พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1470 ไล่ตามมาแล้ว
สงสัย?
เหมียวอี้มีความคิดอยากจะไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะอยากจะไปเพื่อไฟหยางแท้กับไฟหยินแท้สักรอบ โดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ถ้าปล่อยทิ้งขว้างไปก็น่าเสียดายมาก ทว่าหนทางนั้นยากจะคาดเดา กลัวว่าจะมีอันตรายมากกว่า พอตอนนี้มีวิธีไปแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่ดีใจ?
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่จุดที่น่าสงสัยก็ยังมีอยู่ ไม่ได้สงสัยเกี่ยวกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่สงสัยเกี่ยวกับตัวหยางชิ่ง
กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำที่หยางชิ่งคิดให้นี้ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกจริงๆ โดยเฉพาะกลยุทธ์ชั้นต่ำ เป็นกลยุทธ์ลูกโซ่ที่ต่อเนื่องหลาชั้นจริงๆ เหมียวอี้ฟังจนหวาดระแวงกลัว นี่ขนาดตัวหยางชิ่งอยู๋ข้างนอกนะ อยู่ห่างจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไกลมาก อาศัยแค่ฟังสถานการณ์บางอย่างนิดหน่อยก็สามารถวางแผนได้ขนาดนี้ การวางแผนนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
เหมียวอี้จะไม่คิดไปในทางนั้นก็ไม่ได้ ถ้าวันไหนหยางชิ่งใช้กลอุบายนี้กับตนแล้วจะเป็นอย่างไร? ที่สำคัญคือหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ มีบทเรียนที่เคยแอบลงมือวางแผนกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญแผนพัง เกรงว่าคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวิ๋นจือชิวจะตายอย่างไร ด้านนี้ของหยางชิ่งทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างหวาดกลัวจริงๆ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เหมียวอี้ควบคุมหยางชิ่งเอาไว้
คนเราน่ะ บางครั้งมีวรยุทธ์แข็งแกร่งก็ไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวกว่าคือใจคนที่วางกลอุบายไม่จบไม่สิ้น
เหมียวอี้นึกถึงที่สิ่งที่ตัวเองพูดกับอวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ ที่เตรียมจะส่งหยางชิ่งไปแทรกแซงงานของลัทธิอู๋เลี่ยงที่แดนอเวจี ตอนนี้เขาเรียกได้ว่าสงสัยอย่างลึกซึ้ง ว่าให้หยางชิ่งไปแล้วจะเหมาะสมมั้ย? คนแบบหยางชิ่ง แค่ไม่ให้เวทีได้แสดงความสามารถเฉยๆ หรอก ถ้ามีเวทีแสดงความสามารถขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ต้องทราบไว้ว่าหยางชิ่งเคยมีประวัติทนยศเจ้านายตัวเอง บวกกับการวางแผนครั้งนี้ จะไม่ให้เหมียวอี้กังวลได้อย่างไร?
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากกับเรื่องนี้ ตนยังไม่ผ่านด่านตรงหน้าด้วยซ้ำ!
เหมียวอี้เรียกสติกลับมา แล้วตอบว่า : เจ้าพูดไว้ชัดเจนมากแล้ว ไม่มีอะไรสงสัยแล้ว สมองเจ้าดีกว่าจริงๆ!
