พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1461 ห้าปราชญ์กดดันมาก
ข้างกายปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนมีผู้ติดตามคือเย่สิงคง ประมุขขุนพลลัทธิมารที่คิ้วหนาเชิดขึ้นอย่างแข็งกร้าวเต็มเปี่ยม ลักษณะท่าทางและรูปร่างของทั้งสองคล้ายกันอยู่หลายส่วน
ข้างกายปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินมีจ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิเซียนที่สวมชุดบัณฑิตสีขาว
ข้างกายปราชญ์ปีศาจจีฮวนก็คือสาวน้อยชุดชมพู ดวงตาสวยกลมโต รูปร่างอ้อนแอ้นน่ารัก เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของหนุ่มสาว คนไม่รู้สถานการณ์ที่ไหนจะคาดคิดว่าสาวน้อยคนนี้คือลวี่เกอ ประมุขขุนพลลัทธิปีศาจผู้มีนามโด่งดังสะท้านใต้หล้า
ข้างกายปราชญ์พุทธะฉางเหลยคือซิงหลัว ประมุขขุนพลลัทธิพุทธ หน้าตาดูสดใสมีกำลังวังชา สวมจีวรทีทออย่างดงาม
ข้างกายซือถูเซี่ยวคือหลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิผี มีเอกลักษณ์ชัดเจนมาก หน้าตาตามแบบฉบับโจร
ประมุขปราชญ์ทั้งห้ากับประมุขขุนพลทั้งห้ามาด้วยตัวเองพร้อมกัน เพียงแต่ไม่มีใครทำสีหน้าดีเลยสักคน บ้างก็หน้าดำคร่ำเครียด บ้างก็หน้าบึ้ง บ้างก็ขมวดคิ้วมุ่น…
ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าสามารถทำให้คนพวกนี้โผล่มาพร้อมกันและทำสีหน้าแบบนี้ได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
จินม่านที่นำอ๋าวเถี่ยกับกงซุนลี่เต้าเดินลงบันไดนอกตำหนักอึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองทางซ้ายและขวา เหมือนกำลังถามทั้งสองว่ารู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น
สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็มองมาเช่นกัน พวกเขาเลิกลั่กแล้ว ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ตอนนี้ฝั่งลัทธิอู๋เลี่ยงยังไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาย่อมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แน่นอนว่ายกเว้นประมุขปราชญ์ในนามท่านนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้
ทั้งสามไปต้อนรับแล้ว จินม่านกุมหมัดคารวะเล็กน้อย “ประมุขปราชญ์ทั้งห้าท่านกับประมุขขุนพลทั้งห้าท่านให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เชิญข้างใจ!”
เย่สิงคง ประมุขขุนพลลัทธิมารโบกมือ “ไม่ต้องเชิญเข้าไปข้างในแล้ว ข้างนอกอากาศถ่ายเทดีกว่า อึดอัดจะแย่!”
ทั้งสามสบตากันอีกครั้ง จินม่านกวาดสายตามองทุกคน แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
พวกมู่ฝานจวินเงียบงัน ที่จริงเรื่องที่ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงคือความคิดของพวกเขา ที่จริงตอนแรกประมุขขุนพลทั้งห้ายังลังเลนิดหน่อย ทว่าด้วยการโน้มน้าวของทั้งห้า กอปรกับอยากจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นจริงๆ ถึงได้เห็นด้วยแล้ว
ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ห้าคนที่เป็นตัวต้นคิดรู้สึกเครียดหนักทันที เห็นได้ชัดว่าประมุขขุนพลทั้งห้าไม่ค่อยพอใจพวกเขา เพียงแต่เป็นเพราะตัวเองตอบตกลงไปแล้ว ไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง ตอนนี้แม่ทัพใหญ่เบื้องล่างล้วนต้องการคำอธิบายจากพวกเขา ถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ กำลังที่วางทิ้งไว้ข้างนอกมีไม่เยอะเท่าเมื่อก่อนแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงประสบความเสียหายใหญ่โตขนาดนี้? ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร ในจำนวนคนที่ล้มตายไป มีไม่น้อยที่เป็นลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่พวกนั้น
เดิมทีกำลังพลเบื้องล่างก็ไม่ค่อยพอใจที่ห้าปราชญ์มารับตำแหน่งประมุขปราชญ์อยู่แล้ว ถึงแม้ในหลายปีมานี้จะปรับตัวเข้าหากันและมีแนวโน้มว่าจะปรองดอง แต่พอเกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น ดีไม่ดีอาจจะทำให้ความสัมพันธ์กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกมู่ฝานจวินที่ออกความคิดโง่ๆ แบบนี้รู้สึกกดดันมากจริงๆ!
เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ประมุขขุนพลทั้งห้าทำได้เพียงช่วยคุมสถานการณ์เอาไว้
ตอนนี้ประมุขขุนพลทั้งห้ายังคุมไหว แต่ถ้าเหมียวอี้ลงมือล้างเลือดฐานปฏิบัติการลับแห่งอื่นอีกครั้ง ผลลัพธ์ก็จะแย่จนไม่อยากจินตนาการถึงแล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแม่ทัพใหญ่พวกนั้นจะระเบิดอารมณ์ กำลังพลที่อยู่ด้านนอกเตรียมจะแว้งกัดเพื่อหกลัทธิมาตลอด กำลังเตรียมสะสมทรัพยากรอย่างลับๆ ถ้ากำลังอำนาจที่อยู่ด้านนอกถูกกำจัดทิ้ง ต่อให้วันหนึ่งกำลังพลหกลัทธิจะออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรเตรียมไว้ด้านนอกเลยสักนิด อาศัยแค่คนพวกนี้โจมตีฝ่าออกไปจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีความหวังจากข้างนอกแล้ว ในนรกจะต้องเกิดความวุ่นวายภายในแน่นอน!
“เกิดเรื่องนิดหน่อย” หลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิผีที่หน้าเหมือนโจรตอบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “จินม่าน ลัทธิอู๋เลี่ยงของพวกเจ้าไม่เกิดอะไรขึ้นเลยเหรอ?”
ที่จริงเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามนั้นเหลวไหล อีกฝ่ายถามตนอย่างแปลกใจมาก แสดงว่าไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงรู้ใจกันโดยไม่ต้องพูด และแน่นอน ที่หยั่งเชิงถามก็เพราะอยากจะรู้ว่าตอนเหมียวอี้ได้บอกลัทธิอู๋เลี่ยงไว้หรือไม่
คนพวกนี้มีเจตนาอะไรกันแน่? ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง แล้วจินม่านก็ตอบว่า “ตอนนี้ฝั่งพวกเรายังไม่เกิดเรื่องอะไร หรือ่วาฝั่งพวกเจ้าเกิดเรื่องแล้ว? โจรกบฏโจมตีอีกแล้วเหรอ?”
หลีเซิงประสานมือสองข้างไว้ในเสื้อ ท่าทางเหมือนสงบใจเย็นมาก ไม่พูดอะไรแล้ว
ลวี่เกอประมุขขุนพลลัทธิปีศาจถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ฐานปฏิบัติการสองแห่งของพวกเราที่อยู่ข้างนอกโดนกวาดล้างแล้ว”
จ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิเซียนก็ถอนหายใจเช่นกัน “พวกเราก็เจอสถานการณ์เดียวกัน”
“ฝั่งพวกเราก็เหมือนกัน ฐานปฏิบัติการสองแห่งโดนล้างเลือด” เย่สิงคงพูดเย้ยตัวเอง
พวกจินม่านตกใจไม่เบา สายตามองไปที่อีกสองคน ซิงหลัวประนมมือพร้อมบอกว่า “ไม่ต้องถามแถม ห้าลัทธิโดนเหมือนกันหมด ฐานปฏิบัติการลับสองแห่งถูกล้างเลือดแล้ว”
ไม่ว่าจะอยู่ลัทธิเดียวกันหรือไม่ แต่สิ่งที่เสียหายล้วนเป็นกำลังที่จะใช้โจมตีกลับในอนาคต จินม่านถามซักไซ้ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “แต่ละฝ่ายเสียหายเป็นยังไงบ้าง?”
