พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1452 แดนมรณะดึกดำบรรพ์
คนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนกันก็คือเหมียวอี้ที่ทำเรื่องโง่เง่า
เหมือนกับทางเข้าแดนอเวจี ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกค่ายกลใหญ่แบบเดียวกับแดนอเวจีปิดล้อมไว้ เพียงแต่สำหรับตำสวรรค์ แดนมรณะดึกดำบรรพ์ในตอนนี้ไม่ได้สำคัญเท่าแดนอเวจีเลย การเฝ้าแดนอเวจีจึงเข้มงวดแน่นหนากว่าเล็กน้อย ส่วนแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ให้คนของอำนาจท้องถิ่นที่ประจำอยู่ในพื้นที่เฝ้าโดยตรงเลย
แดนมรณะดึกดำบรรพ์อยู่ในอาณาเขตของอ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟาง ย่อมถูกเฝ้าโดยอ๋องสวรรค์ฮ่าวอยู่แล้ว ที่บังเอิญกว่านั้นก็คือ ที่ตั้งอยู่บนเขตแดนของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ
เหลียงตู้ หัวหน้ากลุ่มที่หน่วยองรักษ์ซ้ายส่งมาให้ควบคุมตัวเหมียวอี้ไปส่ง หลังจากอธิบายสถานการณ์ของกำลังพลที่เฝ้าที่นี่ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เห็นว่าข้างหน้าคือจุดหมายที่กำลังจะไปถึง ก็ถามเหมียวอี้อีกว่า “ได้ยินว่าเจ้ามีความขัดแย้งกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะนิดหน่อยเหรอ?”
“มีเรื่องไม่พอใจกันนิดหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้า
“เจ้าวรยุทธ์ไม่สูง แต่ศัตรูเยอะมากจริงๆ” เหลียงตู้ส่ายหน้า แล้วเตือนว่า “ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผังก้วนคงไม่ถึงขั้นส่งคนเข้ามาทำร้ายเจ้าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถึงอย่างไรกำลังพลของเขาก็เฝ้าที่นี่ ถ้าจู่ๆ แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีคนนอกโผล่มา คนฝ้าพิทักษ์รักษาอย่างเขาก็จะยากที่จะพ้นโทษ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เจ้าก็ต้องระวังตัวไว้หน่อย ถ้าพบบุคคลน่าสงสัยโผล่มาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ให้ติดต่อกับหน่วยองรักษ์ซ้ายทันที หน่วยองรักษ์ซ้ายของเราก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน”
เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะ จึงขานรับแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านเหลียงที่เตือน ข้าน้อยจะจดจำไว้”
กำลังพลที่เฝ้าทางเข้าออกแดนดึกดำบรรพ์ได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว พอคนฝั่งนี้มาถึง คนกลุ่มหนึ่งก็เหาะเข้ามาดูเอาสนุกทันที มาดูว่าหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังหน้าตาเป็นอย่างไร คนกลุ่มหนึ่งที่ล้อมเขามามองสำรวจเรียกได้ว่าทำสีหน้าประหลาดใจ
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สนิทอะไรกัน และไม่มีความจำเป็นต้องถ่วงเวลา พอเหลียงตู้ส่งต่อกันให้อีกฝ่ายแล้ว หัวหน้ากองทัพที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็ออกคำสั่ง บนดาวหกดวงในลำแสงที่หมุนวนยิงแสงสีขาวสายหนึ่งออกมาทันที ตำแหน่งตรงนั้นเกิดเป็นภาพดาวหกมุมขนาดใหญ่ ทันใดนั้นแสงสีขาวตรงกลางแผนภาพก็เริ่มหายไป เผยช่องสุญญาที่อยู่ในสภาพฉีกขาด
หัวหน้ากองทัพที่ประจำอยู่ที่นี่หันมาบอกเหมียวอี้ว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เข้าไปเถอะ ผ่านช่องสุญญานั่นไปก็จะเป็นแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”
เหมียวอี้หันกลับไปมองเหลียงตู้ เหลียงตู้พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ตรงทางเข้าไม่จำเป็นต้องคุ้มกันอะไร สามารถเข้าไปได้โดยตรงเลย”
ถึงแม้จะบอกแบบนี้ แต่เหมียวอี้ก็ยังรีบหยิบเกราะรบผลึกแดงของตัวเองออกมาสวม แม้แต่เฮยทั่นก็เรียกออกมาด้วย เฮยทั่นเองก็สวมเกราะรบที่ดุร้ายน่ากลัวเช่นกัน
เหมียวอี้กระโดดขึ้นตัวเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหน้า แล้วกุมหมัดคารวะเหลียงตู้ในขณะที่ถือทวน “รบกวนแล้ว!”
