พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1459 เผยฝีมือ
ปราสาทดำเนินนภา ตำหนักนภาคราม จงหลีค่วยยื่นโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักไม่กล้าไปไหน นอกจากเขาแล้ว ในตำหนักก็ไม่มีใครสักคน
ในห้องสมาธิของตำหนักหลัง เวินหวนเจินเก็บระฆังดาราในมือแล้วถอนหายใจเบาๆ ตอนที่เพิ่งจะได้ข่าวพวกลูกศิษย์ เรื่องราวก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความน่าสงสัย ตอนนี้จึงยังรีบกลับมาไม่ได้ จะแยกย้ายกันพเนจรไปในใต้หล้าก่อน แล้วตอนหลังก็ค่อยทยอยกันกลับมา
เมื่อเรื่องทางนี้ปลอดภัยและเชื่อถือได้แล้ว เวินหวนเจินก็หยิบระฆังดาราอีกอันออกมาเขย่า ติดต่อบุคคลลึกลับที่ไม่เคยเจอหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใครดาวโดดเดี่ยว ทางนี้เรียบร้อยแล้ว
ดาวโดดเดี่ยว : ถ้าเขาถามถึง เจ้าก็บอกว่าปราสาทดำเนินนภาช่วยเขาจัดการสิบฐานปฏิบัติการที่อยู่เบื้องหลังห้าร้านค้านั่นแล้ว
สิบฐานปฏิบัติการ? เวินหวนเจินอึ้งทันที เขาเพิ่งจะได้รับรายงานโดยละเอียดจากลูกศิษย์ ฐานปฏิบัติการที่รับมือด้วยนั้นมีกำลังเข้มแข็ง ต่อให้ปราสาทดำเนินนภาจะส่งกำลังออกไปทั้งสำนัก อย่างมากก็รับมือได้แค่ฐานปฏิบัติการแบบเดียวกันสามสี่แห่ง รับมือกับสิบแห่งพร้อมกันไม่ไหวเลย
เขาไม่รู้ว่าทำไมดาวโดดเดี่ยวผู้ลึกลับถึงต้องบอกว่าสิบฐานปฏิบัติการ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้แล้ว คาดว่าคงจะมีเหตุผลของตัวเองแน่นอน เรื่องบางเรื่องตนไม่สะดวกจะถามเยอะ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการจะบอกตนแบบนี้ก็ย่อมต้องบอกแบบนี้
ผ่านไปไม่นาน เวินหวนเจินก็เดินช้าๆ ออกมาจากด้านหลัง จงหลีค่วยรีบทำความเคารพ “คารวะปรมาจารย์!”
เวินหวนเจินหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ติดต่อเขาเถอะ บอกเขาว่าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ถึงคราวที่เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแล้ว”
“ขอรับ!” จงหลีค่วยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วติดต่อไปบอกให้เหมียวอี้รู้
เหมียวอี้ที่กำลังฟังเสียงเฮยทั่นหลับอยู่ในถ้ำของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ค่อนข้างตกใจ สิบฐานปฏิบัติการงั้นเหรอ? ปราสาทดำเนินนภากำจัดสิบฐานปฏิบัติการลับของหกลัทธิทิ้งในอึดใจเดียวเหรอ?
เขาไม่ได้บอกปราสาทดำเนินนภาว่าคนที่ต้องไปกำจัดคือใคร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขารู้ นั่นก็คือฐานปฏิบัติการลับที่ผู้เหลือรอดของห้าลัทธิข้างนอกสร้างขึ้นปิดบังหูตาของตำหนักสวรรค์ได้นานขนาดนี้ แสดงว่าค้นพบไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน แต่ไม่น่าเชื่อว่าปราสาทดำเนินนภาจะบีบสิบฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิออกมาได้ภายในเวลาสั้นๆ ความสามารถของปราสาทดำเนินนภานั้นทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าปราสาทดำเนินนภาที่อยู่อย่างเงียบสงัดมานานหลายปีจะมีกำลังที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คิดไปคิดมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ สมกับเป็นหนึ่งในสิบปราสาทดำเนินที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า! พวกเขาก็แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง พอได้เคลื่อนไหวขึ้นมา ก็ดูถูกความสามารถในการทำงานนี้ไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงกำลังของสิบฐานปฏิบัติการของห้าลัทธินี้ ถ้าหากรู้ว่ากำลังที่ซ่อนอยู่ในฐานสิบแห่งนี้มีมากขนาดไหน เกรงว่าคงจะตกใจยิ่งกว่านี้
