พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1469 กลยุทธ์ชั้นยอด ชั้นกลาง ชั้นต่ำ
ครุ่นคิดได้ไม่รอบด้าน?
เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์และกำลังกลุ้มใจ พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกขำแล้ว แต่พอผ่านไปสักประเดี๋ยวก็ได้ยินว่ามีกลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำให้เลือก ถ้าแบบนี้เรียกว่าครุ่นคิดไม่รอบด้าน แล้วอย่างตนจะไม่เรียกว่าไร้ประโยชน์หรอกเหรอ พูดแบบนี้ถ่อมตัวเกินไปแล้วมั้ง
ไม่ว่าวิธีการจะดีหรือไม่ดี ก็ยังดีกว่าร้อนรนอย่างเดียวโดยไม่มีหนทางเลย เหมียวอี้รีบถามว่า : ไหนลองบอกมาหน่อย กลยุทธ์ชั้นยอดเป็นยังไง?
หยางชิ่งบอกว่า : กลยุทธ์ชั้นยอดก็ย่อมเป็นการหลบหนี ถ้านายท่านมีทางหลบวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ ทางที่ดีก็อย่าสู้กับใครอีกเลยดีกว่า ถ้าหลบได้ก็หลบ หลบจนกว่าการลงโทษของตำหนักสวรรค์จะเสร็จสิ้น แบบนั้นย่อมรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย นี่เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากที่สุด
เหมียวอี้กลอกตามองบน แบบนี้ถือว่าเป็นกลยุทธ์ชั้นยอดบ้าอะไรล่ะ ถ้าข้าหนีพ้น ยังจะต้องมาถามเจ้าอีกเหรอ? เป็นเพราะข้าไม่รู้ว่าจะหลบพ้นหรือเปล่า ก็เลยมาถามเจ้าไงล่ะ
สิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ชั้นยอด เขาย่อมวางมันทิ้งไว้ข้างๆ ก่อน รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ยังอดทนแล้วถามอีกว่า : แล้วกลยุทธ์ชั้นกลางเป็นยังไง?
พอหยางชิ่งได้ยินเหมียวอี้ถามถึงกลยุทธ์ชั้นกลางเร็วขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะพิจารณาเลย เขารู้แล้วว่าไม่ตรงใจเหมียวอี้ และเขาก็กลัวนิสัยบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือของเหมียวอี้ นิสัยหัวร้อนในตอนนั้นของเหมียวอี้ เขาเองก็ได้บทเรียนมาตั้งแต่แรกแล้ว ยังไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่เรื่องที่ประมุขชิงรับจ้านหรูอี้เป็นสนมก็แล้วกัน สิ่งที่นายท่านคนนี้ทำมันใช่เรื่องเสียที่ไหน! สาเหตุที่เขายกการหลบหนีให้เป็นกลยุทธ์ชั้นยอด ก็เพราะหวังว่าเหมียวอี้จะไม่ทำซี้ซั้วอะไรอีก หลบได้ก็หลบ อย่าวู่วามเด็ดขาด
เห็นได้ชัดเจนว่าคำเตือนนี้ไม่มีประโยชน์ หยางชิ่งทำได้เพียงแอบถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า : สิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ชั้นกลางก็คือเน้นแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า พุ่งเป้าไปที่ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำที่นายท่านบอก เรื่องนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่นายท่านคิด บางทีอาจจะมีทางเหลือให้กลับตัวก็ได้
พอได้ยินว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้น เหมียวอี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ถามว่า : หมายความว่ายังไง?
หยางชิ่ง : การวินิจฉัยตัดสินของข้าน้อยอยู่บนพื้นฐานสถานการณ์ที่นายท่านบอก ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม นายท่านก็เตือนข้าน้อยได้เลย ดูจากที่นายท่านบอกว่าวิญญาณชั่วร้ายอยากจะยึดกายหยาบของนายท่าน ก็เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าผู้ที่อยากยึดกายหยาบของนายท่านไม่ได้มีแค่จิ้งหูเหนียงเหนียง เกรงว่าประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำนั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ทราบว่าข้าน้อยตัดสินแบบนี้มีข้อผิดพลาดหรือเปล่า?
