหาเรื่องข้าหรอกเหรอ และนางก็เป็นสนมสวรรค์ไปแล้ว ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ?”
ที่แท้ก็เป็นเช่นกัน! เฟยหงแอบพยักหน้า นางอยากรู้คำตอบของคำถามนี้ เป็นคำถามที่เบื้องบนให้นางมาสืบหาคำตอบเช่นกัน
เหมียวอี้รอไปได้คืนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้ผลว่าตำหนักสวรรค์จะลงโทษเขาอย่างไร การที่รอคอยอย่างเชื่องช้าไม่เห็นความจริงเสียทีเป็นรสชาติที่ทรมาน
พอฟ้าสว่าง โค่วหลิงซวีก็เปิดประตูเดินออกมา ผู้เฒ่าถังได้ยินเสียงจึงเข้ามาต้อนรับ ประโยคแรกที่ถามก็คือ “ยังไม่ได้ผลลัพธ์อีกเหรอ?”
“ยังขอรับ” ผู้เฒ่าถังส่ายหน้า
โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพร้อมถามอย่างลังเล “อย่าบอกนะว่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ?”
ในเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง บนทางเดินเล็กๆ ในสวนป่า อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังเดินเอ้อระเหย บางครั้งหยุดชื่นชมน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ความจริงไม่ได้สงบเยือกเย็นแบบนั้น การที่เขาอยู่ที่นี่ต่อโดยยังไม่ได้ไปไหน ก็เป็นการแสดงความไม่สงบใจอย่างหนึ่ง
เดิมทีเขาเตรียมจะกลับไปหลังจากเสร็จพิธีรับสนม แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่อง เดิมทีไม่ได้คิดจะอยู่ต่อ แต่พอได้รู้ข่าวว่าโพ่จวินออกหน้าช่วยเหลือถึงได้อยู่ต่อ อยากจะดูบทสรุปการลงโทษของประมุขชิง ใครจะคิดว่ารอไปได้ครึ่งคืนแล้วยังไม่ได้ข่าว รอไปอีกครึ่งคืนก็ยังไม่ได้ข่าวเช่นกัน ก็เลยรอมาตลอดจนฟ้าสว่าง
บทสรุปที่ไม่มีบทสรุปแบบนี้ เป็นเหมือนที่โค่วหลิงซวีคาดเดาเอาไว้ อย่าบอกนะว่าที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเพราะโพ่จวินออกหน้าจริงๆ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะให้ตระกูลอิ๋งทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?
ที่จริงการรออยู่ที่นี่โดยยังไม่ไปไหน ก็เป็นวิธีการกดดันประมุขชิงอย่างเงียบๆ แบบหนึ่ง ต้องการให้ประมุขชิงให้คำอธิบายแก่เขา เขาเชื่อว่าทางวังสวรรค์รู้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งยังอยู่ที่นี่ ยังไม่ได้ออกไปไหน
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาสิ้นหวังมาก ภายนอกเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่ภายในใจเดือดแค้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะท่าทีของประมุขชิง ข้าเพิ่งจะให้หลานสาวแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ไว้หน้าตระกูลอิ๋งเลยแม้แต้น้อย เห็นตระกูลอิ๋งเป็นอะไรไปแล้ว?
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถ้าประมุขชิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีการที่แข็งกร้าวแล้ว
ในเมื่อประมุขชิงไม่ลงโทษเหมียวอี้ เช่นนั้นเขาก็จะลงโทษเอง!