เหลียงตู้พยักหน้า
“กรร…” เฮยทั่นเงยหน้าคำราม แบกเหมียวอี้พุ่งไปยังช่องสุญญาที่ฉีกขาดไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในนั้นแล้ว
พอหัวกองทัพที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่โบกมือ ค่ายกลใหญ่ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กลับสู่สภาพปิดสนิทเหมือนเดิมแล้ว…
และพอเหมียวอี้หันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ไม่เห็นฉากทิวทัศน์ด้านนอกทางเข้าแล้ว เขาจึงมองไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าออกจากทางเข้ามาไกลขนาดไหน เมื่อตัวอยู่ในนั้นถึงได้พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ว่างเกลียวคลื่นที่มีรอยฉีกขาดไม่หยุด แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามที่มีอานุภาพมากมายอะไร รู้สึกเพียงว่ารอบตัวเหมือนมีกระแสไฟฟ้ากำลังไหลเลื้อยอยู่
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังระมัดระวังตัวสูงมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ทว่าทันใดนั้นตรงหน้าก็พลันสว่างวาบ การปรากฏขึ้นของแสงสว่างนี้กะทันหันมาก ราวกับแทรกซึมมาอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างฉับพลัน ทำให้เจ้าเตรียมตัวอะไรไม่ทันเลย ชั่วพริบตาเดียวตัวเจ้าก็เข้าไปอยู่ในแสงนั้นแล้ว
โครม! เกิดเสียงดังขึ้น เฮยทั่นที่พุ่งเข้ามาในลำแสงชนอะไรบางอย่างก็ไม่รู้
ภาพตรงหน้าพร่ามัว ฝุ่นดินปลิวว่อน ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม เหมียวอี้พบว่าตัวเองกับเฮยทั่นโดนชนจนกลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อเห็นร่างกายมหึมาของเฮยทั่นกลิ้งเข้ามา เขาก็อยากจะทะยานขึ้นฟ้าโดยสัญชาตญาณ ทว่าร่างกายเหมือนจะกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าพลังอิทธิฤทธิ์จะประคองตัวเองขึ้นมาไม่ได้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ยกขึ้นเหมือนกับทะลุผ่านกำแพงไป ทำให้ลนลานทำอะไรไม่ถูก
ชั่วขณะนั้น เขาตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะมาถึงสิ่งที่เรียกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แต่สิ่งที่เขาต้องรีบรับมือก็คือตอนนี้กำลังเห็นเฮยทั่นกลิ้งเข้ามาหาตน โครม! เขารีบใช้เท้าเตะหนึ่งที ทำให้เฮยทั่นที่กลิ้งเข้ามากระเด็นออกไปจากยอดศีรษะของเขา
ยังดีหน่อย ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ แต่พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวก็ยังมีอานุภาพเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นคงโดนหนามแหลมบนเกราะรบของเฮยทั่นจิ้วจนทั่วแน่
เฮยทั่นตกลงพื้นเสียงดังแล้วลุกขึ้นขึ้น ขณะที่กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ มันก็มองเหมียวอี้อย่างค่อนข้างคับแค้นใจ
เหมียวอี้หันกลับไปมองจุดที่มันกลิ้งออกมา เห็นเพียงทะเลทรายหินอันเปล่าเปลี่ยวมีช่องสุญญาที่มีรัศมีรอยแยกขนาดหลายสิบจั้ง รอยแยกที่ยาวต่อเนื่องไม่หยุดเหมือนรูปกระแสไฟฟ้า คงจะเป็นทางที่เข้ามา และเป็นทางออกเช่นกัน สงสัยมุมที่พุ่งออกมาจะผิดตำแหน่ง ถึงได้ชนกระแทกลงบนพื้น
เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนมองสำรวจไปรอบๆ ทะเลทรายหินอันรกร้างกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ตรงจุดไกลๆ สามารถเห็นแนวภูเขารางๆ รอบข้างไม่มีพืชพรรณดำรงอยู่ แต่กลับมีกระดูกขาวนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนทะเลทรายหิน เป็นกระดูกขาวหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นกระดูกคน
เสียงดังกรอบแกรบดังอยู่ใต้เท้า ทำลายความเงียบของทุ่งที่กว้างโล่ง เหมียวอี้ก้มหน้ามอง พบว่าเป็นกระดูกกรอบสีขาวชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้าอีก บนท้องฟ้าเป็นสีเทาขมุกขมัว ทั้งโลกราวกับถูกครอบด้วยสีเทาขมุกขมัว ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอันน่าขนลุกจนเขาต้องหันขวับ แล้วโบกทวนชี้ไป
ภาพตรงหน้าว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีเพียงหมอกสีชมพูอันเลือนรางที่กระเพื่อมเข้ามาหลายระลอก