จ่างซุนจูส่ายหน้า “พวกเราลองนับรวมกันแล้ว ถึงแม้รวมกันแล้วจะเสียหายไปแค่สิบจุด แต่จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายลงมือก็ชัดเจนมาก เหมือนจะสืบเจอกำพืดพวกเราแล้วเลือกลงมือโดยเฉพาะ ห้าลัทธิไม่มากไม่น้อย เหมือนจะเสียหายไปสองส่วนจากกำลังพลทั้งหมดที่วางไว้ข้างนอก!”
“สองส่วน!” พวกจินม่านอุทานตกใจเป็นเสียงเดียวกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า สูญเสียกำลังไปหนึ่งในห้าส่วนรวดเดียว เท่ากับกำลังหนึ่งลัทธิจากห้าลัทธิที่อยู่ข้างนอกถูกทำลายไปแล้ว
ความเสียหายนี้ทำให้คนตกใจจริงๆ จินม่านถามอีกว่า “ทำไมถึงเสียหายไปฝั่งละสองส่วนพอดี?”
เย่สิงคงเอามือไขว้หลัง มองคนที่มาด้วยกัน แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังแล้ว เดิมทีก็มาเพื่อขอร้องอยู่แล้ว จินม่าน พูดให้ชัดเลยแล้วกัน เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าเป็นคนทำ ก่อนหน้านี้พวกเราทำผิดต่อประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าไว้เยอะ หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยขอร้องให้หน่อย ให้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าใจกว้างไม่ถือสาและหยุดไว้แค่นี้”
“หา!” ทั้งสามอ้าปากกว้าง จินม่านถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “พวกเจ้าแน่ใจนะว่าประมุขปราชญ์ของพวกเราเป็นคนทำ?”
“เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้ายอมรับเองแล้ว ที่จริงต่อให้เขาไม่ยอมรับ พวกเราก็เดาได้อยู่ดีว่าเขาทำ” ลวี่เกอตอบ
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ข้อหานี้ใหญ่เกินไปหน่อย จินม่านถามเสียงต่ำว่า “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”
หลีเซิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่ใช่เพราะก่อเรื่องกับไป๋เฟิ่งหวงรึไง…” เล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้ฟังรอบหนึ่ง
พอได้ยินหัวเรื่อง พวกจินม่านก็พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว สงสัยจะเป็นเรื่องไป๋เฟิ่งหวงที่ยั่วโมโหประมุขปราชญ์ นี่คือการล้างแค้นของประมุขปราชญ์ หลังจากฟังจบแล้วก็พบว่าไม่ผิด ยืนยันจนแน่ใจแล้ว เป็นการล้างแค้นของประมุขปราชญ์จริงๆ
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดกำลังหนึ่งในห้าส่วนของห้าลัทธิทิ้งไปแล้ว ทั้งยังฆ่าทุกคนที่อยู่ในสิบฐานนั้นจนเกลี้ยงหมดไม่เหลือสักคน ไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน แม้แต่คนที่หนีรอดสักคนก็ไม่มี ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบส่งข่าวมาช่วยเหลือทัน เกรงว่าตอนแรกฝั่งนี้ก็คงจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิบฐานปฏิบัติการลับด้านนอกโดนกำจัดทิ้งแล้ว แบบนี้ต้องใช้คนมากมายขนาดไหนกว่าจะทำได้?