แน่นอน เขาไม่ลงมือด้วยตัวเองหรอก เขาออกไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ตระกูลอิ๋งมีคนที่ทนข่มความโมโหนี้ไม่ไหว จะไปปลิดชีพเหมียวอี้โดยตรง เป็นอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวต่อไปเขาก็จะเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินเช่นกัน ออกหน้าขอร้องด้วยตัวเอง ไม่มีเหตุผลที่จะไว้หน้าโพ่จวินแต่ไม่ไว้หน้าตระกูลอิ๋ง
ผ่านไปไม่นาน อ๋องสวรรค์ทั้งสองก็ได้รับข่าว ว่าโพ่จวินถูกเรียกเข้าวังไปแล้ว จากนั้นวังสวรรค์ก็มีคนได้รับคำสั่งให้นำทหารสวรรค์หลายคนไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง
อ๋องสวรรค์ทั้งสองกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาแล้ว คงจะได้บทสรุปการลงโทษออกมาแล้ว
อิ๋งจิ่วกวงอยากจะเห็นว่าประมุขชิงจะให้คำตอบที่ตนพอใจได้หรือไม่
แต่เป็นเพราะสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ประมุขชิงทำให้คนครุ่นคิดหาคำตอบว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ โค่วหลิงซวีก็กำลังตั้งตารอเช่นกัน ถ้าโพ่จวินกับอิ๋งจิ่วกวงสู้กันแล้วเหมียวอี้ยังหนีไม่พ้นความตาย ก็แสดงว่าถึงคราวที่เขาจะต้องออกหน้าแล้ว เขาจะต้องเริ่มดึงตัวมาเป็นหลานเขย
เขาเทียบกับโพ่จวินไม่ได้ กำลังของเขาไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่เดียว ถ้าเขาลงมือ ประมุขชิงกับอิ๋งจิ่วกวงก็จะต้องยอมถอยหนึ่งก้าวเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน จุดประสงค์ที่อิ๋งจิ่วกวงส่งหลานสาวเข้าวังคืออะไรล่ะ? ถ้าอาศัยตระกูลอิ๋งตระกูลเดียวเพื่องัดข้อกับตระกูลเซี่ยโห้ว ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่ตระกูลอิ๋งจะได้เปรียบ จะต้องดึงอำนาจในวังของอีกสามอ๋องสวรรค์มาช่วยจ้านหรูอี้แน่นอน ในวังเป็นเพียงหนึ่งในสนามการต่อสู้เท่านั้น นอกวังต่างหากที่เป็นสนามที่ใช้รบซึ่งๆ หน้ากับตระกูลเซี่ยโห้ว อิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางดึงดันจะเล่นงานให้หลานเขยของเขาตายโดยไม่สนใจผลประโยชน์ที่จะได้มาเพียงชั่วอึดใจเดียวหรอก มีแต่จะยอมถอยให้
หลักการเดียวกัน ถ้าประมุขชิงไม่อยากให้จุดประสงค์ที่รับจ้านหรูอี้เข้าวังพังลง ไม่อยากผลักตระกูลโค่วไปอยู่ฝ่ายตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ต้องยอมถอยเช่นกัน
คนที่รอบทสรุปไม่ใช่แค่คนพวกนี้ ทุกคนของกองมังกรดำให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากที่สุดเช่นกัน ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพภาคจะมีจุดจบเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่ามีพี่น้องในกองทัพตั้งเท่าไรกำลังจับจ้องมาที่จวนแม่ทัพภาค
ครั้งนี้ไม่มีตัวละครใหญ่ๆ โผล่หน้ามาอีก แต่การปรากฏตัวของพ่อบ้านเล็กๆ จากวังสวรรค์ก็ทำให้กำลังพลของกองมังกรดำจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันทันที มาล้อมอยู่นอกตำหนักใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค
“แดนมรณะดึกดำบรรพ์!”
หลังจากพ่อบ้านที่อยู่ในตำหนักใหญ่ประกาศบทสรุปการลงโทษแล้ว นอกตำหนักก็ฮือฮาทันที มีเสียงพูดคุยหลายปากดังขึ้น ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพภาคจะโดนลงโทษด้วยวิธีการแบบนี้
เหมียวอี้ที่ฟังการลงโทษอยู่ในตำหนักก็งุนงงเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะคุมตัวเขาไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนี้หมายความว่าอะไร? การลงโทษข้าจำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าอยากจะให้ข้าตายก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้
หยางชิ่งและคนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ขมวดคิ้วมุ่น บ้างก็ทำสีหน้ากังวลใจ
พ่อบ้านที่ประกาศคสั่งเสร็จแล้วนำทหารสวรรค์หลายคนออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่ชื่อว่าเหวินเจ๋อ
เหวินเจ๋อมองทุกคนในตำหนักพลางหรี่ตายิ้ม หลังจากเหมียวอี้ไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาก็จะต้องมารับตำแหน่งพ่วงในการคุมกองมังกรดำ เพียงแต่ตำแหน่งสำคัญของเขายังอยู่ที่วังสวรรค์ โพ่จวินเลือกให้เขามาดูแลงานของกองมังกรดำ
กวาดสายตามองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็มาหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หนิวโหย่วเต๋อ มัวเหม่ออะไรอยู่ล่ะ ใช้เวลาแค่หนึ่งพันปีเท่านั้นเอง ไม่นานก็ผ่านไปแล้ว คิดเสียว่าไปฝึกตนสงบๆ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็แล้วกัน”
“หนึ่งพันปีเหรอ? หลังจากข้าไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดได้สักกี่ชั่วยาม” เหมียวอี้เยาะเย้ยตัวเอง
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว เป็นอาณาเขตที่ถูกครอบครองโดยเผ่ามังกรและเผ่าหงส์เฟิ่งหวง เดิมทีเรียกว่า ‘ถ้ำมังกรรังหงส์’ เหมือนจะมีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แต่ไม่รู้ชัดว่าสภาพเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าอันตรายมาก ได้ยินว่าถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ถ้าเข้าไปในนั้นก็แทบจะเป็นการรนหาที่ตาย เหมือนจะโดนตำหนักสวรรค์ปิดทางเข้าออกไว้นานแล้ว กลายเป็นแดนมรณะที่รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกลืม เขาคิดไม่ตกว่าทำไมต้องเอาเขาไปที่ไว้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อรับโทษ
เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ มองคนอื่นในตำหนัก แล้วตบบ่าเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ไปเถอะ! ไปหาที่สงบๆ คุยกัน”
เหมียวอี้อึ้งทันที มองออกว่าเขาเหมือนจะอยากคุยกับตนแบบหลีกเลี่ยงคนอื่น จึงยื่นมือเชิญ “เชิญนายท่าน!”