พอรับมือกับจงหลีค่วยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในถ้ำ ตอนนี้เขายังไม่คิดจะบอกข่าวนี้กับอวิ๋นจือชิว รอให้พวกเขารู้เรื่องแล้วค่อยมาถามตนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ได้ฟังจากปราสาทดำเนินนภาด้านเดียว ส่วนรายละเอียดจะเป็นจริงเหมือนที่ปราสาทดำเนินนภาบอกหรือไม่ ตนก็ยังไม่รู้ ถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วตนพูดโอ้อวดเร็วเกินไป จะไม่เป็นการสร้างความอับอายให้ตัวเองหรอกหรือ
ขณะที่เขากำลังคิดแบบนี้อยู่ อวิ๋นจือชิวก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว ถามซักไซ้เขาเป็นครั้งที่สามแล้วว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดกันแน่ พวกเรามากันครบแล้ว พวกเขาเร่งถามไม่หยุด ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ
เหมียวอี้ : ไม่ต้องรีบ รออีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง
อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถามว่า : ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าน้องสาวเจ้ามีท่าทีต่อข้ายังไง ข้ากำลังถ่วงเวลาตรงนี้อยู่ นางไม่ได้เชื่อฟังข้าสักเท่าไรหรอกนะ
เหมียวอี้ : ถ้านางมีอะไรจะบ่นก็ให้มาบ่นกับข้า นับวันจะยิ่งทำตัวไม่เข้าท่าแล้ว
อวิ๋นจือชิว : เจ้าบอกเวลามาเลยดีกว่า จะให้พวกเรารออีกนานแค่ไหนกันแน่
เหมียวอี้ : บอกแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน ใกล้แล้ว
ดาวไร้ลักษณ์ บนเกาะแห่งหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่ยืนรับลมอยู่บนหน้าผาริมทะเลหัวเราะแห้งๆ นางเก็บระฆังดาราแล้วหันตัวเดินกลับมาที่ป่าตรงตีนเขา
ใต้ร่มไม้ในป่าแบ่งขอบเขตตามอำนาจแต่ละฝ่าย ต่างฝ่ายต่างแบ่งกลุ่ม รวมๆ แล้วมีหลายสิบคน
ทุกคนทยอยกันมารวมตัวกันตรงนี้ รอมาเป็นเวลาสามวันแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ คนพวกนี้จึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ
เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว ช่างไม้ก็ก้มลงโบกแขนเสื้อกวาดหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทันที แล้วเชิญให้อวิ๋นจือชิวนั่ง
“ฮูหยิน นายท่านบอกรึยังคะ?” จีเหม่ยลี่ที่นั่งเยื้องตรงข้ามเอ่ยถาม
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เขายังไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าใกล้แล้ว ให้พวกเรารออีกหน่อย”
อวี้หนูเจียวเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วถามว่า “วันนี้ใกล้จะผ่านไปอีกแล้ว นายท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
“เชอะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงพูดเหน็บแนม “บางทีเจ้าเจ้าอาจจะแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนเองก็ได้มั้ง ตอนนี้เขาโดนขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ จะเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน ยังไม่รู้เลยว่าใครยุยง” คนที่พูดก็คือเยว่เหยา แววตาที่มองไปทางอวิ๋นจือชิวเหมือนกำลังเหน็บแนม คำพูดที่กล่าวออกมาก็ย่อมเหน็บแหนมอยู่แล้ว
เอาเป็นว่านางเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วขัดหูขัดตา ในปีแรกๆ รู้สึกหึงหวงด้วยอารมณ์ผู้หญิง ทว่าตอนนี้ยอมรับความจริงได้แล้ว ความคิดในด้านนี้จืดจางลงแล้วเช่นกัน แต่นางก็ยังไม่ถูกชะตากับอวิ๋นจือชิวอยู่ดี แค่รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวไม่คู่ควรกับพี่ชายของตัวเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่กับผู้ชายคนอื่นมาหลายหมื่นปี จะสะอาดหรือไม่สะอาดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ถือครองพรหมจรรย์เพื่อผู้ชายคนอื่นมาหลายหมื่นปีแล้วยังมาคบชู้กับพี่ชายของนางอีก ช่างไร้ยางอายจริงๆ ทำให้พี่ชายนางได้ชื่อว่าไปเก็บรองเท้ามือสองมาจากคนอื่น คิดไปคิดมาแล้วก็โมโห