จนกระทั่งหมอกสีชมพูเข้ามาใกล้ตัว เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจว่ามันคืออะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปราณสังหารที่ก่อตัวเป็นร่างจริงแล้ว
เหมียวอี้ยื่นมือเข้าไปสัมผัสหมอกสีชมพูที่ลอยเข้ามา พอถุงมือโลหะที่ละเอียดไปสัมผัสโดน ปราณสังหารนั่นก็เหมือนฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือดทันที ราวกับมีชีวิตขึ้นมา รูปแบบไอหมอกที่กระจายตัวหดรวมเป็นก้อนเดียวกันอย่างรวดเร็ว แล้วลอยวนเวียนอยู่บนถุงมือโลหะ หลังจากสีชมพูควบแน่นแล้วสีก็เข้มขึ้น ราวกับเป็นลำแสงสีเลือด แทรกซึมเข้ามาในรอยแยกบนถุงมืออย่างรวดเร็ว
“ซี้ด…” เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง ปราณสังหารนี้ราวกับมีดกรีดกระดูก มีความสามารถกัดกร่อนกายเนื้ออันน่าสะพรึง เจาะจนผิวตรงนิ้วของเขาแยกออกจากันแล้ว เขารู้สึกได้ว่านิ้วตัวเองมีเลือดออก
แทบจะชั่วพริบตาเดียว เปลวเพลิงล่องหนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากฝ่ามือของเหมียวอี้ ทำให้ปราณสังหารกลุ่มนั้นเหมือนตกใจกลัว พวกมันกำลังจะรีบหนีไป แต่กลับสายไปเสียแล้ว โดนเพลิงจิตเผาจนหายไปแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้กลับอดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจอย่างตกตะลึง เขามองออกว่าปราณสังหารพวกนี้มีวิญญาณจริงๆ ดูท่าแล้วจินม่านจะพูดเอาไว้ไม่ผิดสักนิด
ลมเพิ่งจะพัดผ่านตรงนี้ไป สิ่งที่พามาด้วยไม่ได้มีแค่หมอกสีชมพู ทั้งยังมีหมอกสีขาว สีเทา สีดำเหมือนน้ำหมึกด้วย
เหมียวอี้มีแต่ความประหลาดใจต่อสถานที่แห่งนี้ ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เข้ามาหาถึงที่ ค่อยๆ หยั่งเชิงทดสอบไอหมอกประเภทต่างๆ ที่ลอยเข้ามา
เมื่อกระแสหมอกสีขาวมาอยู่บนมือ ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงทันที นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าปราณอาฆาต ส่วนหมอกสีเทาก็คือปราณมรณะที่ทำให้คนรู้สึกมัวหมองไร้ชีวิตชีวา ส่วนสีดำก็มีกลิ่นอายของแรงปะทะที่มุทะลุดุดันที่สุด คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าปราณเหี้ยมโหด
เมื่อใช้มือทดสอบไอหมอกที่ลอยผ่านไปหลายครั้ง เหมียวอี้ก็เริ่มหาวิธีการแยกแยะเจอแล้ว เป็นไปได้สูงว่าอากาศธาตุเล็กๆ หลากหลายรูปร่างพวกนั้นจะมีวิญญาณ ส่วนอากาศที่มีลักษณะเป็นหมอกกระจายไร้ระเบียบนั้นยังไม่มีวิญญาณที่สามารถรุกโจมตีได้
พรึ่บ! จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นพักหนึ่ง เหมียวอี้จึงหันไปมอง ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเขาเล่นกับไอหมอกพวกนั้นแล้วดูน่าสนุกหรือเปล่า เฮยทั่นก็เริ่มเล่นกับไอหมอกพวกนั้นแล้วเหมือนกัน
เขากำลังทดสอบ แต่เฮยทั่นเล่นแล้วจริงๆ ไอหมอกที่มีวิญญาณพวกนั้นแนบติดอยู่บนตัวเฮยทั่นแล้ว นอกจากจะทำอะไรผิวหนังหยาบหนาของเฮยทั่นได้ยาก สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเฮยทั่นจะดูดกินไอหมอกพวกนั้นราวกับดูดกินปราณเซียน เหมือนดูดกินจนเสพติด มันกระโดดไล่ตามดูดกลืน
หลังจากรู้ตัวแล้วเหมียวอี้ก็ตกใจทันที รีบวิ่งเข้าไปห้ามให้เฮยทั่นหยุด จากนั้นยื่นมือไปกดบนตัวเฮยทั่นแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบดูอาการภายใน
ตอนไม่ตรวจก็ยังไม่รู้ แต่พอตรวจแล้วเขาก็มองเฮยทั่นเหมือนมองเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง อากาศธาตุหลายชนิดที่เข้าไปในร่างกายเฮยทั่นถูกระบบอวัยวะภายในที่พิเศษของเฮยทั่นผนึกเอาไว้ในท้องทันที ส่วนอวัยวะภายในของเฮยทั่นก็เหมือนจะควบคุมอากาศธาตุที่มีวิญญาณเหล่านั้นได้ ภาพเหตุการณ์นั้นเหมือนภาพที่เฮยทั่นย่อยยาเจี๋ยตันในร่างกาย อุณหภูมิสูงในท้องของมันกำลังย่อยและดูดซึมไอหมอกเหล่านั้น
หลังจากยืนยันซ้ำแล้ว ก็พบว่าเฮยทั่นไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวอะไร กลับเจริญอาหารดีมากด้วยซ้ำ กินอย่างสบายอกสบายใจมาก ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าอย่ามาขัดขวางข้า ให้ข้ากินต่อไปดีมั้ย?’
เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง เจ้าอ้วนนี่กินปราณชั่วร้ายเป็นอาหารเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้มั้ย?
ท่ามกลางสายตาที่กระหายของเฮยทั่น เหมียวอี้ปล่อยมันไปไล่ตามกินปราณชั่วร้ายที่ลอยกระเพื่อมพวกนั้นต่อ เขาเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าแล้ว พอนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของจินม่าน เขาก็เริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว
จินม่านเคยบอกไว้แล้ว ว่าเผ่าหงส์และเผ่ามังกรสามารถเอาชนะปราณชั่วร้ายได้ และเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษอย่างแดนดึกดำบรรพ์เท่านั้น ถึงจะฝึกตนจนเกิดเทพมังกรและเทพสตรีได้ เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางมองเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหางวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อดูดกินปราณอย่างสำราญ เขากำลังคิดว่า ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้สามารถฝึกเทพมังกรกับเทพสตรีออกมาได้ อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เฮยทั่นดูดกินปราณอยู่ในตอนนี้ก็ได้ ถึงแม้เฮยทั่นจะไม่ใช่มังกร แต่กลับเป็นหลีหลง อีกไม่นานก็จะวิวัฒนาการกลายเป็นมังกรแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ เหมียวอี้เริ่มรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ค่อนข้างเฝ้ารอว่าการตัดสินของตัวเองจะไม่ผิด หวังว่านี่จะเป็นวาสนาของเฮยทั่น ถ้าสามารถสร้างความโชคดีให้กับเฮยทั่นได้จริงๆ การโดนส่งมาขังในแดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
ผ่านไปไม่นาน ปราณชั่วร้ายที่อยู่รอบตัวก็โดนเฮยทั่นดูดกินไปหมดแล้ว เฮยทั่นเริ่มกระโดดโลดเต้นบนพื้น กระโดดขึ้นไปข้างบนไม่หยุด อยากจะดูดกินปราณชั่วร้ายที่อยู่บนฟ้า ทว่าสิ่งที่ทำให้มันใจฝ่อก็คือ มันค้นพบแล้วว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วเหาะไม่ขึ้น เลยดันทุรังให้กำลังอันป่าเถื่อนกระโดดขึ้นกระโดดลง มันกระโดดขึ้นสูงมาก แล้วก็ร่วงลงจากฟ้าราวกับลูกตุ้มตาชั่ง กระแทกพื้นเสียงดังโครมครามไม่หยุด ฝุ่นควันปลิวขึ้นมาทั่วสารทิศ
เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเล็กน้อย เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ อย่ายั่วให้สิ่งที่เขาสู้ด้วยไม่ไหวออกมานะ เขาจึงตะโกนทันที “โจรอ้วน หยุดให้พ่อเดี๋ยวนี้นะ!”
เฮยทั่นตกลงจากฟ้าและกลิ้งบนพื้น พอมันลุกขึ้นได้ก็มองเขาอย่างไม่ยอมแพ้
เหมียวอี้เองก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ทดลองอีกรอบเช่นกัน เป็นอย่างที่จินม่านบอกจริงๆ อยู่ที่นี่เหาะไม่ขึ้นเลย แต่อาศัยกำลังอันป่าเถื่อนกระโดดขึ้นไปก็ไม่ใช่ปัญหา
จากนั้นเขาก็เดินไปข้างกายเฮยทั่น แล้วมองสำรวจมันอย่างแปลกใจเล็กน้อย เจ้าอ้วนนี่สามารถดูดกลืนปราณชั่วร้ายของที่นี่ได้ แต่ทำไมเหาะไม่ขึ้น ไหนบอกว่าอยู่ที่นี่หงส์กับมังกรบินได้ไม่ใช่เหรอ?
พอคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเฮยทั่นยังไม่ได้วิวัฒนาการเป็นมังกร ยังไม่ได้เป็นมังกรอย่างแท้จริง
…………………………