พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1465 โคตรพ่อเจ้าสิ
“…” ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้ราวกับโดนสายฟ้าฟาด เหมือนโดนฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มใน โกรธจนหน้าเขียวแล้ว
แต่เฮยทั่นดันตื่นเต้นดีใจเกินไป ไม่สำนึกเลยสักนิดว่าตัวเองทำอะไรไม่เหมาะสม สั่นหัวส่ายหางพูดออกมาเป็นชุดว่า “โคตรพ่อเจ้าสิ ไอ้ชาติหมา เดรัจฉาน กลับไปหามารดาเจ้าไป กากเดน ไปตายซะ หุบปากให้พ่อเดี๋ยวนี้ วอนโดนตีนซะแล้ว ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไอ้ลูกหมา…” เรียกได้ว่าพ่นคำพูดสกปรกหยาบคายมาเป็นกอง ทั้งยังตั้งใจมองต่ำพ่นใส่ใครบางคนโดยเฉพาะด้วย พ่นคำพูดพวกนี้ใส่ไม่หยุด
ขณะที่เหมียวอี้เงยหน้ามองมันพูดเป็นต่อยหอย ใบก็หน้าเริ่มดำลงทีละนิด พอพลิกฝ่ามือ ทวนเกล็ดย้อนก็ปรากฏอยู่ในมือ หัวทวนที่แหลมคมแทงออกไปหนึ่งครั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็จ่ออยู่ตรงคอเฮยทั่นแล้ว เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแทงมันให้ตาย ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หุบปากให้พ่อเดี๋ยวนี้…”
พอกล่าวคำนี้ออกมา เขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ประโยคนี้เหมือนเฮยทั่นเพิ่งจะพูดไปนะ
“…” เฮยทั่นอ้าปากค้าง ขณะมองดูเหมียวอี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง มันก็พลันได้สติกลับมาทันที หันหัวหลบหัวทวนที่จ่อคออยู่ แล้วถอนหลังช้าๆ “นายท่าน มีอะไรก็พูดกันดีๆ อย่าลงไม้ลงมือ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะด่าท่านนะ”
เหมียวอี้ย่อมมองออกว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะด่าตน เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ไม่ได้ผ่านสมอง ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เขาคงจะแทงมันให้เลือดไหลออกมาสักสองสามชั่งจริงๆ แต่ก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน เพราะเป็นคำพูดที่ไม่ผ่านสมอง มันถึงเป็นคำพูดที่มาจากหัวใจ การจะพูดคำว่า ‘ไอ้เวรเอ๊ย’ ออกมาได้จะต้องมีความอาฆาตแค้นขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสะสมคำพูดหยาบคายได้เยอะขนาดนี้ นี่มันเตรียมจะเอาไว้พูดกับใครกันแน่?
เขาแทบจะไม่สงสัยเลยว่ามีคนอื่น มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะพูดกับเขา ไม่มีเหตุผลอื่นด้วย เป็นเพราะคนที่ขี่เฮยทั่นวิ่งไปทั่วทุกที่ก็คือเขา คนที่ชอบลงไม้ลงมือกับเฮยทั่นบ่อยๆ ก็คือเขาเช่นกัน ถ้าไม่ด่าเขาแล้วจะด่าใครล่ะ? ความอาฆาตแค้นที่ลึกซึ้งขนาดนี้ นอกจากเขาก็คงจะไม่มีคนอื่นแล้วมั้ง?
แค่คิดก็เดือดมาก เหมียวอี้ถือทวนเดินประชิดเข้าไป แล้วอสยะยิ้มไม่หยุด “นี่คงเป็นคำพูดในใจของเจ้าที่อยากจะด่าใครสักคนสินะ? โจรอ้วน มานี่ มาพูดอีกทีซิ ปกติแล้วเจ้าใช้คำพูดพวกนี้ด่าใครในใจ?”