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าเมื่อก่อนอวิ๋นจือชิวแต่งตัวเปิดเผยร่างกาย ได้ยินว่าหน้าอกกับก้นแทบจะโผล่ออกมาแล้ว คิดดูสิว่าเป็นนางจิ้งจอกช่างยั่วขนาดไหน ชัดเจนว่าเป็นคนร่านแบบเต็มสิบไม่หัก ไม่รู้เหมือนกันว่ามาล่อลวงพี่ชายนางอย่างไรบ้าง ล่อลวงจนกระทั่งทุกวันนี้พี่ชายนางก็ยังหลงใหลดื้อดึงช่วยพูดเข้าข้างอยู่
ที่น่าแค้นยิ่งกว่านั้นก็คือ เพราะนางตัวดีคนนี้ ทำเอาทุกวันนี้นางยังไม่ได้ข่าวพี่รอง ถ้าไม่ใช่เพราะนางตัวดี พวกเขาสามพี่น้องคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปนานแล้ว ไม่ต้องอยู่คนจะฟากฟ้าเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก
ในใจเก็บความแค้นเคืองไว้มากมายขนาดนี้ แค่นางเห็นหน้าอวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้แล้วว่าความโกรธพรั่งพรูมาจากไหน ท่าทางเวลาอวิ๋นจือชิวเดินทอดน่องบิดเอวก็ยิ่งขัดตานาง นางไม่ยอมแววตาทุกแบบของอวิ๋นจือชิว เวลาอวิ๋นจือชิวพูดนางก็ไม่ชอบฟัง เอาเป็นว่าเวลาเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วไม่ชอบอะไรสักอย่าง
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าแม่นางเยว่เหยาไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามเขาเองได้เลย” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก นางก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเยว่เหยากับเหมียวอี้
เยว่เหยาพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “มีเจ้าคอยเสี้ยมอยู่ตรงนี้ เขาจะฟังคำพูดคนอื่นเสียที่ไหนล่ะ ตอนนี้เขาโดนขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เกรงว่าจะสมใจเจ้าแล้วล่ะสิ ถึงยังไงข้างกายเจ้าก็มีผู้ชายมากมาย ขาดเขาไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก” สายตาชำเลืองมองไปที่พวกช่างไม้ เรียกได้ว่าแฝงความหมายจิกกัดลึกซึ้งมาก
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกช่างไม้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที แต่ละคนมองเยว่เหยาด้วยสายตาโกรธเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำอะไรบุ่มบ่ามเมื่ออยู่ที่นี่ ตอนนี้ก็คงจะพุ่งเข้าไปฆ่านางทิ้งแล้ว
จีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ของเหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้ว พวกนางคลุกคลีอยู่กับอวิ๋นจือชิวมาหลายปี รู้ว่าอวิ๋นจือชิววางตัวอย่างไร ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะมีรูปร่างยั่วยวนและหน้าตาเชื้อเชิญ แต่ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด พวกนางต่างก็ค้นพบว่าทำไมลูกศิษย์คนนี้ของมู่ฝานจวินถึงปากร้ายนัก!
คนที่อยู่ตรงนั้นนอกจากอวิ๋นจือชิวและเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ คนอื่นๆ ก็แทบจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเยว่เหยากับเหมียวอี้เลย แต่ยังมีอีกคนที่ทำตัวเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เทพธิดาหงเฉินนั่งสมาธิอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิว ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็ค่อนข้างลำบากใจ ถ้าพูดถึงลำดับความอาวุโส เยว่เหยาก็คือศิษย์น้องของมารดาพวกนาง
อวิ๋นจือชิวพลันยืนขึ้น ต่อให้นางจะทนอย่างไร แต่ก็ทนให้เยว่เหยาทำลายความบริสุทธิ์ของนางไม่ได้ นางกำหมัดสองข้าง โมโหจนหน้าซีดขาวแล้ว
อวิ๋นกางอาสิบหก อวิ๋นก่วงอาสิบเก้า อวิ๋นเซียงอาหญิงสิบสามที่อยู่ข้างหลังนางก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน อวิ๋นเซียงกล่าวอย่างดุร้ายว่า “ข้าจะฉีกปากเน่าๆ ของเจ้า!”
ขณะที่สามพี่น้องกำลังจะพุ่งเข้าไป อวิ๋นจือชิวกลับกางแขนสองข้างห้ามทั้งสามไว้ แล้วกัดริมฝีปากบอกว่า “ช่างเถอะ!”