เหมียวอี้ : ใช่แล้ว ข้าก็มีความกังวลนี้เหมือนกัน ที่กังวลกว่านั้นก็คือ เกรงว่าจะไม่ได้มีแค่หวังกง ถ้าข่าวแพร่ออกไป กลัวว่าวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะกรูกันเข้ามา
หยางชิ่ง : สิ่งที่นายท่านกังวลก็ไม่ได้ผิด แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นที่นายท่านจินตนาการไว้หรอก นายท่านลองคิดดูสิ ในเมื่อกายหยาบของนายท่านมีความสำคัญต่อวิญญาณชั่วร้ายขนาดนี้ ถามหน่อยว่าหวังกงนั่นจะยอมมอบนายท่านให้คนอื่นเหรอ? เกรงว่าคงอยากจะเก็บไว้คนเดียวน่ะสิ มีหรือที่จะปล่อยข่าวให้คนอื่นรู้? อาศัยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองของหวังกงกับกำลังพลเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำของค่ายพยัคฆ์ดำเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้นับว่าร้ายกาจอะไรเลย ถ้าให้คนอื่นรู้ข่าวนี้ขึ้นมา เขาก็คงจะไม่มีส่วนได้อะไรกับเรื่องนี้แล้ว เขาจะทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ไปได้ยังไง? ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด สาวใช้ที่หนีไปพวกนั้นคงไม่บอกข่าวให้ค่ายพยัคฆ์ดำรู้หรอก ถ้ารายงานให้หวังกงรู้ เรื่องแรกที่หวังกงจะทำก็คือควบคุมตัวสาวใช้พวกนั้นไว้แน่นอน ป้องกันไม่ให้ข่าวหลุดไง จากนั้นค่อยวางแผนจับนายท่าน จะได้กินคนเดียวได้สะดวก
ใช่แล้ว! เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที ตัวอยู่ที่นี่เอาแต่คิดว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะมาหาเรื่องตัวเอง ทำไมคิดไม่ได้แบบนี้บ้าง? เขาตอบว่า : เป็นแบบนี้จริงๆ หวังกงคงจะไม่ปล่อยข่าวนี้ มีความเป็นไปได้ไม่มากที่วิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะกรูกันเข้ามา เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
หยางชิ่ง : ถ้าเป็นแบบนี้ กลยุทธ์ชั้นยอดก็ยังมีจุดที่สามารถใช้ได้ผล ภายใต้สถานการณ์ที่หวังกงไม่กล้าเปิดเผยความลับ ขอเพียงนายท่านหลบให้พ้นหวังกงคนเดียวก็พอแล้ว ถ้าหลบไม่พ้น ก็ค่อยใช้กลยุทธ์ชั้นกลางก็ยังไม่สาย ถึงตอนนั้นเพื่อที่จะรักษาความลับ หวังกงก็คงไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไป ลูกน้องที่มารับมือกับนายท่านคงมีไม่เยอะ ใช้กลยุทธ์ชั้นกลางก็สามารถกำจัดหวังกงและผู้ติดตามได้ ตัดขาดช่องทางข่าวสารที่มีกายหยาบของนักพรตมาโผล่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทว่านายท่านจะต้องลำบากต่อสู้! แต่วิธีการนี้ก็ยังไม่มั่นคงปลอดภัย เพราะนายท่านเสียเปรียบที่เหาะไม่ได้ รับประกันได้ยากว่าจะไม่มีปลาลอดแหออกไป นี่ก็คือกลยุทธ์ชั้นกลาง นายท่านจะต้องใช้แผนนี้อย่างระมัดระวัง ไม่ต้องลงมือ แต่ถ้าจะลงมือก็ต้องฆ่าให้หมด!
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วบอกว่า : ที่พูดมาก็มีเหตุผล กลยุทธ์ชั้นต่ำเป็นยังไงบ้าง?
