พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1451 คุมขังหนึ่งพันปี
อ๋องสวรรค์ทั้งสองจะคิดอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่รู้ ตอนนี้เขากำลังรีบร้อนสืบหาข้อมูลของแดนมรณะดึกดำบรรพ์
เพราะไม่มีทางเลือก เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีการลงโทษครั้งนี้ เดิมทีกะว่าจะเรียกรวมผู้เหลือรอดของหกลัทธิให้มาดักพาตนหนีไประหว่างทางดีหรือไม่ แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทำมาหากินที่ตำหนักสวรรค์แล้ว เป็นเพราะความวู่วามชั่วขณะในครั้งนี้ในล่วงเกินตระกูลอิ๋งอย่างรุนแรงมากจริงๆ กอปรกับการที่จ้านหรูอี้กลายเป็นสนมสวรรค์นั้นทำให้เขากดดันนิดหน่อย
คนอื่นนั้นไม่รู้ แต่เขากลับลำบากใจเหมือนน้ำท่วมปาก จ้านหรูอี้มาคุกเข่าให้เขา ทั้งยังถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขาอีก สิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้จะเคียดแค้นตนอย่างไรบ้าง พอนึกว่าตัวเองได้เห็นผู้หญิงของราชันสวรรค์ถอดเสื้อผ้า เขาเองก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว วางแผนที่จะออกจากตำหนักสวรรค์แล้วจริงๆ ที่จริงในใจเขาไม่อยากเผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อีก
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าตำหนักสวรรค์ไม่ให้เขาพาคนของตัวเองไป เขาก็ไม่มีทางพาไปด้วยได้ ถ้าจะให้ทิ้งพวกเหยียนซิวไว้โดยไม่สนใจ เขาก็ทำไม่ลงเช่นกัน ที่สำคัญคือตอนนี้เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ทำไมจะต้องส่งข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ? พอมีบทเรียนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผีแล้ว เขาก็เลยสงสัยนิดหน่อยว่าตำหนักสวรรค์มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะทำให้ยุ่งยากแบบนี้ทำไม? ตอนนี้เพียงอยากจะดูไปทีละก้าว คิดหาทางรอดชีวิตออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ได้ก่อน
เขารีบเรียกรวมคนตำแหน่งสำคัญของกองมังกรดำ แล้วส่งต่องานต่อหน้าเหวินเจ๋อ
หลังจากส่งต่องานกันเรียบร้อยแล้ว พอคิดไปคิดมา ถ้าอยากจะสืบสถานการณ์ของสถานที่เก่าแก่อย่างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ต้องไปถามจากคนเก่าคนแก่ คนแรกที่เขานึกถึงก็คือจินม่านที่อยู่แดนอเวจี
หลังจากได้ฟังสถานการณ์ในปัจจุบันของเหมียวอี้แล้ว จินม่านก็บอกสถานการณ์ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้รู้
แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ดำรงอยู่มานานมาก สถานที่นั้นคือพื้นที่ว่างพิเศษที่เกิดขึ้นหลังจากดาราจักรพังถล่มลงด้วยสาเหตุบางอย่าง ถูกมังกรและหงส์ยึดครองเป็นของตัวเอง สองเผ่านี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับการรบราฆ่าฟันของนักพรต แต่จนใจที่หลายปีมานี้กลับมีนักพรตไปก่อกวนไม่หยุด พวกเขาอยากจะได้มังกรและหงส์สักตัวมาทำเป็นสัตว์พาหนะเทพ บางคนก็อยากจะอาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อฝึกตนด้วย
แต่การที่สองเผ่านี้ยึดครองพื้นที่ได้ก็ย่อมแปลว่าไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ ตั้งแต่สมัยโบราณมีนักพรตไม่รู้ตั้งเท่าไรที่ล้มตายอยู่ที่นั่น กอปรกับเผ่ามังกรมีเทพมังกรแปดท่าน เผ่าหงส์เฟิ่งหวงมีเทพสตรีสองคน แปดเทพมังกรกับสองเทพสตรีเป็นผู้อาวุโสของทั้งสองเผ่า และเป็นเทพผู้พิทักษ์ของสองเผ่านี้ด้วย ในใต้หล้าไม่มีใครสู้ได้ คอยรักษาความสงบสุขให้ ‘ถ้ำมังกรรังหงส์’
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แดนดึกดำบรรพ์มีสภาพแวดล้อมพิเศษที่เข้าข้างสองเผ่านั้นโดยธรรมชาติ ที่นั่นมีฟ้าเป็นวงกลม ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยม ไม่เหมือนดาวเคราะห์ในดาราจักรทั่วไปที่มีลักษณะเป็นทรงกลมเหมือนกันหมด แต่อาณาเขตก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก ว่ากันว่าไม่มีใครเดินไปจนถึงปลายสุดของอาณาเขตนี้ได้
