พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1453 กลิ่นหอมอัศจรรย์บนตัวเฮยทั่น
ฉวยโอกาสตอนที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดจนใจลอย เฮยทั่นเหยียดขาวิ่งไปไกลอีกครั้ง ถ้าไม่ให้มันกระโดด เช่นนั้นก็วิ่งไปไกลๆ แทนแล้วกัน
พอเหมียวอี้หันกลับมา ก็เดาความคิดของมันออกทันที เขาหน้าดำคร่ำเครียดพร้อมตะโกนว่า “ไสหัวกลับมา!”
ซวบ! เท้าทั้งสี่หยุดวิ่งกะทันหัน ทำให้หินดินปลิวขึ้นมา เฮยทั่นหันกลับมามอง แล้วหันตัวตามมาอย่างช้าๆ มันรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย วิ่งกลับมาช้าๆ อย่างไม่เต็มใจ แล้วก้มหน้าพ่นเสียงทางจมูกใส่เหมียวอี้เพื่อแสดงการต่อต้าน
เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบหัวมัน แล้วกล่าวอย่างจริงจังจริงใจว่า “โจรอ้วน ที่นี่มีสิ่งที่พวกเราสู้ด้วยไม่ไหว เข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าตะกละกินจะเป็นการรนหาที่ตาย เข้าใจมั้ย?”
เฮยทั่นสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ เพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้นเอง มันจามหนึ่งที แล้วสั่นหัวเล็กน้อย สุดท้ายหมอบลงบนพื้นแล้วสะบัดหางไปมา
เหมียวอี้เองก็ฟังคนอื่นพูดมาเหมือนกัน ส่วนรอบข้างจะมีสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหวหรือไม่ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ข้อมูลน่าจะไม่ผิดพลาด ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว
เขาไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วปักทวนในมือลงบนพื้น ใช้สายตาจ้องไปยังจุดไกลๆ รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วพลันแยกออก พอตาทิพย์โผล่ออกมา เสาแสงต้นหนึ่งที่มีสีรุ้งลอยวนเวียนพลันยิงออกมา แล้วเริ่มสำรวจด้านหลังภูเขาที่อยู่ไกลๆ
ที่นี่มีปราณชั่วร้ายลอยวนเวียน ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมาก ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็มองได้ไม่ไกล เขาทำได้เพียงใช้ตาทิพย์ที่สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อตรวจดู ต้องยืนยันให้แน่ใจก่อนว่ารอบข้างมีภัยคุกคามหรือไม่ ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะไปตั้งหลักอยู่ที่ไหน
ตาทิพย์มองทะลุปราณชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ไกลๆ ไปเจอกับภูเขากลุ่มหนึ่ง แล้วก็มองข้ามไปเสียเลย สายตาหักเลี้ยวไปตรวจดูสภาพการณ์ในภูเขา
การมองครั้งนี้ เป็นการมองทุกอย่างตามทุกซอกทุกมุมในระยะร้อยลี้ เขาหมุนตัวอย่างช้าๆ มองสภาพการณ์รอบด้านจนทั่ว นอกจากกระดูกขาวที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ก็เหมือนจะไม่มีภัยคุกคามอะไรแล้ว จากนั้นก็เงยหน้ากวาดมองบนฟ้า พอมองทะลุหมอกหนาไปก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นดวงดาวเดียรดาษของจักรวาล ที่แปลกก็คือ ไม่ว่าตาทิพย์จะมองได้ไกลขนาดไหน แต่เหมือนว่ากับดวงดาวที่อยู่ใกล้มาก สายตาของตาทิพย์กลับไม่มีวันมองไปถึง เหมือนกับรูปภาพภาพหนึ่ง นี่ไม่ใช่สภาพของดาราจักรปกติเลย