เฮยทั่นรีบส่ายหน้า “นายท่าน ไม่ได้ด่าท่านจริงๆ ข้าเรียนมาจากคนอื่นทั้งนั้น”
“หึ!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างเสแสร้ง “ทำไมข้าไม่เคยเห็นใครเคยสอนให้เจ้าพูดอะไรพวกนี้เลยนะ ข้าคิดไม่ออกว่าข้างกายเจ้ามีใครที่ปากเต็มไปด้วยคำหยาบแบบนี้”
เฮยทั่นกล่าวอย่างกังวลว่า “ทำไมจะไม่เคย? ตอนฮูหยินด่าท่านข้าก็จำได้บ้างนิดหน่อย ตอนที่ท่านพูดคำหยาบข้าก็จำได้เหมือนกัน…”
“เหลวไหล!” เหมียวอี้โบกทวนชี้ “เมื่อกี้นี้เจ้าด่าคำหยาบเป็นชุด บางคำข้ากับฮูหยินก็ไม่เคยพูดกันเลย ยังกล้ามาเจ้าเล่ห์อีก!”
“เยารั่วเซียน!” เฮยทั่นสารภาพเสียงดัง “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอก ที่จริงหลายปีมานี้คนที่พูดกับข้าเยอะที่สุดก็คือเยารั่วเซียน เมื่อก่อนตอนข้ายังอยู่กับเยารั่วเซียน เวลาเยารั่วเซียนไม่มีงานอะไรทำ ก็จะนั่งยองๆ ข้างข้าแล้วด่าท่าน ส่วนใหญ่ข้าเรียนรู้มาจากเขา…ข้าอยากจะฟ้องท่านตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้าพูดไม่ได้ ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว นายท่าน เยารั่วเซียนไม่ใช่คนดีอะไร ด่าท่านลับหลังบ่อยมาก ในปีนั้นข้ายังอยากช่วยสั่งสอนเขาให้ท่านเลย”
เหมียวอี้ปวดประสาท ไม่ต้องพูดเลย การที่เยารั่วเซียนด่าตนนั้นเป็นเรื่องปกติมาก คำหยาบบางคำเหมือนจะเป็นลักษณะการพูดของเยารั่วเซียนจริงๆ
พอได้ฟังเจ้าเดรัจฉานนี้แก้ตัว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ ช่างพูดจาคล่องปรื๋อจริงๆ สงสัยจะหลายปีมานี้จะไม่ได้อยู่อย่างเสียชาติเกิด เขาทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “แล้วทำไมไม่เรียนคำพูดดีๆ ทำไมเรียนแต่คำหยาบ?”
เฮยทั่นก็หยุดแก้ตัวแล้วเช่นกัน “ข้าไม่ได้เรียนเฉพาะคำหยาบนะ ก็ท่านให้ข้าพูดอะไรใหม่ๆ เองนี่”
เหมียวอี้ชี้ทวน “ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง เจ้าจะหนีทำไม? หยุดเดี๋ยวนี้!”
เฮยทั่นยังถอยหลังต่อไป “นายท่าน คนอื่นอาจจะไม่รู้จักท่าน แต่คิดว่าข้าจะไม่รู้จักท่านเชียวเหรอ ข้ารู้ดีที่สุดแล้วว่าท่านเป็นคนยังไง ถ้าข้าไม่หนีแล้วท่านไม่ลงมือก็แปลกแล้ว ท่านต้องอยากตีข้าเพื่อระบายความโกรธแน่นอน!”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่แตะต้องเจ้าหรอก” เหมียวอี้บอก
เฮยทั่นไม่หยุด “งั้นท่านก็อย่าเข้ามาสิ หรือท่านจะสาบานก่อนดีมั้ย?”
