พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1460 ข้าทำเอง
จุดประสงค์ที่นางเปิดเผยฝีมือก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร และไม่นับว่าขู่เข็ญอะไรด้วย เพียงอยากจะให้เยว่เหยาได้รู้ ว่าข้าไม่ได้กลัวเจ้า ข้าแค่อ่อนข้อให้เจ้า!
สิ่งที่พูดออกมาก็เพื่อจะให้เยว่เหยาได้เข้าใจ ว่าในเมื่อเจ้ารู้ว่าพี่ชายเจ้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วคาดเดาความเป็นความตายไม่ได้ เจ้าก็อย่าทำให้เขาเสียสมาธิ ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้พี่ชายเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นางโมโหมั้ยน่ะเหรอ? ก็ย่อมโมโหแทบบ้าอยู่แล้ว ในสังคมนี้ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงจะไม่สำคัญได้อย่างไร ถ้าพูดจากบางมุมก็สำคัญเท่าชีวิตนั่นแหละ คำพูดของเยว่เหยาเหมือนจะเอาชีวิตนางจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงจะแค้นแบบไม่ตายไม่เลิก
แต่ก็ยังเป็นอย่างที่บอก นางจะต้องพิจารณาเงื่อนไขที่ว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวของเหมียวอี้ ความอัปยศบางอย่างจำเป็นต้องทนเอาไว้ นี่ก็คือหนึ่งในราคาที่นางต้องจ่ายเพื่อแลกกับการตัดสินใจอยู่กับเหมียวอี้ที่ยังเป็นเพียงบุคคลต่ำต้อยในปีนั้น ในเมื่ออยู่กับเขาแล้วก็ต้องยอมรับพื้นเพชาติกำเนิด จะดีหรือจะแย่ก็เลือกไม่ได้
นางต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นสามีภรรยา ตอนนี้นางช่วยอะไรเหมียวอี้ไม่ได้จริงๆ ในใจกำลังรู้สึกผิด จะให้เหมียวอี้เสียสมาธิเมื่ออยู่ในที่อันตรายอย่างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้แล้ว ดังนั้นนางต้องพยายามรักษาความปรองดองของครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ถึงแม้จะไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบใจที่ผู้ชายของตัวเองมีอนุภรรยาอยู่ข้างกายเป็นโขยงก็ตาม
ในความเป็นจริงนางก็ทำได้แล้วเช่นกัน โดยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยทำให้เหมียวอี้ต้องกังวลเรื่องผู้หญิงในบ้านเลย ต่อให้เหมียวอี้ออกจากบ้านไปไกลกว่านี้หรือนานกว่านี้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องในด้านนี้ขึ้น ถึงขั้นว่าในบางมุมถ้ามีจุดไหนที่เหมียวอี้หลงลืมผู้หญิงในบ้าน ก็ล้วนเป็นนางที่เตือนให้เหมียวอี้ทำอย่างเหมาะสม
“อวิ๋นจือชิว อย่านึกว่าข้ากลัวเจ้านะ!” เยว่เหยากัดฟันพูด ถึงแม้ในใจจะตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ควรสร้างปัญหาเพิ่มให้พี่ชายในเวลานี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น ปากก็ยังยอมอ่อนให้ไม่ได้
อวิ๋นจือชิวกล่าวกดดันด้วยแววตาคมกริบว่า “ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้ากลัวข้าหรอก รอให้วันไหนที่เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ามีจะเอาชนะข้าได้ ข้าก็ยินดีต้อนรับให้เจ้ามาสั่งสอนได้ตลอดเวลา ไม่ใช่มาขยับปากพูดที่นี่!” พอพูดจบก็เหมือนไม่อยากพูดอะไรมากอีก นางหันตัวเดินกลับไปทันที
ถังจวินก็ถือโอกาสหาทางลงให้เยว่เหยาเช่นกัน มาดึงนางเอาไว้แล้ว
ที่ตรงนั้นเงียบลงอย่างรวดเร็ว
กลับเป็นพวกจีเหม่ยลี่ที่สายตาชำเลืองมองอวิ๋นจือชิวที่นั่งเงียบไม่หยุด ทุกคนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน สำหรับความรู้สึกที่มีต่อฮูหยินเอกอย่างอวิ๋นจือชิว ถ้าจะบอกว่าอนุภรรยาอย่างพวกนางไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด นั่นก็เป็นคำพูดเหลวไหลวแล้ว แต่ในเวลานี้อนุภรรยาอย่างพวกนางรู้สึกนับถืออวิ๋นจือชิวอย่างแท้จริง ขนาดโดนดูหมิ่นขนาดนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่สามารถสั่งสอนอีกฝ่ายได้ แต่ก็ยังอดทนไว้เพื่อสามี พวกนางยอมรับว่าตัวเองทำแบบนั้นได้ยาก พวกนางตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิวแล้ว