เสาแสงตรงหว่างคิ้วพลันถูกเก็บกลับมา รอยนูนตรงหว่างคิ้วปิดสนิทแล้ว เหมียวอี้ไตร่ตรองเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่พบภัยคุกคามอะไรที่อยู่รอบๆ แต่คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจทำตามที่จินม่านสั่งไว้ อย่าวิ่งไปไกลเกินไป ถ้าไปยั่วโมโหสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหวขึ้นมา ตัวอยู่ในนี้จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้
เหมียวอี้ยกมือดึงทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้น แล้วคลำหาไปทั่วทุกที่ ทำให้เจอสภาพพื้นที่ที่ลาดชันแห่งหนึ่ง จากนั้นยื่นทวนชี้บอกใบ้ให้เฮยทั่นขุดหลุม
รอจนเฮยทั่นวิ่งมา ขณะกำลังจะขุดหลุม เหมียวอี้ถือทวนเฉียงห้ามมันไว้อีก เฮยทั่นมองเขาอย่างงุนงงนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ตระหนักได้ถึงปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่แค่วันสองวัน และไม่ได้อยู่แค่ปีสองปี แต่ต้องอยู่หนึ่งพันปี ทางที่ดีควรไปหาที่ที่มีแหล่งน้ำ
เขายื่นมือไปทดสอบอุณหภูมิอากาศ ถึงแม้อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาจะสามารถกลั่นน้ำจากอากาศมาใช้ดำรงชีวิตได้ แต่ก็ยังใค่อยสะดวกอยู่ดี ยิ่งไปหว่านั้นเฮยทั่นก็ยังชอบเล่นน้ำด้วย
เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้นี้ที่เพิ่งใช้ตาทิพย์ เขาเห็นทะเลสาบแห่งหนึ่งอยู่ด้านหลังภูเขาทางนั้น เหมือนจะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ไม่เห็นว่ามีภัยคุกคามอะไรที่นั่นเช่นกัน
พอคิดไปคิดมา ก็ปีนขึ้นขี่บนหลังเฮยทั่น แล้วโบกทวนเกล็ดย้อนไปข้างหลัง เคาะบนก้นของเฮยทั่น
เฮยทั่นวิ่งเร็วราวกับลมพายุทันที วิ่งตะบึงไปยังจุดที่เหมียวอี้ชี้ทวนไป เสมือนมีเงาแฉลบผ่าน ทะเลทรายหิน ถึงแม้วันนี้มันจะถนัดเหาะเหิน แต่ความเร็วในการวิ่งก็ไม่ได้ลดลงจากในปีนั้น ทั้งยังเร็วกว่าเมื่อก่อนด้วย และยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่าง นั่นก็คือในปีนั้นเฮยทั่นมีสี่กีบเท้า เวลาวิ่งตะบึงน่าทึ่งมาก ตอนนี้กีบเท้ากลายเป็นกรงเล็บแล้ว เหยียบลงพื้นอย่างแข็งแรงและแผ่วเบา เวลาแฉลบผ่านพื้นดินแทบจะไม่มีเสียงอะไร
เหมียวอี้สวมเกราะรบถือทวน ขี่บนตัวเฮยทั่นอยู่ท่ามกลางสายลม ฉากแบบนี้เป็นเรื่องในอดีนนานมากแล้ว เมื่อได้สัมผัสความรู้สึกตอนวิ่งตะบึงแบบนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนเจอเฮยทั่นที่อ้วนเหมือนหมูครั้งแรกที่ถ้ำล่องนิภา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชั่วพริบตาเดียวจะผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว
ผ่านประสบการณ์เรื่องราวและผู้คนข้างกายมาแล้วไม่น้อย ผ่านความขัดแย้งมามากมายเช่นกัน แต่เฮยทั่นกลับอยู่ข้างกายเขาตลอด