“ให้ข้าสาบานเหรอ?” ไฟโกรธของเหมียวอี้พลุ่งพล่านทันที ถลันตัวเข้าไปแล้วใช้ทวนแทงเลย
ทว่าเฮยทั่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน มีเสียงดังพรึ่บ พอเลี้ยวเสร็จก็วิ่งทันที
“ยังกล้าหนีอีกเหรอ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เหมียวอี้ถือทวนเร่งไล่ตามหลัง ส่วนเฮยทั่นก็ปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งอย่างบ้าระห่ำ
คนกับสัตว์พาหนะวิ่งตามริมทะเลสาบไปหลายรอบ ถ้าพูดถึงความเร็วในการเหาะ เหมียวอี้ก็ยังสู้เฮยทั่นไม่ได้ ถ้าพูดถึงความเร็วบนพื้นดิน เหมียวอี้ก็ยิ่งเทียบมันไม่ติด ความเร็วในการวิ่งของเฮยทั่นนั้นน่าทึ่งไม่ธรรมดา
เมื่ออยู่ในสถานที่บ้าบอนี้ ทั้งสองก็ดันวิ่งไม่ได้ ทำได้เพียงปลดปล่อยฝีเท้าวิ่ง เหมียวอี้จะวิ่งตามมันทันได้อย่างไร เขาใช้เท้าทะยานคลื่น ไปดักโจมตีจากผิวน้ำแต่ก็ตามความเร็วของเฮยทั่นไม่ทันอยู่ดี
“นายท่าน ไม่ต้องไล่ตามแล้ว ท่านเร็วไม่เท่าข้าหรอก ตามไม่ทันหรอก” หลังจากวิ่งวนทะเลสาบไปหลายรอบ เฮยทั่นก็หันกลับมาเกลี้ยกล่อมอย่างไม่สะทกสะท้าน
เหมียวอี้หยุดแล้ว ก่อนจะใช้ทวนชี้พร้อมแสยะยิ้ม “เจ้าหนีไปเถอะ หนีให้ข้าดู เดี๋ยวก็ได้ตกอยู่ในมือข้าอยู่แล้ว นอกเสียจากเจ้าจะอยากอยู่ในนี้ตลอดไป!” ในเมื่อไล่ตามไม่ทัน ก็ทำได้เพียงพูดอะไรโหดๆ แบบนี้
เขาได้แต่แค้นที่ตัวเองไม่ได้พกตั๊กแตนมาด้วย ไม่รู้ว่าปีกของมันจะบินที่นี่ได้หรือเปล่า อาศัยกรงเล็บที่แหลมคมของตั๊กแตน ก็สามารถรับมือกับผิวเนื้อที่หยาบหนาของเฮยทั่นได้อย่างไม่มีปัญหา ปกติเฮยทั่นก็ค่อนข้างกลัวตั๊กแตนทมิฬอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้เฮยทั่นสามารถปล่อยไฟฟ้าได้ เกรงว่าตั๊กแตนพวกนั้นจะทำอะไรเฮยทั่นไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อเห็นเขาหยุดแล้ว เฮยทั่นก็หยุดแล้วเช่นกัน ทว่าสิ่งที่น่าตกใจก็คือ พอมันหยุดวิ่ง เหมียวอี้ก็พลันพลิกมือถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เอาไว้ แล้วลงมืออย่างรวดเร็วมาก พอลูกธนูดาวตกสามดอกถูกง้างอยู่บนสายพร้อมกัน เขาก็ตะโกนว่า “หนีสิ! ถ้ากล้านักก็หนีให้ข้าดูเลย ข้าจะยิงให้ขาเจ้าหัก”
เฮยทั่นหันไปมองที่ทะเลสาบ อยากจะกระโดดลงไป แต่มันโดนลูกธนูดาวตกเล็งแล้ว กระโดดลงน้ำไปก็โดนยิงอยู่ดี ตอนนี้ถึงได้พบว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว
เหมียวอี้ต้องการล่อให้มันหยุด ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้มันหนีลงไปในทะเลสาบ เขาก็จะไม่มีทางเล็งแม่นแล้ว
“นายท่าน ข้าโดนใส่ร้ายนะ ข้าไม่ได้ด่าท่านจริงๆ!” เฮยทั่นตะโกนร้องขอความเป็นธรรม จะหนีก็ไม่หนี จะหลบก็ไม่หลบ ห่วงเหล็กบนคอ ถ้าไม่ผ่านการร่ายอิทธิฤทธิ์จากเหมียวอี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเกราะรบได้ ตัวมันเองต้านทานลูกธนูดาวตกที่ทำจากผลึกแดงไม่ไหว
เหมียวอี้ที่กำลังง้างสายธนูแสยะยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก หนีสิ หนีต่อไป อย่างมากก็แค่ขาหักสามข้างเอง”
เฮยทั่นพูดไม่ออกแล้ว รู้ว่าถ้าวันนี้ไม่ให้เขาระบายอารมณ์โกรธ ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าเรื่องนี้จะผ่านไป นอกเสียจากตัวเองจะหนีไปโดยไร้เงาและไม่มาเจอกับเขาอีก ไม่อย่างนั้น…มันได้แต่แข็งใจหมอบลงบนพื้น แล้วใช้กีบเท้าสองข้างกุมหัวปิดตา บอกเป็นนัยว่า เข้ามาสิ!