หยางชิ่งเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโดนเหมียวอี้ควบคุม ถ้าพูดถึงความสามารถ เขาก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ด้อยกว่าพวกสวีถังหราน ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ที่ลูกสาวเขาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทั้งสองฝ่ายก็นับว่าเกี่ยวดองกันเพราะการแต่งงาน แต่เขาก็ยังไม่ถูกเหมียวอี้ใช้งานในตำแหน่งสำคัญ เหตุผลที่อยู่ในนั้นเขารู้อยู่แก่ใจ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะเรื่องที่ตัวเองแอบวางแผนทำร้ายอวิ๋นจือชิวในปีนั้นถูกเปิดโปง ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกสาวแทรกอยู่ตรงกลาง เกรงว่าชีวิตของเขาคงจะไม่เหลือแล้ว เขาเองก็รู้ว่าตัวเองทำผิดต่อเจ้านายมาก ดังนั้นเมื่อมาที่พิภพใหญ่จึงรู้จักก้มหัว หวังว่าจะเติมรอยแยกระหว่างทั้งสองฝ่ายได้
ตอนนี้พอได้ยินเหมียวอี้กล่าวชม เขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นคำชม แต่กลับรู้สึกได้ถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้น ทำให้เขากลัวนิดหน่อย รีบตอบไปว่า : เป็นเพราะตัวนายท่านอยู่ในนั้น ก็เลยมองไม่ทะลุเท่านั้นเอง ข้าน้อยดูอยู่ข้างๆ ก็เลยเห็นชัดเจนกว่า และการจะใช้กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำนี้ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ข้าน้อยเพียงพูดเป็นต่อยหอยเกินจริงเท่านั้นเอง จะทำสำเร็จหรือไม่ กุญแจสำคัญก็อยู่ที่ขั้นตอนการใช้แผนโดยละเอียดของนายท่าน นอกจากนี้ ข้าน้อยยังหวังว่าถ้าหากนายท่านสามารถใช้กลยุทธ์ชั้นยอดได้ ก็พยายามใช้แต่กลยุทธ์ชั้นยอด ถ้าโดนกดดันให้ใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำ อันตรายที่อยู่ในนั้นก็ยากจะคาดเดา! และการขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอกก็เป็นวิธีการที่ใช้เพราะโดนกดดันจนอับจนหนทาง ต้องทราบไว้ว่าเสื้อนั้นร้ายกาจกว่าสุนัขจิ้งจอก ร่วมงานกับสุนัขจิ้งจอกเพื่อหนีจะมีความมั่นใจกว่า วางแผนกับเสือกลับเสี่ยงมาก นายท่านรับมืออยู่ในนั้นเสี่ยงอันตรายที่สุด ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียวก็อาจจะเอาคืนไม่ได้อีกตลอดไป ดังนั้นข้าน้อยจึงพยายามตั้งแผนนี้ไว้เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำ นายท่านได้โปรดไตร่ตรองก่อนแล้วค่อยใช้!
เหมียวอี้ : ข้าจะจำไว้ เวลาเร่งด่วน ตอนนี้คุยเยอะไม่ได้ เดี่ยวถ้ามีอะไรสงสัยข้าจะขอคำชี้แนะอีกที
หยางชิ่ง : นายท่านรักษาตัวด้วย!
หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็เก็บระฆังดาราแล้วถอนหายใจยาว จากนั้นก็เดินช้าๆ อย่างกลุ้มใจนิดหน่อย
เมื่อเห็นเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ชิงจวี๋ก็เดินเนิบนาบไปข้างกายเขาแล้วถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
“เขาเจอปัญหานิดหน่อย…” หยางชิ่งไม่ได้ปิดบังนาง อยู่ที่นี่ถ้าเชื่อใจไม่ได้แม้แต่ชิงจวี๋ เช่นนั้นเขาก็ไม่มีใครที่เชื่อถือได้แล้ว จึงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ ชิงจวี๋ก็ขมวดคิ้วมุ่น “นายท่าน สถานการณ์ที่อันตรายทีการเปลี่ยนแปลงเยอะแบบนี้ เขาจะรับมือไหวเหรอ?”