ท่ามกลางสายตาที่สนใจของทุกคน ทั้งสองไปที่ลานบ้านด้านหลัง พาหาที่ลับตาได้แล้วก็เดินเตร่เคียงบ่ากันไปตอนนี้เหวินเจ๋อถึงได้เอ่ยปากกล่าวอย่างสนใจว่า “น้องชายเอ๊ย! กล้าตบหน้าตระกูลอิ๋งในงานพิธีรับสนมของฝ่าบาท ทั้งยังสะเทือนไปถึงผู้บัญชาการองครักษ์ให้ต้องมาขอร้องให้เจ้า ตอนนี้ที่หน่วยองรักษ์ซ้ายมีใครไม่รู้จักหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังบ้าง อนาคตยาวไกลไร้ขอบเขตเชียวนะ!”
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเครียดทันทีว่า “คนใกล้จะตายอยู่แล้ว เหตุใดนายท่านต้องเอาข้าไปล้อเล่น นายท่านพูดมาตรงๆ ดีกว่า”
เหวินเจ๋อยกมือขึ้นปัดกิ่งไม้ที่เข้ามาโดนหน้า พลางบอกว่า “อย่างอื่นข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้เพียงว่าเช้านี้ผู้บัญชาการองครักษ์เข้าวังเพื่อไปต่อต้านไม่ให้ลงโทษเจ้าด้วยการส่งเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนหลังไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ผู้บัญชาการองครักษ์ส่งให้ข้ามาคุมกองมังกรดำอีก เจ้ายังมองเจตนาไม่ออกอีกเหรอ?”
เหมียวอี้มีความคิดบางอย่างโผล่ขึ้นมารางๆ แต่ก็ไม่กล้าแน่ใจ ถึงได้บอกว่า “ไม่เข้าใจความหมาย นายท่านได้โปรดชี้แนะ”
เหวินเจ๋อยิ้มพร้อมบอกว่า “ไม่ซับซ้อนเลย ถ้าจะส่งคนมารับช่วงต่อกองมังกรดำ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนระดับข้ามาหรอก ชัดเจนว่ายังรักษาตำแหน่งให้เจ้าอยู่ นอกจากนี้เจ้าสังเกตเห็นมั้ย? เบื้องบนบอกเพียงว่าจะคุมตัวเจ้าไปขังในแดนมรณะแค่หนึ่งพันปี ไม่ได้บอกว่าจะถอดเจ้าออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ลดยศของเจ้า แถมยังไม่ลดค่าจ้างด้วย แบบนี้เท่ากับอธิบายปัญหาชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ”
เหมียวอี้สายหน้า “เกรงว่าจะรู้ว่าหลังจากข้าไปที่นั่นแล้วจะตายแน่นอน ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากอีกกระมัง”
เหวินเจ๋อโบกมือ “ข้ามาคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว ก็เพราะผู้บัญชาการองครักษ์มีบางอย่างฝากมาบอก สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้มีผลกระทบต่ออสุราอัคนีมากนัก น่าจะไม่มีผลกระทบต่อเจ้ามากเช่นกัน…”
นี่มันหลักการอะไรกัน? เหมียวอี้งุนงง “หมายความว่ายังไงขอรับ?”