พอออกจากทะเลทรายหินที่รกร้าง มุมที่ชนปะทะก็พลันเปลี่ยนไป เฮยทั่นกระโจนเพียงหนึ่งครั้ง ก็ทะยานขึ้นไปบนภูเขาแล้ว วิ่งบนภูเขาสูงราวกับวิ่งบนพื้นราบ ข้ามผ่านภูเขาไปอย่างรวดเร็ว พอสามารถมองเห็นทะเลสาบข้างหน้าได้แล้ว เฮยทั่นก็พุ่งเข้าไปในอึดใจเดียว ไปหยุดอย่างกะทันหันที่ริมทะเลสาบแล้ว
เหมียวอี้ถือทวนมองดู ตรงหน้าคือทะเลสาบที่มีรัศมีหลายลี้ น้ำทะเลสาบใสสะอาด จุดเดียวที่ทำให้ไม่สมบูรณ์แบบก็คือไม่มีพืชพรรณใดๆ เลย ทำให้ที่นี่ดูค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว พอเขายกมือยื่นเข้าไป หยดน้ำหยดหนึ่งก็ดีดขึ้นมาจากผิวทะเลสาบ มาตกลงที่ปลายเล็บของเขา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็นำใส่ปากแล้วกลืน
หลังจากแน่ใจแล้วว่าในทะเลสาบไม่มีพิษ ก็โบกทวนตีเฮยทั่น ทำให้เฮยทั่นเลี้ยวและวิ่งไปที่ตีนเขาริมทะเลสาบ เหมียวอี้กระโดดลงมาแล้วโบกทวนชี้ เฮยทั่นใช้งานเท้าทั้งสี่ทันที ขุดดินอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ขุดถ้ำใต้ดินที่ลึกสิบกว่าจั้งได้แล้ว
หลังจากจัดการกลบกองดินหินที่กองอยู่ด้านนอกแล้ว เหมียวอี้ก็เข้ามาจัดระเบียบในถ้ำใต้ดิน ทำให้เหมือนวังใต้ดินแบบเรียบง่าย เตรียมจะเก็บตัวฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ที่นี่สักหนึ่งพันปี แต่น่าเสียดายที่มีการป้องกันน้อยไป ทำได้เพียงให้เฮยทั่นเฝ้าอยู่นอกถ้ำ
เดิมทีการใช้ตั๊กแตนในมือเขามาวางกำลังป้องกันนั้นเหมาะสมที่สุด แต่จนใจที่ก่อนจะเข้าอุทยานหลวง เขากังวลว่าจะโดนค้นตัว จึงให้เหยียนซิวพกไปให้อวิ๋นจือชิวเลี้ยง เรื่องบางเรื่องถึงแม้เขาจะยังยืนยันไม่ได้ แต่เขาก็พอจะเดาอะไรได้คร่าวๆ แล้ว เขาไม่กล้าปล่อยตั๊กแตนพวกนั้นออกมาง่ายๆ อีก
พอออกจากวังใต้ดินแล้ว เฮยทั่นก็วิ่งเข้ามา แล้วทำเสียงฟึดฟัดไปทางทะเลสาบ เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่มันต้องการจะสื่อ มันอยากจะลงไปเล่นในน้ำแล้ว เพียงแต่เกราะรบบนตัวหนักไปหน่อย ส่งผลต่อการเล่นน้ำของมัน
พอเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ เกราะรบบนตัวเฮยทั่นก็กะพริบแสง แล้วพลิกกดเก็บเสียงดังเปาะแปะ สุดท้ายก็กลายเป็นห่วงเหล็กบนคอของเฮยทั่น
“โจรอ้วน จำไว้นะ ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามออกไปจากหุบเขาแห่งนี้” เหมียวอี้กล่าวเตือน
เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นหันเลี้ยววิ่งออกไปอย่างสำราญบานใจ เสียงน้ำกระเด็นดังตูม มันพุ่งลงไปเกลือกกลิ้งเล่นอยู่ในน้ำแล้ว
พอเปิดใช้ตาทิพย์ตรวจดูสภาพในทะเลสาบอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปติ เหมียวอี้ก็ถอดเกราะรบบนร่างกายออก แล้วเริ่มหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก คนแรกที่ติดต่อคืออวิ๋นจือชิว บอกฮูหยินว่าตัวเองมาถึงแดนดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยมาก ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้