แต่ในใจพวกนางก็ปลอบใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากตัวเองเป็นฮูหยินเอก คาดว่าก็คงจะรักษาสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน
เพียงแต่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นจือชิวดูแลพวกนางเหมือนพี่น้อง แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ ตัวเองกลับไม่ยืนขึ้นมาช่วยเหลืออวิ๋นจือชิว เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้แค่ยืนมองอวิ๋นจือชิวรับมือเพียงลำพัง ทำให้พวกนางรู้สึกผิดนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวสีหน้านิ่งสงบ ในใจก็เศร้ารันทดอยู่บ้าง ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงในบ้านเดียวกัน แต่ในเวลาแบบนี้กลับไม่มีใครช่วยนางพูดทวงความยุติธรรมสักคน…แต่ความคิดแบบนี้เพียงแวบเข้ามาในสมองประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น สามารถให้อภัยและเข้าใจสถานการณ์ของพวกนางได้ ถึงอย่างไรการปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้การเป็นตัวแทนของตัวเอง แต่เป็นตัวแทนของอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องบางเรื่องจะเอามาผสมกันมั่วไม่ได้ ตอนแรกที่พวกนางแต่งงานกับเหมียวอี้ เดิมทีก็มีจุดประสงค์อยู่แล้ว และการที่เหมียวอี้แต่งงานกับพวกนางก็เกี่ยวข้องกับตนด้วย
ความคิดของพวกนางไม่ได้ใส่ใจความกับมีเกียรติและเสื่อมเกียรติของตัวเองมากนัก สิ่งที่พวกนางคิดก็คือ ตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่เหมาะสม ต้องดึงให้หัวใจของพวกนางย้ายจากฝั่งอาจารย์มาอยู่ที่ฝั่งเหมียวอี้ ฝั่งนี้ถึงจะยังมีทางให้เดินได้ไกล
ความคิดกำลังว้าวุ่น แต่ถูกปลุกให้ได้สติเพราะระฆังดาราในแหวนเก็บสมบัติ นางพบว่าอวิ๋นอ้าวเทียนท่านปู่ของตัวเองส่งข่าวมา หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะเหม่องงทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหมียวอี้กำลังให้ตนรออะไร
ไม่ใช่แค่นาง ตัวแทนของอีกห้าลัทธิที่อยู่ตรงนี้ก็ทยอยกันได้รับข่าวจากอาจารย์เช่นกัน
ข่าวล้วนเป็นแบบเดียวกัน ฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจีโดนล้างเลือด ให้พวกเขาถามว่าใช่เหมียวอี้ทหรือไม่
เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ก็ได้ข่าวเหมือนกัน พวกเขาถึงได้สอบถามกันและกัน ถึงได้พบว่าแต่ละบ้านล้วนมีฐานปฏิบัติการลับสองแห่งโดนล้างเลือด
ตอนยังไม่ถามก็ยังดีอยู่ แต่พอถามแล้วก็ตกใจ สงสัยว่าเหมียวอี้เป็นคนทำจริงเหรอ? แต่เหมียวอี้รู้เรื่องฐานปฏิบัติการลับของแต่ละบ้านได้อย่างไร เรื่องบางเรื่องขนาดคนที่อยู่ตรงนี้ยังไม่รู้เลย
ขณะที่อวิ๋นจือชิวฟังแต่ละบ้านสอบถามกัน นางก็รู้สึกสับสน พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเหมียวอี้ทำจริง หกลัทธิทำแบบนี้ซ้ำสองแล้ว เรื่องของไป๋เฟิ่งหวงยั่วโมโหเหมียวอี้แล้วจริงๆ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายล้านคันไม่ใช่น้ำลายทีบทจะถ่มทิ้งก็ถ่มทิ้งได้ เวลาเหมียวอี้เป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยอมแลก อาศัยความโหดของเหมียวอี้หลังจากโดนยั่วให้โมโห ก็สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อยู่แล้ว
เพียงแต่นางเองก็คิดไม่ตก ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ เรื่องบางเรื่องหกลัทธิไม่ได้บอกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนด้วยซ้ำ ขนาดตำหนักสวรรค์ยังไม่รู้เลย แล้วเหมียวอี้รู้ได้อย่างไรล่ะ?