สิ่งที่ทำให้คนตระหนกยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำ ทั้งยังเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน ลงมือพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่าคนกลุ่มเดียวโจมตีเสร็จหนึ่งฐานแล้วไปฐานอื่นต่อ แบบนี้หมายความว่าอะไรก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
ถึงแม้ตอนอยู่ข้างนอกเหมียวอี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เบา แต่ด้วยวรยุทธ์ต่ำต้อยอย่างเขา ว่ากันตามจริงคือเล็กน้อยต่ำต้อยเกินไปสำหรับทุกคนด้วยซ้ำ นี่คือประมุขปราชญ์ในนามที่ตอนแรกโดนลัทธิอู๋เลี่ยงดูถูกจนเลอะเลือนและต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกคน หลังจากเกิดเรื่องไป๋เฟิ่งหวงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมกำลังมากมายไปโจมตีห้าลัทธิแบบฟ้าผ่า!
แต่พวกเขาก็คิดไม่ตกว่าเหมียวอี้หากำลังมากมายขนาดนี้มาจากไหน ถึงแม้ที่กำจัดทิ้งไปจะเป็นแค่กำลังหนึ่งในห้าส่วนที่อยู่ข้างนอกของห้าลัทธิ ถึงแม้กำลังอำนาจของหกลัทธิจะเทียบไม่ได้กับยุคที่เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า แต่กำลังที่เหลืออยู่ก็ยังทำให้ตำหนักสวรรค์ระแวงได้อยู่ดี เป็นสิ่งที่ตำหนักสวรรค์อยากจะกำจัดทิ้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พลังอำนาจทั่วไปจะเทียบติดอยู่แล้ว
พวกเขาสามารถพูดแบบไม่อวดดีเลยว่า นอกจากอำนาจทางการของโจรกบฏแล้ว ในใต้หล้าก็ไม่มีสำนักไหน ไม่มีอำนาจฝ่ายไหนที่ทำสิ่งนี้ได้ง่ายๆ
อย่าบอกนะว่าประมุขปราชญ์ใช้กำลังของฝ่ายทางการโจรกบฏ? เป็นไปไม่ได้!
อาศัยแค่สามารถตัดกำลังหนึ่งในห้าส่วนของแต่ละลัทธิได้อย่างพอเหมาะพอดี ข่าวที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ทำให้คนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แล้ว! เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องกำลังพลที่อยู่ด้านนอกของห้าลัทธิดีมาก สร้างผลงานกับกำลังด้านนอกของห้าลัทธิได้อย่างพิถีพิถันจริงๆ!
ถ้าพูดอีกแบบหนึ่ง ด้วยข้อมูลสถานการณ์ที่อีกฝ่ายมี เป็นไปไม่ได้ที่จะตกหล่นลัทธิอู๋เลี่ยงพอดี ถ้ากำลังพลของทางการฝ่ายโจรกบฏรู้สถานการณ์ละเอียดขนาดนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดทิศทางกวาดล้าง จะต้องหว่านแหกำจัดให้หมดแน่นอน มีหรือที่จะเหลือทางหนีทีไล่ไว้มากขนาดนี้
พวกกงซุนลี่เต้าทำสายตาจริงจังมาก จินม่านถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “รู้รึเปล่าว่าใครไปลงมือด้วยตัวเอง?”
ความคิดแบบนี้ของทั้งสามคน ทุกคนก็เคยคิดมาก่อนแล้วเหมือนกัน ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของนาง จ่างซุนจูตอบแบบแฝงนัยยะว่า “ไม่รู้ แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่กำลังพลของทางการฝ่ายโจรกบฏแน่นอน! ลักษณะแบบนี้…ก็ไม่ใช่ลักษณะของโจรกบฏ” คำว่า ‘ลักษณะ’ นี้แฝงความหมายลึกซึ้ง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ไม่สะดวกจะพูดออกมาต่อหน้าพวกอวิ๋นอ้าวเทียน
ทั้งสามเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในนั้นทันที ในหัวใจกระตุกวูบ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอาจจะไม่เข้าใจ แต่พวกเขากลับเข้าใจ ชั่วพริบตาเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว!