ทางด้านอวิ๋นจือชิวก็กำชับว่าอย่าประมาท ความปลอดภัยต้องมาอันดับแรก ขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่า หกลัทธิเตรียมส่งกำลังพลไปเจอกับไป๋เฟิงหวงแล้ว
จากนั้นเหมียวอี้ก็ทยอยส่งข่าวบอกคนอื่นๆ ว่าตัวเองปลอดภัย
หลังจากทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พอเห็นสีของท้องฟ้า เหมียวอี้ก็กำลังจะเรียกเฮยทั่นกลับมา แต่ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะกลับมาเองแล้ว ในปากคาบตัวอะไรบางอย่างที่กำลังดิน
เหมียวอี้งงงวย ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป รอจนกระทั่งเฮยทั่นคลายปากโยนสิ่งนั้นมาที่ข้างกายเขา เขาถึงได้พบว่าตัวเองมองไม่ผิดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปลาตัวหนึ่งที่หน้าตาค่อนข้างประหลาด เป็นปลาที่ทั้งตัวมีสีขาวเหมือนหิมะ
เหมียวอี้กางนิ้วทั้งห้า ดูดปลาที่ยาวประมาณสองฉื่อ[1]มาไว้ในมือ ขณะกำลังเตรียมจะดูว่าเป็นปลาอะไร ใครจะคิดว่าตอนที่ปลาขาวเพิ่งจะเข้ามาในมือ ก็ทำให้เขาหนาวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ โยนปลาตัวนั้นทิ้งโดยจิตใต้สำนึก เป็นความอาฆาตแค้นที่ลึกซึ้งมาก!
เหมียวอี้ตกใจไม่เบา ถ้าเดาไม่ผิด ปลาตัวนี้น่าจะเกิดจากปราณอาฆาต หลังจากสิงร่างแล้วจะไม่ปรากฏตัวในภาพไอหมอก แต่จะกลายเป็นพวกปลา แต่ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ปราณอาฆาตที่รวบรวมไว้ในปลาตัวนี้ก็เยอะจนไอหมอกก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด ตอนนี้มันกลายเป็นร่างจริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นวิญญาณที่มีชีวิต
พอเห็นว่าในดวงตาของปลาตัวนั้นมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ปรากฏออกมาเป็นความอาฆาตแค้นอย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตัวเองเพิ่งใช้ตาทิพย์ตรวจดูในทะเลสาบแล้วแท้ๆ แต่ไม่เห็นมีปลาชนิดใดอยู่เลย แล้วนี่เป็นปลาที่โผล่มาจากไหนกัน?
สายตามองไปตามสภาพของทะเลสาบ ไม่นานก็เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว มันน่าว่ายน้ำลงมาจากต้นน้ำด้านบน
รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก เสาแสงอันสวยงามต้นหนึ่งยิงออกมา ตาทิพย์เปิดออกอีกครั้ง สำรวจดูสภาพในทะเลสาบอีกรอบ พอกวาดมองดูเล็กน้อย ก็พบว่าในทะเลสายมีปลาชนิดนี้อยู่จริงๆ เป็นปลาสีขาวชนิดนี้ทั้งหมด พอสายตาของเขามองไปทางต้นน้ำ เป็นอย่างที่คิดไว้ ยังมีปลาทยอยว่ายมาจากต้นน้ำอย่างต่อเนื่อง
พอเก็บตาทิพย์แล้ว เหมียวอี้ก็มองสีของท้องฟ้าที่มืดลงทีละนิด สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นเพราะฟ้ามืดหรือเปล่า ปลาชนิดนี้ถึงได้ปรากฏตัว
จู่ๆ เฮยทั่นก็จามใส่เขาหนึ่งที่ เขาเอียงหน้าไปมอง เข้าใจความหมายแล้ว นี่คือปลาที่มันหามาให้เขา นิสัยเก่าของคู่หู แค่เห็นการกระทำก็เข้าใจแล้ว มันต้องการให้เขาก่อไฟย่างกิน
เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่วาสนาย่อยของพวกนี้หรอก ถ้าเจ้าไม่กลัวว่ากินแล้วจะท้องไส้ปั่นป่วน เจ้าก็เอาไปกินเองเถอะ”