สายตาของทุกคนมองไปที่อวิ๋นจือชิว
ก่อนหน้านี้เป็นเยว่เหยาที่พาลหาเรื่อง แต่ตอนนี้กลับเป็นถังจวินที่ต้องถามว่า “เหมียวฮูหยิน คาดว่าฐานปฏิบัติการลับของลัทธิมารคงจะสงบสุขดีใช่มั้ย?”
ก่อนหน้านี้ระหว่างหกลัทธิต่างก็ไม่รู้ว่าโดนลอบโจมตีกันหมด หลังจากได้ข่าวแล้ว พวกเขาต่างก็นึกเชื่อมโยงไปถึงความไม่ปกติของเหมียวอี้ จึงติดต่อมายืนยันกับทางนี้ก่อน
อวิ๋นจือชิวเผยระฆังดาราในมือ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ดูเหมือนทุกคนจะสงสัยกันหมดว่าเหมียวอี้ ลัทธิมารก็มีฐานปฏิบัติการลับสองแห่งที่โดนจู่โจมเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องสงสัยในจุดนี้เลย อีกไม่นานอาจารย์พวกเจ้าก็ได้รับการยืนยันจากท่านปู่ข้าแล้ว เรื่องแบบนี้ปิดบังกันไม่ได้ ไปตรวจสอบเอาในที่เกิดเหตุก็รู้แล้ว”
ครั้งนี้เยว่เหยาเริ่มขมวดคิ้วแล้ว ถ้าเป็นพี่ชายของนางทำจริงๆ ถึงอย่างไรอาจารย์ของตัวเองก็ได้รับความเสียหาย ที่จริงนางกลัวมากกับการเผชิญทางเลือกแบบนี้
พวกอวิ๋นก่วงก็ประสาทเสียเหมือนกัน เจ้าเวรเหมียวอี้คงไม่จัดการกับตระกูลอวิ๋นเหมือนกับฝ่ายอื่นหรอกใช่มั้ย ถ้าเป็นแบบนี้จริง ก็นับว่าโหดพอสมควร แต่ลองคิดไปคิดมาก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ตระกูลอวิ๋นก็เกือบจะเล่นงานเหมียวอี้ถึงตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ถังจวินจึงบอกว่า “จะใช่สามีท่านทำหรือไม่ เหมียวฮูหยินลองถามดูก็รู้แล้ว” สายตามองไปทางเทพธิดาหงเฉินที่กำลังหลับตานั่งสมาธิฝึกตน แล้วก็แอบส่ายหน้าเบาๆ เพราะหวังอะไรกับศิษย์น้องคนนี้ไม่ได้เลย ส่งยอดหญิงงามไปให้เหมียวอี้โดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ เขาจึงหันกลับมาหาสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน บอกใบ้ให้ติดต่อไปถามเหมียวอี้
บ้านอื่นก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน ต่างก็บอกใบ้ให้พวกจีเหม่ยลี่รีบสืบข่าว
ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น สาเหตุที่ห้าปราชญ์ส่งผู้หญิงพวกนี้มาแต่งงานกับเหมียวอี้ในตอนแรก ก็เป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของพิภพใหญ่ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากเหมียวอี้ และในตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่มีศักยภาพจะต่อต้านหากห้าปราชญ์ร่วมมือกัน เพื่อกำจัดความห่วงหน้าพะวงหลัง เพื่อสร้างตำแหน่งประมุขของพิภพเล็กให้มั่นคง เหมียวอี้ถึงได้เข็นเรือไปตามน้ำ
ปัจจุบันบทบาทระดับนั้นย่อมหายไปแล้ว กลายเป็นเพียงเชือกที่คอยรักษาความสัมพันธ์กับเหมียวอี้เอาไว้ เมื่อมีความสัมพันธ์แบบเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานอยู่ ยามเผชิญกับเรื่องผลประโยชน์ที่ซับซ้อนระหว่างกัน ตอนเกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ก็ยังพอมีทางหนีทีไล่ให้กลับได้ ถึงอย่างไรตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้นเกินไป ห้าปราชญ์รู้ความลับของเหมียวอี้ ถ้าเปิดโปงความลับขึ้นมา เหมียวอี้ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน มีหรือที่ตำหนักสวรรค์จะปล่อยเขาไป!
