พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1462 ห้าปราชญ์ยอมศิโรราบ
อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลย ทั้งสี่คนรู้สึกจนใจพอสมควร รสชาติยามถูกเหมียวอี้รุดนำหน้าอยู่ตลอดแบบนี้ขื่นขมมาก โดยเฉพาะการถูกเหมียวอี้โจมตีแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ แทบจะทำให้เลือดเนื้อแรงกายที่พวกเขาอยู่ที่แดนอเวจีมาหลายปีกลายเป็นสิ่งสูญเปล่าหมดแล้ว
ส่วนมู่ฝานจวินก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่าง แอบหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่จะไม่ยอมรับความจริงก็ไม่ได้
ที่จริงพวกเขาล้วนเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ความพ่ายแพ้ชั่วครู่ไม่ทำให้พวกเขาท้อแท้ใจ เริ่มตั้งแต่เลื่อนจากคนต่ำต้อยเป็นจ้าวแห่งพิภพเล็กได้ แล้วก็เดินมาจนถึงทุกวันนี้ที่พิภพใหญ่ ผ่านความยากลำบากและความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน โผล่ออกมาแสดงฝีมือท่ามกลางคนนับไม่ถ้วน มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างไม่ต้องสงสัย มีหรือที่ความพ่ายแพ้เล็กน้อยนี้จะทำให้ตกใจได้
ที่จริงครั้งนี้ที่ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวง ก็เป็นเพราะอยากอาศัยการได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าร่วมกับอำนาจอิทธิพลของห้าลัทธิที่อยู่ด้านนอกให้ลึกกว่าเดิม ถ้าเคลื่อนกำลังพลหนึ่งครั้งแล้วได้ประโยชน์ ครั้งต่อไปก็ย่อมมีเหตุผลที่ฟังขึ้น ขอเพียงอำนาจอิทธิพลข้างนอกมีช่องโหว่ ก็จะมีหนทางเข้าควบคุมอย่างช้าๆ
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกเขายังพุ่งเป้าไปที่หกเคล็ดวิชาพิเศษในมือเหมียวอี้ พวกเขารู้ว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษต่างหากคือรากฐานที่แท้จริงในการควบคุมหกลัทธิ มีเพียงการใช้งานอำนาจอิทธิพลข้างนอกเท่านั้น พวกเขาถึงจะมีทางกดดันให้เหมียวอี้ยอมศิราบได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้ยังมีลัทธิอู๋เลี่ยง พอเข้ามาในแดนอเวจีแล้วก็แตะต้องไม่ได้ อยู่ข้างนอกก็ควบคุมไม่ได้อีก ไม่มีวิธีการกดดันเหมียวอี้ได้เลย มีเพียงการอาศัยกำลังที่อยู่ด้านนอกของห้าลัทธิเท่านั้น
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้เหมือนจะตระหนักได้ถึงเจตนาของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะโจมตีพวกเขาแบบฟ้าผ่าขนาดนี้ แทบจะทำให้ความพยายามที่พวกเขาใช้ที่แดนอเวจีสูญสิ้นไปหมด นี่คือการเตือนแบบเปิดเผยโจ่งแจ้ง
ทว่าเหมียวอี้กลับค่อนข้างใจกว้างให้อภัยพวกเขา เนื่องจากเหมียวอี้มีกำลังมากมายขนาดนี้ ถ้าอยากจะโค่นล่มพวกเขาจริงๆ ก็สามารถใช้โอกาสในครั้งนี้ได้เลย แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำ พวกเขาใช้ความคิดตัวเองไปตัดสินความคิดของอีกฝ่าย จึงไม่ได้คิดว่าเหมียวอี้เป็นคนดีมีเมตตาอะไร กลับคิดว่าเหมียวอี้กำลังส่งสัญญาณเตือนพวกเขาอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ถ้าในมือมีหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่จริงๆ ไม่ช้าก็เร็วก็ยังต้องให้พวกเขาอยู่ดี
เมื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างพวกเขา ก็สามารถเข้าใจหลักการได้ไม่ยาก นั่นก็คือพอหกลัทธิออกจากแดนอเวจีไปแล้ว พวกเขาห้าคนหรือแม้กระทั่งรวมเหมียวอี้เข้าไปด้วยก็ไม่สามารถควบคุมได้ ถึงตอนนั้นในใต้หล้าก็ไม่มีใครควบคุมหกลัทธิได้เช่นกัน ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิกลุ่มนี้ไม่เห็นตำหนักสวรรค์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ตอนนี้แค่โดนสถานการณ์บีบบังคับก็เท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่จะใช้โอกาสตอนหกลัทธิโดนบังคับให้อยู่ในนี้รีบควบคุมเอาไว้