หยางชิ่ง “บอกได้ไม่ชัดเจน ข้าไม่รู้สถานการณ์ทางนั้นแบบละเอียด ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ? ถ้าไม่เกิดอะไรที่เหนือความคาดหมาย ข้าก็ไม่เป็นห่วงความสามารถในด้านนี้ของเขาหรอก ความสามารถในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ขนาดข้ายังสู้เขาไม่ได้เลย ตอนที่โดนกดดันให้ต้องรับมืออย่างใจเย็น เขาก็ใจเย็นกว่าข้าอีก ความเด็ดเดี่ยวในการลงมือ ข้าก็สู้เขาไม่ได้ ขอเพียงวางทิศทางใหญ่ๆ ออกมาได้ เขาก็รู้ว่าควรจะทำยังไง ต่อให้ข้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าเขา ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาก็น่าจะรับมือไหว!”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมนายท่านยังมีสีหน้ากังวลอีก?” ชิงจวี๋สงสัย
หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วถอนหายใจยาว “ข้าทำมากเกินไปน่ะสิ! ยิ่งข้าช่วยเขาวางแผนการไม่ดีมากมาย เขาก็ยิ่งจะระแวงข้า ทำเรื่องที่ฉลาดให้กลายเป็นโง่แล้วล่ะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ข้าจะไม่ช่วยได้ยังไง จะให้มองดูเขาตายอยู่ในนั้นแล้วเวยเวยกลายเป็นหม้ายเหรอ?”
ชิงจวี๋ห่อเหี่ยวใจ เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่กลับมีความสัมพันธ์ซับซ้อนขนาดนี้…
เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง ในขณะที่เขามองสถานการณ์ไม่ทะลุชัดเจน หยางชิ่งช่วยวางแผนวาดทิศทางใหญ่ๆ ไว้ให้เขาแล้ว เดิมทีเลอะเลือนกับสถานการณ์ต่างๆ รอบกาย ตอนนี้มีความมั่นใจแล้ว
เมื่อมีทิศทางใหญ่ๆ ชี้บอกเขาก็ไม่กลัวแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าจะเดินไปอย่างไร เขาก็ย่อมมีแผนของตัวเอง สิ่งที่หยางชิ่งเรียกว่ากลยุทธ์ชั้นยอดชั้นกลางชั้นต่ำอะไรนั่น เขาไม่ได้พิจารณาอะไรมากเลย เขาตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำที่อันตรายกว่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะไปถ้ำมังกรรังหงส์ แต่ตอนนี้มีความหวังแล้ว มีหรือที่จะพลาดโอกาสอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี?
และนี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งกังวล เขากลัวว่าเจ้าเวรนี่นะทำซี้ซั้ว ถึงได้จัด ‘เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า’ ให้เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำ ผลปรากฏว่าความพยายามสูญเปล่าแล้ว
“โจรอ้วน พวกเราไปกันเถอะ!” เหมียวอี้ที่ฮึกเหิมตะโกนบอก
เฮยทั่นที่สั่นหัวสายหางถามว่า “จะไปที่ไหน?”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ทางทะเลทรายหินตอนที่มา ในเมื่อประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำไม่น่าจะปล่อยข่าว เช่นนั้นก็มองข้ามกลยุทธ์ชั้นยอดกลยุทธ์ชั้นกลางอะไรนั่นไปเลย เขาไม่คิดจะหลบซ่อนแล้ว และไม่คิดจะพัวพันอยู่กับหวังกงอีก แต่เตรียมที่จะมุ่งตรงไปยังถ้ำมังกรรังหงส์
พอเป็นแบบนี้ เขาก็ย่อมไม่ไปที่อาณาเขตของหวังกงอีกแล้ว ส่วนอาณาเขตของหวังกงจะอยู่ทางไหน เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจน ใครใช้ให้เฮยทั่นกินคนนำทางเพียงคนเดียวไปแล้วล่ะ แต่ในเมื่ออาณาเขตของหวังกงเรียกว่าเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ คาดว่าคงจะไม่เกี่ยวข้องกับทะเลทรายหิน สามารถไปสำรวจดูได้
ดังนั้นจึงยกมือขึ้น โบกทวนชี้ไปยังทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ “ไปที่ทะเลทรายหินผืนนั้น”