ดังนั้นอนุภรรยาที่แต่งงานกับเหมียวอี้จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเบาลง ไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากันจนไม่เหลือทางหนีทีไล่เลย
ส่วนพวกอนุภรรยาก็จำเป็นต้องมีอวิ๋นจือชิวคอยเป็นตัวกลางลดการปะทะระหว่างพวกนางกับเหมียวอี้ ถ้าเกิดเรื่องกับฝ่ายอาจารย์ขึ้นมาแล้วรีบร้อนไปถามซักไซ้เหมียวอี้ ก็เกรงว่าเหมียวอี้จะโกรธเคืองและสงสัยว่าพวกนางยืนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ดังนั้นทุกคนจึงส่งสายตาไปที่อวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวแอบทอดถอนใจ เข้าใจเจตนาของพวกนางแล้ว กำลังให้นางไปถามเหมียวอี้
แต่ระหว่างนางกับเหมียวอี้กลับไม่มีความกังวลนี้ คนในบ้านที่กล้าด่าจะตีเหมียวอี้ก็มีแค่นางแล้ว เหมียวอี้ด่านางว่าผู้หญิงปากร้าย ส่วนนางก็ด่าเหมียวอี้ว่าคนจัญไร ไอ้เวรตะไล หลังจากด่ากันเสร็จแล้วทั้งสองก็ไม่เก็บมาใส่ใจ กลับไปนอนกลิ้งทับกันบนเตียงเหมือนเดิม แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกจีเหม่ยลี่ ถ้าเหมียวอี้กล้าด่าว่า ‘ผู้หญิงปากร้าย’ ก็ลองดูสิ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่กล้าด่าหรอก แต่ถ้าด่าแล้วจะทำร้ายหัวใจพวกจีเหม่ยลี่ ดังนั้นเหมียวอี้จึงรู้จักบันยะบันยัง ไม่อาจเอ่ยคำพูดพวกนั้นกับจีเหม่ยลี่ได้ง่ายๆ
ถึงแม้ตอนนี้จะให้ต่อสู้กันขึ้น แต่นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ นางสู้ไม่ชนะเหมียวอี้แล้ว แต่ความเคยชินระหว่างสามีภรรยาก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนที่ทั้งสองยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ตอนยังอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆานางมักจะลงไม้ลงมือกับเหมียวอี้ ไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ยังดูเป็นเรื่องปกติ
ที่จริงนางเองก็รู้ ว่าต่อให้เหมียวอี้จะเอาชนะนางได้แต่ก็คงไม่ทำอะไรนาง เหมียวอี้ยังทำใจไม่ได้ที่จะตีนางให้หน้าฟกช้ำดำเขียว ต่อให้จะโมโหจนง้างมือสูงกว่านี้ แต่สุดท้ายอย่างมากก็แค่วางมือลงแล้วตีก้นนางแรงๆ ในทางกลับกัน เวลานางระเบิดอารมณ์ขึ้นมาเหมียวอี้จะต้องทนไม่ไหวแน่นอน แต่มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังยอมอ่อนข้อให้นาง ความรักทะนุถนอมที่เหมียวอี้มีต่อนางนั้นฝังลึกลงในกระดูก ในใจนางรู้ชัดดีมาก นี่คือเรื่องที่นางภาคภูมิใจที่สุด นางลำพองใจเพราะได้เป็นที่รัก ก็เลยหยอกล้อหาความสุขจากตัวเหมียวอี้ นางรู้สึกได้เสพสุขเวลาระบายอารมณ์โกรธใส่เหมียวอี้
พอติดต่อเหมียวอี้ได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าบอกข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ เจ้าทำอะไรลับหลังข้าหรือเปล่า?