ส่วนศักยภาพที่เหมียวอี้แสดงออกมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าในอนาคตเหมียวอี้มีความสามารถที่จะเปิดประตูแดนอเวจีปล่อยผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกไป เป็นการตัดสินโดยวัดจากความคิดตัวเองเช่นกัน ถ้าหากเป็นตัวเอง ถ้าไม่มีกำลังที่จะควบคุมผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิ ตัวเองจะยังปล่อยผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกไปเหรอ? คำตอบก็คือไม่ ยอมให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิโดนขังอยู่ในแดนอเวจีตลอดไปยังดีกว่า
แต่จุดประสงค์ที่เหมียวอี้ไม่ฉวยโอกาสโค่นพวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะอยากจะให้พวกเขาช่วยคุมกำลังของหกลัทธิไงล่ะ แบบนี้ก็แสดงว่าจะต้องมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้พวกเขาในไม่ช้าก็เร็ว ไม่อย่างนั้นจะควบคุมให้มั่นคงไม่ได้ ถ้าพูดถึงความสามารถ เหมียวอี้อยู่ที่แดนอเวจีก็มีแต่จะต้องเลือกพวกเขาเท่านั้น และมีแต่พวกเขาห้าคนที่มีความสามารถในด้านนี้ พวกเขามีประสบการณ์ด้านนี้โชกโชนมาก
ทำไมเหมียวอี้จึงไม่เลือกคนในหกลัทธิแล้วมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้ฝึก แต่กลับมาเลือกพวกเขาแทนล่ะ? เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะเหมียวอี้ต้องการเวลาเติบโต ตอนนี้ศักยภาพของเหมียวอี้คนเดียวยังอ่อนแอเกินไป ที่เลือกพวกเขาห้าคนก็เพราะอยู่ในขั้นตอนการเติบโตเดียวกัน ถ้ามอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้หกลัทธิไปตรงๆ เลย เช่นนั้นหกลัทธิก็ไม่ต้องรอในภายหลังแล้ว จะเสียการควบคุมตอนนี้ได้เลย
ดังนั้นเหมียวอี้จึงต้องการคนกลุ่มหนึ่งที่เติบโตไปพร้อมกับเขา พวกเขาห้าคนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการควบคุมผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ชี้สั่งกำลังอำนาจของหกลัทธิได้ หลังจากผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกจากแดนอเวจีแล้วถึงจะสามารถผูกมัดได้ ดังนั้นไม่ว่าเหมียวอี้จะมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้หกลัทธิในตอนนี้หรือให้ในอนาคต ก็ล้วนควบคุมไม่อยู่ทั้งนั้น ต่อให้เป็นประมุขพุทธะ ประมุขชิงอะไรนั่นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะทำพวกเขายอมศิโรราบได้ง่ายๆ ในใต้หล้าไม่มีใครควบคุมอำนาจกลุ่มนี้ได้ง่ายๆ ถ้าจะควบคุมก็มีแต่ต้องฉวยโอกาสตอนที่ยังโดนขังอยู่ในกรง
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องทำให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิกลายเป็นกำลังอำนาจของพวกเขาเอง ความแค้นเก่าของผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือเปล่าล่ะ? จะให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิทำซี้ซั้วเพราะความแค้นเก่าไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ต้องอยู่ในการควบคุมของพวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้หรือพวกเขาห้าคน จุดนี้ก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขากับหกลัทธิขัดแย้งกัน แต่เหมียวอี้กับพวกเขาห้าคนก็มีจุดยืนและผลประโยชน์ร่วมกันจริงๆ