ใช่แล้ว! ลักษณะแบบนี้…
การโจมตีที่รวดเร็วดุดันแบบนี้ เด็ดขาดขนาดนี้ คลุ้งกลิ่นคาวเลือดขนาดนี้ เลือกเย็นไร้ความปรานีขนาดนี้ เหมือนจะเป็นคำเตือนที่ใครบางคนเคยเตือนเขาไว้ก่อนหน้านี้!
ทั้งสามเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ประมุขปราชญ์ที่กำลังเตือนพวกเขา แต่เป็นเขาคนนั้นที่ลงมือ!
สามารถรวบรวมกำลังที่เข้มแข็งเกรียงไกรได้ทุกเมื่อเพื่อมาเตือนพวกเขาอย่างน่าตกใจขนาดนี้ ก็มีแค่คนคนนั้นที่ดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด!
พอเข้าใจจุดนี้แล้ว ในใจทั้งสามก็เรียกได้ว่าร่ำร้องอยู่พักหนึ่ง ที่แท้อีกฝ่ายก็ไม่ใช่แค่กำจัดพวกเขาที่หลบอยู่ในแดนอเวจีได้ทุกเมื่อ แต่ยังกวาดล้างกำลังของพวกเขาที่ซ่อนอยู่ข้างนอกจนหมดสิ้นได้
ที่กำจัดฐานปฏิบัติการลับสิบแห่งนั่นไปก็เป็นแค่การเตือนพวกเขาเท่านั้น กำลังเตือนพวกเขาว่า ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้งานพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก กำลังเตือนว่าให้พวกเขาซื่อสัตย์หน่อย อย่าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรลับหลัง!
นี่ก็เหมือนกับมือใหญ่สองข้างที่กำลังบีบคอเอาไว้ บีบจนแน่นไม่ให้เจ้าขยับไปไหน!
การเตือนครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการบ่งชี้ให้พวกเขารู้แล้วเช่นกัน ว่าท่ามกลางหกประมุขปราชญ์คนใหม่ ใครกันแน่ที่เป็นตัวแทนของคนคนนั้น!
กับเรื่องนี้ ประมุขขุนพลห้าลัทธิที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักรู้สึกเซ็งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าคนที่รับตำแหน่งประมุขปราชญ์หกลัทธิอย่างพวกมู่ฝานจวินจะเหมือนกันหมด ตอนนี้ถึงได้พบว่าเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ ส่วนอีกห้าคนที่เหลือเป็นตัวประกอบ
พวกมู่ฝานจวินที่เงียบมาตลอดอาจจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังหมายความว่าอะไร แต่กลับรู้สึกหนักใจอย่างถึงที่สุด
สาเหตุที่กล้าเล่นตุกติกลับหลังเหมียวอี้ ก็เป็นเพราะในมือตัวเองบีบจุดอ่อนของเหมียวอี้อยู่ มั่นใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่กล้าใช้กำลังพลของตำหนักสวรรค์ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะซ่อนกำลังเอาไว้มหาศาลขนาดนี้ ขนาดไม่ใช้กำลังของตำหนักสวรรค์ก็ยังโจมตีจนพวกเขาทนไม่ไหวเลย
พวกเขาเข้าใจแล้ว ว่าจุดอ่อนที่บีบไว้ในมือไม่มีความหมายอะไรต่อเหมียวอี้อีก อีกฝ่ายมีกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ยังต้องกังวลเรื่องการคุกคามจากตำหนักสวรรค์อีกเหรอ มีกำลังเพียงพอที่จะมาสั่งสอนพวกเขาได้เลย ถ้าคิดจะแตะต้องเหมียวอี้อีก หกลัทธิก็คงเป็นกลุ่มแรกที่จะไม่ยอม!
…………………………