“ข้าให้เจ้าด่าพ่อ ข้าให้เจ้าไม่เรียนอะไรดีๆ ข้าให้เจ้าพูดคำหยาบ…”
ผ่านไปไม่นาน ริมทะเลสาบก็มีเสียงดังสะเทือนเหมือนฟ้าผ่า เห็นเพียงเหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนทำเป็นไม้กระบอง เรียกได้ว่าตีอย่างแรงไปยกหนึ่ง
หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างเอ้อระเหยริมทะเลสาบ พอระบายความโกรธนี้แล้ว ในใจก็ผ่อนคลายมาก
เฮยทั่นคอตก ก้มหน้าเดินตามหลังเหมียวอี้อย่างห่อเหี่ยว มันปวดเนื้อปวดตัว เกือบจะโดนตีจนยับเยินแล้ว
พอกลับมาที่ถ้ำ เหมียวอี้ก็กลับไปนั่งสมาธิฝึกตนต่อ ส่วนเฮยทั่นที่นอนหมอบหน้าปากถ้ำก็ลืมความเจ็บปวดเร็วมาก นอนงีบต่อไป ผ่านไปสักประเดี๋ยวก็มีกลิ่นหอมประโลมจิตใจโชยออกมาจางๆ อีก…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เฮยทั่นก็ลุกขึ้นจากปากถ้ำ แล้ววิ่งไปที่ทะเลสาบด้วยความกระปรี้กระเปร่า
ตอนกลางวันก็ไม่เป็นไร ของอร่อยเมื่อได้กินแล้วก็อยากกินอีก มันย่อมมุ่งตรงไปที่รังของปลาขาววิญญาณอาฆาต
มันว่ายน้ำด้วยความเร็วตลอดทาง ไม่ชักช้าเลยสักนิด จนกระทั่งไปถึงจุดหมาย ปลาที่อยู่ในรังนั้นยังคงอยู่ โพรงที่มันขุดไว้ก็ยังอยู่เช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องลังเล มันพุ่งเข้าไปอีกแล้ว ข้างในมีแสงของสายฟ้าวับวาบ คาบปลาตัวสีขาวออกมาหนึ่งตัวโดยตรง ครั้งนี้เอาไปแค่ตัวเดียว เมื่อมีบทเรียนครั้งก่อนแล้ว มันก็อยากจะกินแบบสดใหม่ เดี๋ยวถ้าครั้งหน้าอยากกินก็ค่อยมาอีกก็ได้
รังของปลาขาววิญญาณอาฆาตโดนมันทำให้กลายเป็นเป็นหม้อที่สามารถใช้ตะเกียบคีบกินได้ทุกเมื่อ
พอกลับมาที่ทางน้ำ เฮยทั่นก็ลอยขึ้นมาที่ผิวน้ำ หางของมันกำลังวาดพายอยู่ใต้น้ำ กรงเล็บกำลังกอดปลาใหญ่กัดกิน ขณะที่กลับมาก็กินไปด้วยตลอดทางอย่างสบายใจ
ส่วนปลาในรังนั้น หลังจากโดนสายฟ้าโจมตีจนอ่อนกำลังแล้ว ก็มีสองตัวหนีออกมาจากโพรงที่เฮยทั่นขุดไว้ แล้วหนีไปยังที่มืดไกลๆ อย่างรวดเร็ว…
หลังจากนั้นหลายวัน เฮยทั่นก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกแล้ว พอมันเอาหัวมุดเข้าไปในรังปลา ก็ชะงักค้างทันที สังเกตเห็นความไม่ชอบมาหาพากลบางอย่างแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าปลาขาวฝูงนี้จะไม่หนีไปไหน แต่รวมตัวกันเป็นกำแพงปลาสายหนึ่ง
เฮยทั่นไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตาเลย มันพุ่งเข้าไปโดยตรง เพราะเดาว่าปลาใหญ่คงจะแอบอยู่ข้างหลัง
ใครจะคิดว่าจู่ๆ ฝูงปลาจะกระจายออก โฉมหน้าที่แท้จริงหลังกำแพงปลาทำให้เฮยทั่นรีบหยุดการโจมตี
หลังกำแพงปลาปรากฏสตรีชุดขาวคนหนึ่ง สง่างามเย็นชา คางแหลมราวกับสว่าน ผิวกายขาวเหมือนหยก ไม่มีความโกรธใดๆ กระโปรงพลิ้วไหวอย่างอ่อนโยนอยู่ในน้ำ และข้างหลังสตรีชุดขาวก็ยังมีสาวใช้ชุดขาวที่แต่งกายเหมือนสาวใช้อยู่อีกสิบกว่าคน เหมือนเป็นผู้ติดตาม ปลาขาวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็แหวกว่ายอยู่ระหว่างพวกนางเช่นกัน