หลังจากโดนสั่งสอนครั้งนี้จนเข้าใจ ทั้งห้าก็รู้สึกได้ถึงวิกฤติแล้ว รู้แล้วว่าจุดสำคัญของพวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหน ความวุ่นวายไร้ระเบียบข้างนอกไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ถ้าประตูนรกเปิดออกแล้วพวกเขาควบคุมห้าลัทธิไม่ได้ นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่สุด
เกรงว่าเหมียวอี้เองก็คงจะไม่รู้เช่นกัน ตัวเองแค่อยากจะสั่งสอนพวกเขาเฉยๆ แต่กลับเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาห้าคนชัดเจนขนาดนี้
ส่วนพวกจินม่านในตอนนี้ก็ยังคงจมอยู่ในความจนใจอย่างบอกไม่ถูก คนนั้นสามารถใช้กำลังอำนาจของตำหนักสวรรค์มากำจัดพวกเขาข้างใน ข้างนอกก็ยังมีอำนาจปริศนาที่สามารถกวาดล้างอำนาจของพวกเขาที่อยู่ข้างนอกได้ ไม่รู้จะขัดขืนจากตรงไหนเลยจริงๆ
แต่พวกจินม่านก็ยังแอบรู้สึกโชคดี ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนอีกห้าลัทธิ ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียหายอย่างหนักไปด้วยแน่นอน
ที่ไม่เข้าร่วมด้วยก็เป็นเพราะพวกเขามีความกังวลมากกว่าอีกห้าลัทธิ สายลับที่ตำหนักสวรรค์ติดต่อกับพวกเขาเพราะเหมียวอี้ค่อนข้างเยอะ
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จินม่านก็เข้าใจเจตนาของพวกเขาแล้ว จึงบอกว่า “ในเมื่อประมุขปราชญ์ไม่ได้ลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ทั้งยังมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้ คาดว่าคงใจกว้างไม่ถือสาแล้ว คงจะไม่ลงมืออีก”
จ่างซุนจูถอนหายใจแล้วบอกว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ที่ตลาดสวรรค์ลงมือไม่สะดวก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยังไงก็รบกวนขอร้องให้หน่อยแล้วกัน ตอนนี้หกลัทธิเสียหายกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่เงียบมาตลอดกลับรู้อยู่แก้ใจ สาเหตุที่เหมียวอี้ย้ายพวกอวิ๋นจือชิวออกไป ก็เห็นได้ชัดว่ามีความคิดที่จะลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์แล้ว เป็นเพราะเห็นแก่หน้าอวิ๋นจือชิวล้วนๆ ถึงได้ปล่อยไป และแน่นอน พวกเขาไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกอวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้เช่นกัน ความลับบางอย่างไม่อาจเปิดเผยได้ง่ายๆ ก็เหมือนกับที่หกลัทธิไม่ยอมเปิดเผยกำพืดของอำนาจที่อยู่ข้างนอกออกมาทั้งหมดนั่นแหละ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหกลัทธิเอ่ยขึ้นมาเอง พวกเขาก็ยังไม่รู้เลยว่ามีฐานปฏิบัติการลับโดนโจมตีแล้ว
ทุกคนมาหาถึงที่พร้อมกันแล้ว จินม่านเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้รู้เรื่องแล้วจะด่ายับ : ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันหายไปแบบนี้แล้ว! จินม่าน เจ้าบอกพวกเวรตะไลกลุ่มนั้นด้วย ว่าต่อไปนี้อย่าเล่นตุกติกลับหลังข้าอีก!
หลังจากด่าเสร็จก็สะใจมาก เขาพบว่าปราสาทดำเนินนภาร้ายกาจพอสมควร เรื่องที่ปราสาทดำเนินนภาสืบเจอสิบฐานปฏิบัติการของห้าลัทธิคงจะทำให้คนพวกนั้นตระหนกตกใจแล้ว
ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างความเสียหายให้ห้าลัทธิมากขนาดไหน
หลังจากผ่านไปหลายวัน ตอนที่อวิ๋นอ้าวเทียนให้อวิ๋นจือชิวติดต่อมาขอโทษเหมียวอี้ เหมียวอี้ถึงได้ตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าปราสาทดำเนินนภาจะทำลายกำลังพลหนึ่งในสิบส่วนของห้าลัทธิทิ้งในรวดเดียว ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ!