สำหรับนักพรต ผลกระทบที่พิเศษที่สุดของสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็คือ นอกจากนักพรตผี นักพรตแบบอื่นที่เข้าไปที่นั่นแล้วก็จะสูญเสียความสามารถในการเหาะเหิน แต่มังกรกับหงส์สามารถบินอยู่ที่นั่นได้อย่างอิสระ เวลานักพรตโจมตีหงส์กับมังกรก็ย่อมเสียเปรียบอยู่แล้ว ทั้งยังมีปราณเหี้ยมโหด ปราณสังหาร ปราณอาฆาต ปราณมรณะที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาแบบไม่จบไม่สิ้น ความเข้มข้นของมันก็มีมากจนถึงขั้นทำให้ปราณชั่วร้ายพวกนั้นมีวิญญาณ วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นกลัวหงส์มังกรโดยธรรมชาติ แต่กลับไม่กลัวนักพรตทั่วไป มันจะโจมตีนักพรตที่บุกเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นักพรตเข้าไปตั้งหลักในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ยาก
แต่ยังมีนักพรตอีกประเภทที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เปลวเพลิงอันร้อนแรงสามารถเอาชนะวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นได้
พอฟังถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ตกตะลึงอยู่บ้าง วิชาที่ตัวเองฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุไฟไม่ใช่เหรอ?
ความคิดนี้เพียงแวบผ่านเข้ามาในหัวเท่านั้น แล้วก็ตั้งใจฟังจินม่านอธิบายต่อ
ตอนหลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ โลกภายนอกมีคนประหลาดที่ชื่อเสียงดังเกริกก้องสั่นสะเทือนยุคโบราณโผล่มาคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน พระปีศาจหนานโปนั่นเอง พระปีศาจหนานโปเหยียดหยามสรรพสิ่งในใต้หล้า ตั้งตนเป็นเทพ ยอมรับไม่ได้หากมีสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ถึงได้บุกเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ดั้งนั้น แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ไม่เคยมีใครเอาชนะได้จึงโดนพระปีศาจหนานโปล้างเลือดไปรอบหนึ่ง เทพมังกรทั้งแปดผู้พิทักษ์เผ่ามังกรกับสองเทพสตรีที่พิทักษ์หงส์เฟิ่งหวงล้วนตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป มังกรและหงส์เรียกได้ว่าประสบหายนะครั้งใหญ่ ผู้ที่เหลือรอดพากันหนีออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ จนกระทั่งหกปราชญ์สยบพระปีศาจหนานโปได้ หงส์กับมังกรถึงได้กลับบ้านเก่าอีกครั้ง ทว่าหลังจากประมุขพุทธะกับประมุขชิงเป็นประมุขของใต้หล้า ต้องการจะจัดระเบียบการปกครองใต้หล้าใหม่ ทั้งสองไม่อยากให้มีเทพมังกรกับเทพสตรีคนใหม่เกิดขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วมาตีเสมอกับตำหนักสวรรค์อีก ต้องการจะกวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ดังนั้นยอดฝีมือของเผาหงส์และมังกรจึงโดนพระปีศาจหนานโปสังหารจนแทบหมดสิ้น ต้านทานการโจมตีของประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่ไหวเลย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นชะตากรรมสูญพันธุ์ ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์เป็นพาหนะให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ก็คือทิ้งแดนดึกดำบรรพ์อันเป็นที่อยู่มาหลายยุคสมัย เท่ากับว่าโดนตัดขาดแหล่งทรัพยากรในการฟื้นคืนความเฟิ่งฟูของสองเผ่า เป็นเพราะมีเพียงสภาพแวดล้อมพิเศษของแดนดึกดำบรรพ์เท่านั้นที่จะสร้างเทพมังกรกับเทพสตรีคนใหม่มาพิทักษ์รักษาเผ่าได้ สภาพแวดล้อมของโลกภายนอกไม่เหมาะกับการฝึกตนของพวกมันเลย
ตอนนี้ต่อให้ทั้งสองเผ่าจะอยากกลับไปก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่มีทางมอบโอกาสให้สองเผ่าผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ส่งคนไปปิดล้อมทางเข้าออกแดนดึกดำบรรพ์แล้ว
หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจไม่หยุด มังกรกับหงส์พวกนั้นที่ยอมให้ตำหนักสวรรค์ควบขี่ ภายนอกดูงดงามสดใส ไม่น่าเชื่อว่าจะประสบกับความโศกเศร้าน่าเวทนาเช่นนี้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า : คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมีโอกาสอยู่รอดที่แดนดึกดำบรรพ์มากแค่ไหน?