คำพูดพวกนี้แม้แต่ถังจวินยังทนฟังไม่ไหว จึงตะคอกใส่เยว่เหยาว่า “ศิษย์น้อง พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?” แล้วก็หันมากุมหมัดขอโทษฝั่งนี้ “เหมียวฮูหยิน ศิษย์น้องข้าโดนอาจารย์ตามใจจนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
เยว่เหยากลับกดแขนสองข้างของเขาที่กำลังขอโทษ แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ถ้าพูดผิดไปก็เป็นข้าเองที่พูดผิด ท่านจำเป็นต้องขอโทษนางด้วยเหรอ? แล้วอีกอย่างนะ ท่านเคยได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ไหนให้ผู้ชายคนอื่นเข้าห้องนอนได้ตามอำเภอใจบ้างล่ะ? แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆา เวลาจะอาบน้ำก็ต้องให้ผู้ชายยกเข้าไปให้ มีผู้ชายหลายคนเข้าๆ ออกๆ ห้องนอนนางถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว! ทำก็ทำไปแล้ว ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดถึงช่างไม้ ช่างหิน พ่อครัวและบัณฑิต ทั้งสี่มองไปที่อวิ๋นจือชิวพร้อมกล่าวอย่างแค้นใจว่า “เถ้าแก่เนี้ย!” ความหมายในคำพูดก็คือ ‘ถ้าท่านไม่คัดค้าน พวกเราจะลงมือเองแล้วนะ’
ส่วนอวิ๋นก่วงกับพี่น้องก็ใกล้จะระเบิดอารมณ์แล้ว มีหรือที่จะทนไหว พุ่งพรวดเข้าไปแล้ว
คนของฝั่งลัทธิเซียนรีบมาบังหน้าเยว่เหยา ถึงแม้ถังจวินจะมองเยว่เหยาอย่างโกรธเคือง แต่ก็ยังมาบังตรงหน้านาง
“หยุดนะ!” อวิ๋นจือชิวพลันตวาดเสียงแหลม “อาสิบหก อาสิบเก้า อาหญิงอวิ๋นเซียง ถอยออกไปให้หมด!”
ทั้งสามหยุดแล้วหันกลับมา อวิ๋นก่วงเรียกอย่างโมโหว่า “น้องชิว!”
“ข้าให้พวกท่านถอยไป! ถ้ายังไม่ถอยก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!” อวิ๋นจือชิวที่โกรธจนตัวสั่นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ ยกมือแหวกญาติผู้ใหญ่ทั้งสามของตัวเองออกไป ข้างหลังมีปราณมารลอยวนวเวียน สีหน้าปรากฏความชั่วร้ายทว่าทรงเสน่ห์ ทำให้ใบหน้าสวยพริ้งดูหยาดเยิ้มกว่าเดิม
“เหมียวฮูหยิน…” ถังจวินเรียก
แต่ก็สายไปแล้ว มีเสียงดังบึ้ม ปราณมารระเบิดออกมาราวกับน้ำหมึก โผไปยังกลุ่มลัทธิเซียนราวกับคลื่นคลั่ง ร่างจองอวิ๋นจือชิวถูกกลบมิดอยู่ท่ามกลางปราณมารเช่นกัน
ขณะที่คนของลัทธิเซียนกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน ก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผ่านพวกเขาไปราวกับลม พอหันกลับไปมองก็ตกใจทันที
เยว่เหยาก็ตกใจเช่นกัน เป็นเพราะจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง ใกล้กันจนปลายจมูกแทบจะชนกันแล้ว นางโบกฝ่ามือที่มีสายฟ้าฟันเข้าไป ปรากฏว่าวินาทีที่โจมตีโดน อวิ๋นจือชิวก็พลันหายเข้าไปในหมอกมารแล้ว การฟันครั้งนี้จึงคว้าน้ำเหลว
ตัวของอวิ๋นจือชิวมายืนอยู่ด้านขวาของนางอีก นางง้างฝ่ามืออีกครั้ง แต่ก็ยังโจมตีไม่โดน อีกฝ่ายมาโผล่ข้างซ้ายของนาง แล้วโผล่ข้างหลังอีก…
เยว่เหยาที่ลงมือพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตกใจจนขนลุก
ซวบ! ปราณมารพลันกวาดกลับมา ร่างจริงของอวิ๋นจือชิวปรากฎตรงหน้าพวกอวิ๋นก่วง
“เห็นแก่ที่สามีข้าเรียกทุกคนมาเพราะมีธุระต้องจัดการ เห็นแก่ที่สามีข้ายังโดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้เขาเสียสมาธิเป็นกังวล ดังนั้นวันนี้ข้าจะทนไว้ รอสามีข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไร ถ้าเจ้ายังกล้าปากไม่มีหูรูดอีก ก็อย่าหาว่าข้ายกฐานะตัวเองมาสั่งสอนเจ้าแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวที่หยุดลงมือพลันจ้องเยว่เหยาพร้อมเตือนอย่างเยียบเย็น
พอนางเปิดเผยฝีมือ ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงมาก ที่ตรงนั้นเงียบกริบ แม้แต่พวกอวิ๋นก่วงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง อย่าบอกนะว่านี่คือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานขั้นสูงกว่าเดิม?
เยว่เหยากัดฟันไม่พูดอะไร ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย นางรู้ว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายตั้งใจปล่อยนางไป ถ้าอยากจะฆ่านางขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ นางไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบด้วยซ้ำ
มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าท่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนจินตนาการเลย เป็นแค่วิชาพรางตาขั้นสูงเท่านั้นเอง นางหลอกลวงได้เพราะตรงนี้ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
…………………………