เขารู้ว่าปราสาทดำเนินนภาร้ายกาจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจได้ขนาดนี้!
แน่นอนว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้ขอร้อง เพียงแต่บอกต่อเจตนาของอวิ๋นอ้าวเทียนให้ฟังคร่าวๆ เท่านั้น เพราะนางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากอีก
ไม่ใช่แค่อวิ๋นจือชิวที่ติดต่อกับเขา แม้แต่พวกจีเหม่ยลี่เองก็โดนอาจารย์กดดันให้มาขอร้องเช่นกัน
ขนาดจีเหม่ยลี่ที่ไม่เคยพูดจาอ่อนหวานกับเหมียวอี้ ครั้งนี้ก็ยังถูกบังคับให้พูดประมาณว่า ท่านสามีรักษาตัวด้วย ข้ากำลังรอให้ท่านกลับมา
สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกขำ เขาจินตนาการได้เลยว่าตอนที่จีเหม่ยลี่พูดอะไรแบบนี้ออกมานั้นฝืนความรู้สึกขนาดไหน
การที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนให้ผู้หญิงไปขอร้องก็ย่อมไม่ใช่จุดประสงค์หลักอยู่แล้ว เพียงแต่ให้พวกนางคลี่คลายความสัมพันธ์กับเหมียวอี้ก่อน หลังจากเหมียวอี้ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว ทั้งห้าก็จะขึ้นเวทีด้วยตัวเองแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับเหมียวอี้ด้วยตัวเองมานาน ครั้งนี้ได้ติดต่อด้วยตัวเองอีกรอบแล้ว
เรื่องบางเรื่องเป็นเพียงการคาดการณ์ พวกเขายังอยากจะยืนยันให้แน่ใจ
จะคิดว่าเป็นการยอมแพ้ก็ได้ จะคิดว่าเป็นการเจรจาก็ได้ พวกเขาบอกว่ายินดีจะยอมศิโรราบและยกให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ที่สุด ยินดีช่วยเหมียวอี้ควบคุมกำลังอำนาจของห้าลัทธิ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเหมียวอี้ตอบตกลงจะให้หกเคล็ดวิชาพิเศษกับพวกเขา
คนชรากลุ่มนั้นนิสัยเป็นอย่างไร เหมียวอี้ได้บทเรียนมาตั้งนานแล้ว จะยกให้เขาเป็นใหญ่ที่สุดจากใจจริงได้เหรอ แค่อยากจะใช้ประโยชน์ที่เขาได้หกเคล็ดวิชาพิเศษมาก็เท่านั้นเอง แต่เจตนาของทั้งห้าก็ได้เตือนสติเหมียวอี้แล้ว ใช่ว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้เสียหน่อย ขอเพียงควบคุมหกเคล็ดวิชาพิเศษขั้นสูงกว่านี้ไว้ในมือได้ ก็จะสามารถทำให้ห้าคนนั้นยอมจำนนได้ชั่วคราว และอวิ๋นจือชิวก็เคยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสามารถใช้หกเคล็ดวิชาพิเศษควบคุมพวกเขาได้ หกเคล็ดวิชาพิเศษนี้เป็นของที่ส่งมาถึงใอเขาเพื่อให้ควบคุมห้าคนนั้นจริงๆ ทำไมจะใช้ไม่ได้ล่ะ?
ส่วนในภายหลังห้าปราชญ์จะแปรพักตร์หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง ตราบใดที่ตัวเองยังรักษาความได้เปรียบในการนำหน้าคนอื่นไว้ได้ ตอนหลังยังต้องกลัวอีกเหรอว่าพวกเขาจะแปรพักตร์? อย่างน้อยก่อนจะแปรพักตร์ก็สามารถอาศัยกำลังของหกลัทธิได้ สามารถเป็นหลักประกันให้ตนได้ในตอนที่ยังอ่อนแอต่ำต้อย หกลัทธิน่าจะยังมีกำลังอำนาจที่ควรค่าแก่การใช้ประโยชน์อยู่ข้างนอกไม่น้อย
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ได้ แต่ก็ยังติดต่อกับอวิ๋นจือชิวเพื่อปรึกษาเรื่องนี้
อวิ๋นจือชิวก็เห็นด้วยเช่นกัน นางมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังลังเลอยู่บ้าง กังวลที่พวกท่านปู่มได้ควบคุมได้ง่ายๆ ขนาดนั้น กลัวว่าจะเป็นการทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้กังวลเลย นางจึงคิดว่าช่างเถอะ
หลังจากแน่ใจเรื่องนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า : จะมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินให้พวกเขาตอนนี้เลยเหรอ?