“สัตว์เดรัจฉานจากไหน บางอาจมาพาลเกเรที่อาณาเขตของข้า!” สตรีชุดขาวตะคอก
เฮยทั่นจ้องวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกตรงหว่างคิ้วสตรีชุดขาว มันไม่เห็นนักพรตบงกชทองขั้นหกอยู่ในสายตาเลยจริงๆ แต่กระบี่วิเศษผลึกแดงในมืออีกฝ่ายยังทำให้มันกังวลอยู่บ้าง ตอนนี้มันยังไม่ได้ใส่เกราะรบ เตรียมจะกลับไปเปลี่ยนใส่เกราะรบที่เหมียวอี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาจัดการพวกนาง
“โคตรพ่อเจ้าสิ ชายชาตรีไม่สู้กับผู้หญิง!” เฮยทั่นพูดจาเหมือนคน แล้วก็เลี้ยวหนีไปเลย
“เอ๋! ยังไม่ได้เปลี่ยนร่างเป็นคนก็พูดภาษาคนได้แล้วเหรอ?” สตรีชุดขาวแปลกใจ จากนั้นก็โบกมือทันที “มาแล้วแต่ยังคิดจะหนีอีกเหรอ?”
สาวใช้สิบกว่าคนไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เฮยทั่นสะบัดหาง บนตัวมีเสียง “เปรี๊ยๆ” ปล่อยสายฟ้า เมื่ออยู่ในน้ำ สิ่งนี้เป็นอาวุธที่ไร้เทียมทานจริงๆ มีประสิทธิภาพในการโจมตีหมู่ มันใช้สายฟ้าโจมตีสาวใช้สิบกว่าคนนั้นตัวโอนเอนไปพักหนึ่ง ส่วนปลาขาวก็ตัวสั่น แม้แต่สตรีชุดขาวก็ตัวสั่นเหมือนกัน
รอจนพวกนางอาการดีขึ้น เฮยทั่นก็หนีไปไกลแล้ว สตรีชุดขาวรีบไล่ตามไป ไม่นานก็ตามทัน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเกินไป ค่อนข้างกลัวว่าเฮยทั่นจะปล่อยสายฟ้าในน้ำ จึงล่อยกระบี่บินโจมตีในน้ำ ผลปรากฏว่าโดนเฮยทั่นใช้หางปัดกระบี่กระเด็นออกไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าตอนอยู่ใต้น้ำความเร็วของตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ไม่สามารถสลัดอีกฝ่ายออกไปได้ เฮยทั่นก็เลยรีบพุ่งไปที่ริมฝั่งของทางน้ำ มีเสียงดังโครม มันพุ่งออกมาจากน้ำแล้ว จากนั้นก็วิ่งตะบึงต่อไปตามริมฝั่ง ความเร็วในการวิ่งนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
พลั่ก! สตรีชุดขาวคนนั้นโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วเช่นกัน จากนั้นก็เหาะอยู่บนฟ้าเสียเลย กระโปรงปลิวพลิ้วอยู่กลางอากาศ ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ส่วนสาวใช้สิบกว่าคนนั้น พอขึ้นมาจากน้ำก็ทะยานขึ้นฟ้าไล่ตามอยู่ข้างหลัง
“โคตรพ่อเจ้าสิ!” เฮยทั่นที่หันกลับมามองแวบหนึ่งร้องอุทาน นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเหาะได้ในสถานที่แบบนี้ แบบนั้นตนก็เสียเปรียบเกินไปแล้ว มันรีบวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด
สตรีชุดขาวที่เหาะอยู่ข้างบนก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะสามารถวิ่งบนพื้นได้เร็วขนาดนี้
แต่ความเร็วในการวิ่งบนพื้นจะเร็วได้สักเท่าไรเชียว ถ้าอยากจะให้เร็วกว่านักพรตบงกชทองที่เหาะอยู่บนฟ้า ก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่นานก็โดนตามทันแล้ว
…………………………