หยางชิ่ง : กลยุทธ์ชั้นต่ำก็คือนายท่านจะต้องเสี่ยงอันตรายมากที่สุด!
เหมียวอี้ : มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงอีก
หยางชิ่ง : กลยุทธ์ชั้นต่ำก็คือสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ[1] ขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า ‘เลือก’ ในที่นี้หมายถึงคัดเลือก’!
ฟังดูมีอำนาจน่าเกรงขามมาก เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที กล่าวขอคำชี้แนะ : สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก ยิ่งเจอคนเก่งก็เลือกคนเก่งยังไงเหรอ?
หยางชิ่งถามกลับ : พวกเราพิจารณาจากรากขึ้นไปเลย นายท่านคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์กลัวอะไรที่สุด?
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางตอบว่า : ตั้งแต่ได้รู้ข้อมูลมา ข้าว่าวิญญาณชั่วร้ายกลัวเผ่าหงส์และมังกรที่สุดแล้ว เป็นดาวอริของพวกมันเลย
หยางชิ่งถามอีกว่า : เผ่าหงส์และมังกรยังอยู่มั้ย?
เหมียวอี้ : ก็ต้องอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์น่ะสิ โดนตำหนักสวรรค์ควบคุมแล้ว
หยางชิ่ง : หรือพูดได้อีกอย่างว่า วิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในตอนนี้กลัวตำหนักสวรรค์ ถูกมั้ย?
เหมียวอี้ : ถูกแล้ว!
หยางชิ่ง : แล้วฐานะที่นายท่านประกาศไปอยู่ในระดับไหน?
เหมียวอี้ตะลึงงัน พอจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย ลองถามว่า : เจ้าหมายความว่า ให้ข้าใช้ฐานะที่ตำหนักสวรรค์ขู่พวกเขาเหรอ? แต่อาศัยข้าแค่ตัวคนเดียว ประกอบกับวรยุทธ์ของข้า เกรงว่าจะขู่ได้ยาก ถ้าจะขู่ก็คงจะขู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ต้องรู้ไว้นะว่าข้าต้องอยู่ที่นี่หนึ่งพันปี พอเวลานานไป ก็เลี่ยงไม่ให้คนสงสัยได้ยาก พวกเขาจะสงสัยว่าทำไมตัวละครเล็กๆ ของตำหนักสวรรค์ถึงมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด แค่หยั่งเชิงก็เผยพิรุธแล้ว
หยางชิ่ง : ก็ไม่ได้หวังว่าอาศัยการขู่แล้วจะผ่านด่านนี้ไปได้ แค่ขู่ไว้ได้ชั่วคราวก็พอแล้ว ขอแค่ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในระยะเวลาสั้นๆ ก็พอแล้ว ยังดีกว่าเจอนายท่านแล้วลงมือกับนายท่านทันที ดีกว่าไม่ให้โอกาสนายท่านได้รับมือเลย สามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและสงบลงได้ก็พอ มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น นี่คือการใช้แผนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ถ้ากลยุทธ์ชั้นยอดกับกลยุทธ์ชั้นกลางล้มเหลว นายท่านได้ประมือกับหวังกงไปแล้ว ถ้าใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำรับมือกับพวกเขาอีกก็เกรงว่าจะไม่ได้ผลแล้ว ถ้านายท่านรับมือกับหวังกงนั่นไม่ไหว นายท่านก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในมือเขา จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น อาศัยชื่อเสียงที่นายท่านโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ข้าน้อยเชื่อว่าถึงแม้นายท่านจะเหาะไม่ได้ ถึงแม้จะรับมือกับหวังกงไม่ไหว แต่ก็ไม่ง่ายที่หวังกงจะจัดการนายท่านให้ได้ในรวดเดียว ตอนนี้นายท่านควรคิดหาทางเอาตัวรอดทันที พยายามไปขอพึ่งพาที่อาณาเขตอื่น คนที่จะไปขอพึ่งพาจะต้องมีความคิดที่อยากจะฮุบร่างนายท่านเหมือนหวังกง มีหรือที่จะยอมให้หวังกงเปิดเผยความลับ เขาจะต้องหาทางกำจัดหวังกงแน่นอน ถ้าหวังกงชนะ หวังกงก็จะต้องปิดปากคนที่นายท่านไปขอพึ่งพา ส่วนนายท่านก็ไปหาคนอื่นต่อ ต้องมีคนที่สามารถหาทางจัดการหวังกงได้อยู่แล้ว นี่ก็คือการขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก!
เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า : ถ้าคนที่ข้าไปขอพึ่งพาชนะล่ะ จะทำยังไง? ต่อให้ข้าเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือขู่เขาไว้ได้ อย่าบอกนะว่าข้าต้องอยู่ข้างกายเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเผยพิรุธแล้วให้เขาจัดการข้า?
หยางชิ่ง : ยังต้องพิจารณาขึ้นไปจากราก สิ่งที่วิญญาณชั่วร้ายกลัวก็คือตำหนักสวรรค์ สิ่งที่อยากได้ก็คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่อยู่ในถ้ำมังกรรังหงส์ พวกเขารับมือกับตำหนักสวรรค์ไม่ไหว ทั้งยังเข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ได้ ขอเพียงควบคุมพื้นฐานสองข้อนี้ได้ นายท่านก็จะมีโอกาสนำเกาลัดออกจากกองไฟ
เหมียวอี้ : ยินดีฟังรายละเอียด!
หยางชิ่ง : ถ้านายท่านโดนเล่นงานจนปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ย่อมต้องคิดหาทางปลีกตัวออกมา ถ้าอยากจะทำอย่างนั้น ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีที่ไหนที่ดีที่สุดสำหรับซ่อนตัวจากวิญญาณชั่วร้าย?
สอดคล้องกับคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเขา เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ถามว่า : ถ้ำมังกรรังหงส์เหรอ?
หยางชิ่ง : ใช่แล้ว! เป็นถ้ำมังกรรังหงส์ มีเพียงการเข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์เท่านั้น นายท่านถึงจะสามารถหยุดการรบกวนทุกอย่างได้ ไม่อย่างนั้นวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะก่อกวนไม่จบไม่สิ้น พอเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์แล้ว นายท่านฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เดาว่าอยู่ในถ้ำมังกรรังหงส์หนึ่งพันปีคงจะไม่ลำบากมากหรอกใช่มั้ย?
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตอบไปว่า : ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ที่ไหน แต่หนทางจะต้องไกลแน่นอน ไม่รู้ว่าบนเส้นทางนี้ต้องผ่านอาณาเขตของวิญญาณชั่วร้ายที่ทรงอิทธิพลมากมายเท่าไร ข้าเหาะไม่ได้ด้วย จะไปถึงได้ง่ายๆ เหมือนที่เจ้าบอกเหรอ?