เหมียวอี้ : อย่าให้ตอนนี้ รอข้ากลับจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นข้าจะไปที่แดนอเวจีด้วยตัวเองสักรอบ จะปล่อยให้พวกเขาพูดปากเปล่าแล้วให้ข้ามอบวิชาให้แต่โดยดีได้ยังไง
อวิ๋นจือชิว : ข้าเข้าใจแล้ว
เหมียวอี้ : ยังมีอีกเรื่อง พวกปู่เจ้าได้เตือนสติข้าแล้ว ข้าอยู่ข้างนอกในระยะยาว ปล่อยปละละเลยทางลัทธิอู๋เลี่ยงเกินไปแล้ว เดี๋ยวเจ้าส่งคนไปที่พิภพเล็กแล้วย้ายหลันโฮ่วมาที่นี่ ข้าจะให้จินม่านหาร้านค้าสักร้านที่ตลาดสวรรค์ให้เขาดูแล
อวิ๋นจือชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : ถ้าย้ายหลันโฮ่วมาคนเดียว ไม่สู้ย้ายจางเทียนเซี่ยวมาด้วยกันเลยล่ะ สองคนนั้นไม่ถูกกัน
เหมียวอี้เข้าใจความคิดของนาง ที่ทำแบบนี้เพราะอยากจะคานอำนาจ ให้ทั้งสองมาควบคุมจับตาดูกันและกัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าย้ายมาที่พิภพใหญ่แล้วจะควบคุมลำบาก เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้ แล้วก็บอกอีกว่า : แล้วก็หยางชิ่งด้วย หลังจากข้ากลับไปแล้ว ข้าเตรียมจะส่งหยางชิ่งไปที่แดนอเวจี จับเขาไปแทรกอยู่ข้างกายจินม่านเสียเลย ให้เขาคอยประสานงานกับพวกท่านปู่เจ้า
อวิ๋นจือชิวลังเลอีก : ความสามารถของหยางชิ่งนั้นเหมาะสมที่สุด แต่เจ้าก็รู้จักนิสัยหยางชิ่งนี่ ถ้าให้ในมือเขามีอำนาจทางทหาร เจ้าเคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดผลอะไรตามมา? ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่พวกท่านปู่ก็จะควบคุมเขาไม่ไหว
แน่นอนว่าเหมียวอี้รู้ถึงจุดที่น่ากลัวหยางชิ่ง จึงตอบว่า : ด้วยความสามารถของหยางชิ่ง ถ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายจะแสดงบทบาทไม่ได้ ให้กลายเป็นของประดับตำแหน่งเฉยๆ ก็น่าเสียดาย ดาบแบบเขาถ้าจับไปโยนไว้ในแดนอเวจีจะแสดงบทบาทได้มากกว่า ถ้าเขาทำซี้ซั้วจริงๆ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะจัดการเขาไม่ได้ แล้วอีกอย่าง เจ้าก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขาคำนึงถึงเวยเวย?
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่กล้าผ่อนปรนการควบคุมที่มีต่อหยางชิ่งจริงๆ ทว่าหลังจากได้เห็นกำลังอันแข็งแกร่งของปราสาทดำเนินนภา เขาก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
อวิ๋นจือชิวจนใจ รู้ว่าเขาคนนี้เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้วก็ไม่ใช่คนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง จึงตอบว่า : ก่อนหน้านี้ผลประโยชน์ยังเล็กน้อย ตอนนี้เผชิญกับผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเวยเวยจะยังมีผลต่อหยางชิ่งหรือเปล่า ช่างเถอะ ข้าก็ไม่มั่นใจเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจ งั้นก็จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน
…………………………