จินม่าน : น่าจะมีโอกาสรอดไม่น้อยเลย ตอนนี้ในนั้นไม่มีหงส์กับมังกรอยู่แล้ว ขอเพียงสามารถใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟต้านทานการจู่โจมจากปราณชั่วร้ายได้ ไม่เข้าไปลึกจนยั่วโมโหวิญญาณที่โกรธแค้นพวกนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
ที่จริงนางก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันในแดนดึกดำบรรพ์ชัดเจนนัก ถึงอย่างไรนางก็โดนขังอยู่ในนรกตั้งแต่ระบบของตำหนักสวรรค์ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่สายลับคนนั้นที่อยู่ตำหนักสวรรค์เหมือนจะรู้ว่าเหมียวอี้จะมาสืบข่าวจากนาง จึงสั่งไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้นางให้ความร่วมมือ
แต่พอเหมียวอี้ได้ยินจินม่านพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจแล้ว ตามหลักการแล้วจินม่านไม่จำเป็นต้องหลอกลวงเขาด้วยเรื่องแบบนี้ ในเมื่อแม้แต่จินม่านยังรู้สึกว่ามีอันตรายมาก บวกกับที่โพ่จวินให้เหวินเจ๋อมาบอก เขาจึงมีความมั่นใจแล้ว จึงคิดเสียว่าไปฝึกตนที่นั่น ถือโอกาสไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ต้องทราบไว้ว่าทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ไปที่แดนดึกดำบรรพ์ได้
“คุมขังหนึ่งพันปีที่แดนดึกดำบรรพ์…”
ดาวเทียนหยวน ฝูชิงกำลังพึมพำพลางเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนักคุ้มเมือง เขารู้สึกตกตะลึงมาก
ชิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายห้าช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ ไม่โดนประหารก็นับว่าโชคดีมากแล้ว”
ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่ได้รับข่าวติดต่อเหมียวอี้เพื่อยืนยันสถานการณ์ทันที
เมื่อมีระฆังดารา ข่าวนี้ก็แทบจะแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็วภายในสองสามวัน แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการที่เหมียวอี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงแม้การทำโทษโดยคุมขังไว้ในแดนดึกดำบรรพ์จะค่อนข้างประหลาด แต่สิ่งที่ทุกคนสนใจมากกว่านั้นกลับเป็นเหตุการณ์ที่เหมียวอี้ก่อเรื่องในงานพิธีรับสนมของประมุขชิง สถานการณ์ของเรื่องหลังข่มเรื่องแรกไปแล้ว
เหมียวอี้อยู่ที่พิภพใหญ่ ศักยภาพยังไม่ถึงจริงๆ แต่ชื่อเสียงกลับกระจายไปทั่วหล้าครั้งแล้วครั้งแล้ว เพิ่งจะสร้างผลงานที่ตลาดผีแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ทำผิดแล้วโดนกักบริเวณทันที เปลี่ยนแปลงแบบขึ้นสุดลงสุด
พวกจีเหม่ยลี่พากันติดต่อมาหาเหมียวอี้เพื่อแสดงความเป็นห่วงกังวล ทุกคนพากันบ่นเหมียวอี้ว่าทำไมก่อเรื่องแบบนี้ได้
โง่เขลา! ไม่น่าเชื่อว่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้! อวิ๋นจือชิวเดือดดาลแล้ว ทำให้โมโหจนสุดจะทนไหวจริงๆ ด่าเหมียวอี้จนยับเยินไปยกหนึ่ง
ท่ามกลางกลุ่มภรรยา มีเพียงฮูหยินอย่างนางที่มีฐานะทัดเทียมเหมียวอี้ นางมีสิทธิ์ด่าเขาแบบนี้ หลังจากด่าจบแล้วก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย นอนเคียงหมอนกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นางเข้าใจดีที่สุดว่าสามีตัวเองเป็นคนอย่างไร ถึงแม้จะชอบทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่เมื่ออยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่มีใครไปยั่วโมโหเขา แล้วเขาจะปฏิเสธรางวัลและด่าคนอื่นทำไม? ควรจะอยากได้รางวัลมากขึ้นสิถึงจะถูก!