หยางชิ่ง : นายท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าน้อยพูดให้จบก่อน พอนายท่านไปขอพึ่งพาฝ่ายต่อไป หลังจากใช้แผนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือทำให้อีกฝ่ายสงบได้แล้ว ก็ไม่ต้องรอจนเผยพิรุธให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น นายท่านเปิดเผยก่อนเลยว่าต้องการจะไปถ้ำมังกรรังหงส์ แต่นายท่านต้องหาทางทำให้อีกฝ่ายเชื่อให้ได้ว่าถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ได้เข้าง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าได้กายหยาบแล้วจะเข้าไปได้เหมือนที่พวกเขาจินตนาการไว้ นายท่านสามารถปรับเปลี่ยนวิธีรับมือตามสถานการณ์ในตอนนั้นได้เลย เรื่องเล็กแค่นี้ อาศัยไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนายท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องให้หยางชิ่งพูดมากหรอก แค่ต้องทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่า ต่อให้ได้กายหยาบแล้วก็เข้าไปได้ยากอยู่ดี ถึงจะทำให้อีกฝ่ายจะลังเลนิดหน่อยก็ยังดี อีกฝ่ายจะไม่ลงมือทำอะไรนายท่านง่ายๆ ถึงยังไงก็เป็นโอกาสเดียว อีกฝ่ายมีแต่จะทำเรื่องนี้อย่างทะนุถนอมเห็นคุณค่า ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อน นายท่านต้องชิงเป็นฝ่ายเชิญชวนอีกฝ่ายให้เขาไปในถ้ำมังกรรังหงส์ด้วยกัน บอกว่าตัวเองมีวิธีพาอีกฝ่ายเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์ เมื่อมีการเชื้อเชิญจากนายท่าน ก็ย่อมทำลายความเคลือบแคลงของอีกฝ่ายได้แล้ว อีกฝ่ายจะยินดีคุ้มกันนายท่านไปส่งที่นั่นอย่างสุดชีวิตแน่นอน และเมื่อมีความจริงใจในการร่วมงานกันแบบนี้แล้ว ก็สามารถรากฐานในการทำเรื่องนี้ตอนหลังได้ เพราะสามารถทำให้อีกฝ่ายลดการระวังตัว ถ้าไปถึงถ้ำมังกรรังหงส์แล้ว นายท่านก็อาศัยความเชื่อใจที่อีกฝ่ายมีต่อนายท่าน ใช้ประโยชน์จากอุปสรรคอันตรายของถ้ำมังกรรังหงส์เพื่อสลัดอีกฝ่ายออกไปในรวดเดียว นายท่านฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ อันตรายของถ้ำมังกรรังหงส์เป็นดาวอริของวิญญาณชั่วร้าย แต่กลับทำให้นายท่านได้ปัจจัยเรื่องจังหวะเวลาและชัยภูมิ ส่วนความเชื่อใจที่วิญญาณชั่วร้ายมีต่อนายท่านก็คือแรงสามัคคี นายท่านมีทั้งเวลา สถานที่และคนให้ใช้ประโยชน์ เมื่อน้ำมาคลองก็เกิด[2] อาศัยไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนายท่าน ถ้ายังหลุดพ้นจากวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้ เกรงว่าหยางชิ่งคงจะทำใจเชื่อได้ยากแล้ว!
มารดาเจ้าเถอะ ยังมีหวังที่จะไปถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ฮึกเหิมทันที ถามอีกว่า : ถ้าหนทางยาวไกล แล้วถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งอีกจะทำยังไง?
หยางชิ่ง : ข้าน้อยก็หวังว่าพอนายท่านไปพึ่งพาใครสักคนแล้วจะสามารถจัดการปัญหาในภายหลังได้ดี แบบนี้จะลดความเสี่ยงได้ ถ้าหมดหนทางจริงๆ แล้วเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ก็ใช่ว่ากลยุทธ์ชั้นต่ำจะใช้ได้กับคนเดียวเท่านั้น นายท่านสามารถใช้ซ้ำได้ แล้วพอเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า นายท่านก็ต้องไม่ลังเลที่จะทิ้งผู้ที่อ่อนแอกว่า แล้วค่อยใช้วิธีการขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอกเพื่อกำจัดคนเก่าทิ้ง แล้วใช้แผนเก่าสยบคนใหม่อีกรอบ จากนั้นก็ไปยังถ้ำมังกรรังหงส์ต่อเพื่อบรรลุเป้าหมายในการหลีกภัยครั้งสุดท้ายของนายท่าน นี่ก็คือสิ่งที่ข้าน้อยเรียกว่า ‘เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า’! กลยุทธ์ชั้นต่ำ จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอก เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่าก็เป็นแบบนี้ นายท่านยังมีอะไรสงสัยอีกมั้ย?
…………………………
[1] สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ 狐假虎威 อวดอ้างบารมีผู้มีอิทธิพล
[2] น้ำมาคลองก็เกิด 水到渠成 เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอม ทุกอย่างก็ย่อมสำเร็จ