เหมียวอี้ที่ยืนรอฟังข่าวอยู่หน้าถ้ำยิ้มมุมปาก สงสัยฝั่งนั้นจะได้รับข่าวแล้ว จึงถามกลับว่า : จะทำอะไรได้ล่ะ?
อวิ๋นจือชิว : หมายความว่า เจ้ายอมรับแล้วเหรอว่าล้างเลือดฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิ?
เหมียวอี้ : ข้าทำเอง! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าใจอ่อนในช่วงเวลาสำคัญ ข้าคงกวาดล้างร้านค้าไปด้วยแล้ว!
อวิ๋นจือชิว : นี่คือสาเหตุที่เรียกพวกเรามารวมกันที่นี่ใช่มั้ย
เหมียวอี้ : ใช่!
อวิ๋นจือชิว : ก่อนเกิดเรื่องทำไมเจ้าไม่…
ทีแรกจะถามว่าก่อนเกิดเรื่องทำไมไม่บอกข้าก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา นางรู้ว่าเขากลัวนางลำบากใจ จึงถามต่ออีกว่า : เจ้าหากำลังพลมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? เจ้ายังมีกำลังพลส่วนตัวที่ข้าไม่รู้อีกเหรอ? แล้วเจ้ารู้จักฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิได้ยังไง
เหมียวอี้ : เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ให้พวกเขากลับไปได้แล้ว
หลังจากทั้งาองติดต่อกันเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มเจื่อนให้กลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน บอกว่าเหมียวอี้ ‘ยอมรับผิด’ แล้ว แล้วก็ส่งต่อคำพูดของเหมียวอี้
พวกเขาตกใจมาก แล้วต่างคนก็ต่างรีบติดต่ออาจารย์ตัวเอง
อวิ๋นจือชิวมองดูปฏิกิริยาของพวกอนุภรรยาพลางทำท่าครุ่นคิด คาดว่าทุกคนคงจะเข้าใจแล้ว ว่าการที่เหมียวอี้ย้ายทุกคนมาที่นี่ก็ยังนับว่าลงมีอย่างมีเมตตา กลัวว่าตอนลงมือจะทำร้ายคนในครอบครัวตัวเอง ขนาดคนในครอบครัวของครอบครัวก็ยังคำนึงถึง
แน่นอน พวกนางก็ย่อมคิดว่าสาเหตุที่เหมียวอี้ไม่แตะต้องร้านค้าพวกนั้นเป็นเพราะยั้งมือได้ในช่วงเวลาสำคัญ เพราะไม่อยากทำลายที่ลงหลักปักฐานของพวกนาง สิ่งนี้ทำให้พวกนางซาบซึ้งใจเล็กน้อย
หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะความไม่ตั้งใจของเหมียวอี้ล้วนๆ เวลาโมโหขึ้นมาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น ตอนแรกก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมือนกัน
มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกคนตรงไม่รู้เลย นั่นก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าห้าลัทธิเสียหายมากเท่าไรกันแน่ ไม่รู้ว่าห้าลัทธิต้องจ่ายสิ่งตอบแทนอย่างยับเยินเท่าไรกันแน่ เพราะไม่รู้สถานการณ์ของฐานปฏิบัติการลับชัดเจน
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง จินม่านนำคนเดินออกมาต้อนรับแขกที่ตำหนักใหญ่ ผลก็คือพบว่าแขกกลุ่มหนึ่งที่เหาะลงมาจากฟ้าสีหน้าค่อนข้างย่ำแย่
…………………………