“เจ้าไม่เข้าใจความหมายเหรอ? ข้ายังนึกว่าเจ้าเข้าใจความหมายเลย ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เหวินเจ๋อแปลกใจ
“เอ่อ…” ไม่นานเหมียวอี้ก็รู้ตัวแล้ว จำได้ว่าตอนแรกที่เกาก้วนมาสืบภูมิหลังของตน ก็เคยถามถึงสถานะอย่างอย่าง ตนเหมือนจะยอมรับไปแล้วว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี พอนึกถึงตรงนี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะแบบนี้ถึงได้จับตนไปโยนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนนี้ต้องโดนวางกับดักตายแน่นอน
พอเข้าใจแล้ว เขาก็เอามือลูกจมูกพร้อมตอบว่า “เหมือนจะเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจก็ดีแล้ว” เหวินเจ๋อพยักหน้า แล้วบอกพูดต่อว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้าไปลึก อย่าไปหาเรื่องสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหว ให้อยู่บริเวณทางเข้าแล้วตั้งใจฝึกตน ส่วนค่าจ้างในแต่ละปีของเจ้า เดี๋ยวจะแลกเป็นทรัพยากรฝึกตนแล้วส่งเข้าไปให้เจ้า จุจุ จุดประสงค์ชัดเจนเกินไปแล้ว ชัดเจนว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรแน่นอน น้องชายเอ๊ย ขนาดข้ายังอิจฉาเจ้าเลย นี่เจ้าเข้าตานายท่านผู้บัญชาการองครักษ์แล้วนะ!”
เหมียวอี้กระตุกมุมปาก “จากที่ฟังนายท่านพูด ข้างในมีสิ่งที่ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว สิ่งนั้นคืออะไรเหรอ?”
เหวินเจ๋อยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็ไม่เคยเข้าไป ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ คนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ก็มีรอดชีวิตกลับมาไม่เยอะ ข่าวลือสะเปะสะปะพวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือโกหก ถ้าข้าพูดซี้ซั้วตอนนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบกับเจ้าด้วยซ้ำ ผู้บัญชาการองครักษ์เคยเข้าไป ถ้าเจ้าทำตามที่ผู้บัญชาการองครักษ์บอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จำไว้นะ เจ้ายังมีเวลาเหลืออีกสามวัน หลังจากสามวันนี้เบื้องบนจะส่งคนมาคุมตัวเจ้า ถ้ามีเรื่องอะไรก็รีบจัดการให้เร็วที่สุด ส่วนพวกลูกน้องของเจ้าที่กองมังกรดำ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง เบื้องบนให้ข้ามาควบตำแหน่งนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการจะรักษาโครงสร้างเดิมเอาไว้ เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ไปโยกย้ายซี้ซั้วหรอก รอให้เจ้ากลับมาจากที่นั่น จะคืนทุกอย่างให้เจ้าอย่างครบถ้วนแน่นอน น้องชาย ทิ้งวิธีการติดต่อไว้เถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเราก็ติดต่อกันเอาไว้” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาตรงตราอิทธิฤทธิ์แล้วยื่นให้
เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วยื่นให้เขา แลกของกันเรียบร้อยแล้ว
“แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
บนตึกศาลาหลังหนึ่งของเรือนพักอ๋องสวรรค์โค่ว อิ๋งจิ่วกวงกับโค่วหลิงซวีนั่งดื่มสุราด้วยกัน อิ๋งจิ่วกวงเป็นฝ่ายตั้งใจมาหาโค่วหลิงซวี อิ๋งจิ่วกวงสงสัยนิดหน่อยว่าจู่ๆ โค่วหลิงซวีมาพักที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร เลยตั้งใจมาสืบ
ยังไม่ทันจะสืบอะไรได้ บทสรุปการลงโทษของเหมียวอี้ก็มาแล้ว บทสรุปนี้ทำให้ทั้งสองงงเหมือนกัน ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้
ตอนนี้ทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้ความพยายามจากตรงไหน ไม่รู้ว่าประมุขชิงกำลังทำบ้าอะไรกันแน่
โค่วหลิงซวียกจอกสุราดื่มย้อมใจ
อิ๋งจิ่วกวงก็โวยวายไม่ได้แล้วเช่นกัน อย่างไรเสียอาศัยวรยุทธ์อย่างหนิวโหย่วเต๋อ การจับหนิวโหย่วเต๋อไปไว้ที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับส่งไปตาย ประมุขชิงนับว่าไว้หน้าเขาแล้ว
แต่ทั้งสองก็รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาขนาดนั้น ไม่ว่าจะลงโทษเป็นหรือลงโทษตาย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยากแบบนี้
…………………………