เฮยทั่นไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเกรงใจ’ มันตะปบกรงเล็บไปเกี่ยวปลาสีขาวบนพื้น แล้วเอาเข้าปากทันที จากนั้นก็เงยหน้าสะบัดหัวกลืนลงท้อง ท่าทางสุขสำราญหวานชื่น แล้วเหล่ตามองเหมียวอี้ราวกับกำลังบอกว่า ‘เหมียวอี้ไม่เข้าใจการเสพสุข’ เสร็จแล้วสะบัดหางพุ่งไปที่ทะเลสาบอีก
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะเรียกมันกลับมา ทว่าพอคิดไปคิดมา มือที่ยกขึ้นก็วางลงอีกครั้ง ไปสำรวจสถานการณ์รอบๆ สักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็รออยู่นอกถ้ำ อยากจะดูว่าจะเป็นอย่างที่ตัวเองเดาหรือไม่ ปลาพวกนี้จะออกมาตอนที่ฟ้ามืดหรือไม่
ทว่าหลังจากยืนอยู่ตรงนี้ได้สิบกว่าชั่วยาม ก็ไม่เห็นว่าฟ้าจะสว่างขึ้นเลย เฮยทั่นกลิ่นปลาในทะเลสาบจนท้องกลม ประคองตัวไม่ไหวจนต้องกลับมานอนหมอบอยู่ในถ้ำ แล้วก็เริ่มนอนงีบหายใจเสียงดังราวกับฟ้าผ่า
เหมียวอี้เริ่มตระหนักได้ว่าสีของท้องฟ้าที่นี่ไม่สามารถนำมาคาดคะเนตามปกติได้ ที่จริงในดาราจักรก็มีดาวเคราะห์มากมายที่มีสีของท้องฟ้าแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นเขาภูตพเนจร ที่นั่นฟ้าจะมืดอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรกว่าฟ้าจะสว่างอีกครั้ง เหมียวอี้หันตัวเดินกลับเข้ามาในถ้ำ แล้วนั่งสมาธิฝึกตน
พอฝึกตนไปได้สักพัก จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถูกรบกวนด้วยกลิ่นประหลาดหลุ่มหนึ่ง เขาหยุดฝึกวิชาและยืนขึ้น เดินออกมานอกถ้ำตามกลิ่นหอมนั้น พอเดินมาถึงปากถ้ำถึงได้พบว่า กลิ่นหอมอัศจรรย์กลุ่มนั้นมาจากตัวเฮยทั่นที่กำลังนอนหลับอยู่
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้นั่งยองๆ แล้วสูดดม พบว่ากลิ่นหอมอัศจรรย์ถูกปล่อยออกมาจากเกล็ดที่กางออกเล็กน้อยแล้วปิดลงบนตัวเฮยทั่นจริงๆ เป็นกลิ่นหอมที่น่าดมมาก หอมมากราวกับไขมันชะมดเช็ด ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าในเกราะเกล็ดที่ปิดสนิทของเฮยทั่นเปล่งแสงอ่อนๆ ราวกับดวงดาว เหมียวอี้ลองเข้าไปดม พบว่าแสงนั้นก็คือกลิ่นหอม และกลิ่นหอมนั้นก็ค่อยๆ กระจายหายไปในอากาศ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว ไม่มีร่องรอยให้ตามเลย จู่ๆ ก็หนีหายเข้าไปในความลี้ลับ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก
เหมียวอี้ตกตะลึงปละประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเฮยทั่นนอน แต่ไม่เคยเจอกลิ่นหอมแบบนี้ปล่อยออกมาจากตัวเฮยทั่นเลย เขาอดไม่ได้ที่จะฉงนใจ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเฮยทั่นกินวิญญาณที่โกรธแค้นพวกนั้น ก็เลยเกิดผลมหัศจรรย์แบบนี้?
ตอนนี้เขาทำได้เพียงเข้าใจแบบนี้ เป็นเพราะบนตัวเฮยทั่นไม่เคยเกิดสภาพแบบนี้มาก่อน พอเข้ามาในแดนดึกดำบรรพ์ถึงได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้ขึ้น
…………………………
[1] ฉื่อ 尺 1ฉื่อ ยาวประมาณ 33.33เซนติเมตร