หลังจากถามซักไซ้หลายรอบ เหมียวอี้ก็ยังไม่คายความจริงออกมา แค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบจะก่อเรื่องแบบนี้ได้เหรอ สร้างผลกระทบที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้เลยเหรอ? จากระฆังดาราจากหลายฝ่ายที่ที่ส่งข่าวมาถามไม่หยุดหย่อนก็ทำให้รู้แล้ว แล้วจะให้เขาพูดกับอวิ๋นจือชิวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากแบ่งปันความรู้สึกผิดนี้กับใคร ยอมฝังไว้ในส่วนลึกของหัวใจดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงบอกเพียงว่าเขาหัวร้อนไปชั่วขณะจึงพูดแบบนั้นออกมา
อวิ๋นจือชิวไม่เชื่อ จึงติดต่อกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อถามถึงสถานการณ์ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นแบบนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเกิดเรื่องอื่นขึ้น เป็นสิ่งที่เหมียวอี้พูดออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ถือระฆังดาราอย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง นั่งเงียบงันอยู่นานมาก
ว่ากันตามตรง ในใจนางยังรู้สึกไม่เชื่อนิดหน่อย นางถึงขั้นสงสัยว่าระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มีความสัมพันธ์ชายหญิงที่พิเศษอะไรหรือเปล่า?
สรุปก็คือ อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งกังวลกับพฤติธรรมหัวร้อนของเหมียวอี้ ตอนนี้มาโทษกันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มีคำสั่งลงมาแล้ว เหมียวอี้ในตอนนี้จะต้องถูกควบคุมอยู่แน่นอน ในบริเวณวังสวรรค์ ทั้งใต้หล้าคงจะมีไม่กี่คนที่พาเหมียวอี้ออกไปได้ ทำได้เพียงยอมรับความจริงเรื่องถูกคุมตัวไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นอกเสียจากจะชิงตัวกลางทาง…
เวลาสามวันผ่านไปเร็วมาก หน่วยองรักษ์ซ้ายส่งคนมาคุมตัวเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถ้าพูดแบบกว้างๆ หน่อยก็คือ เป็นพี่น้องในระบบเดียวกันทั้งนั้น เป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ปกป้องเอาไว้ พวกเขาจึงไม่กลั่นแกล้งเหมียวอี้ ถึงแม้จะบอกว่าควบคุมตัว แต่ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับการคุ้มกันส่งมากกว่า
อุทยานหลวง ในเรือนพักของท่านโหวจ้านผิง บนตึกศาลาหลังหนึ่งที่สามารถมองเห็นรอบด้าน สตรีรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีรุ้ง กระโปรงสีสว่างดุจแสงอาทิตย์ยาวลากพื้น นางยืนอย่างเงียบงัน บนศีรษะสวมมงกุฏหงส์ เด่นสง่ามีราศรี แต่งตัวสูงส่งดูแพง เพียงแต่สีหน้าเย็นชาไปหน่อย เป็นจ้านหรูอี้ที่ออกมาพบบิดามารดาหลังจากเข้าวังได้สามวัน
ขณะเดียวกันก็นำรางวัลจากราชันสวรรค์มาให้ตระกูลจ้านด้วย จ้านผิงได้เลื่อนยศหนึ่งขั้น มียศเทียบเท่าเทพประจำดาว กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ห้าแถบแล้ว อิ๋งลั่วหวนก็ได้เลื่อนยศหนึ่งขั้นเช่นกัน ทั้งยังได้รับสมบัติล้ำค่าหายากมากองหนึ่งด้วย
จ้านหรูอี้ทอดสายตามองไปยังจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงอย่างเงียบๆ นางเห็นทหารสวรรค์หลายคนคุมตัวคนคนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว และรู้เช่นกันว่าคนที่ถูกคุมตัวไปคือใคร รู้ด้วยว่าจะถูกคุมตัวไปที่ไหน เป็นสถานที่ที่แทบจะมีโอกาสตายมากกว่ารอด
สาเหตุที่ถูกควบคุมตัวไป นางเองก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน คนคนนั้นทำเรื่องที่โง่เง่าที่สุด ละเมิดอำนาจบารมีสวรรค์ในงานพิธีที่นางเข้าวัง ถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองรักษ์ซ้ายปกป้องไว้ ก็คงจะสิ้นชีพไปแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นางกำลังยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นเพราะคิดอะไรอยู่
บางทีอาจจะมีคนรู้ก็ได้ จ้านผิงที่ยืนอยู่ระหว่างตึกศาลาเหมือนกันกำลังมองลูกสาวอย่างเงียบๆ
มีเพียงเขาที่รู้ว่าการกระทำที่ทุ่มสุดตัวของเหมียวอี้ในงานพิธีได้ทำให้ลูกสาวเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่ทำอย่างนั้นก็ยังดีหน่อย แต่พอทำแบบนั้นกลับทำให้ลูกสาวเจ็บลึกกว่าเดิมด้วยซ้ำ กลายเป็นความเจ็บปวดที่ลบไม่ออกตลอดไป เป็นเพราะเหมียวอี้ทำช้าไปหน่อย สายเกินไปแล้ว!
…………………………