“จะไปแหล่งที่นกไม่กล้าบินไปขี้ทำไม?” เฮยทั่นถามอย่างสงสัยนิดหน่อย
ตุ้บ! เหมียวอี้ใช้ทวนเคาะหัวมัน “ไม่เอาคำพูดเหลวไหลมาจากไหนเยอะขนาดนี้ ถ้าบ่นอีกข้าจะฆ่าเจ้าแล้วนะ”
เฮยทั่นกลุ้มใจ พบว่าตั้งแต่ตัวเองพูดภาษาคนได้ ก็โดนทำร้ายร่างกายถี่เป็นพิเศษ แค่เอ่ยปากพูดก็โดนตีแล้ว
แต่มันก็หุบปากแล้วเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ปลดปล่อยฝีเท้าจนเกิดเสียงลมดังวูบ แล้ววิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็วิ่งผ่านทะเลสาบที่ซ่อนตัวไปแล้ว วิ่งข้ามผ่านภูเขา พุ่งมาถึงทะเลทรายหินที่อยู่ตรงตีนเขา มาถึงปากทางสุญญะที่มีรอยฉีกขาดไม่หยุดอีกครั้ง
เหมียวอี้ที่ถือทวนนั่งอยู่บนหลังเฮยทั่นตัวกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะวิ่งของมัน มันวิ่งไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดลึกของทะเลทรายหินอันกว้างใหญ่มองไม่เห็นปลายขอบ ขณะเดียวกันก็สำรวจโดยรอบเป็นระยะ เขาอยากจะจับคนนำทางอีกสักคน จะได้ถามว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ตรงไหนกันแน่
ขอบเขตของทะเลทรายหินผืนนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ อาศัยความเร็วของเฮยทั่น ขนาดวิ่งไปเกือบครึ่งวันก็ยังวิ่งออกไปไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความกว้างใหญ่ของเขตแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ระหว่างทางไม่เจอใครเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าบังเอิญผ่านไปหรือว่าอย่างไร ถึงอย่างไรอาณาเขตของทะเลทรายหินก็ใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามีคนวิ่งผ่านสักคนแล้วไม่สังเกตเห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก
มองไม่เห็นคน แต่ปราณชั่วร้ายสี่สีที่พระเพื่อมนั้นมีให้เห็นอยู่ทุกที่ แต่สิ่งนี้ไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรให้เหมียวอี้แล้ว เฮยทั่นก็ยิ่งสูบลงท้องอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
ตรงหน้าไม่รู้เมื่อไรจะวิ่งไปถึงปลายสุด เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วสารทิศไม่หยุด ตอนที่หันไปมองข้างหลัง จู่ๆ เขาก็ชะงักไป สายตาไปหยุดอยู่บนท้องฟ้าด้านหลัง เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งแฉลบมาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงท้องฟ้าด้านบนแล้วก็ผ่อนความเร็วลง แล้วจ้องมองลงมาข้างล่าง รักษาความเร็วให้เท่ากับเฮยทั่นที่อยู่ข้างล่าง
ผู้ที่มาเป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาธรรมดา เหมียวอี้ไม่สงสัยเลยว่าเป็นหวังกงประมุขค่ายพยัคฆ์ดำตามมาแล้วหรือเปล่า แต่หลังจากเห็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดตรงหว่างคิ้วอีกฝ่าย แล้วก็เห็นอีกฝ่ายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครบางคน เหมียวอี้ก็ตัดสินได้ทันทีว่าเป็นลูกน้องที่หวังกงส่งมาตามหาเขา กำลังพลของหวังกงไล่ตามมาแล้ว!
เมื่อตัดสินได้แบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็เก็บทวนในมือ พอพลิกมืออีกรอบก็จับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ลูกธนูดาวตกที่อยู่บนสายถูกยิงออกไปพร้อมเสียงระเบิด
ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเหาะอยู่ในระดับที่สูงเกินไป โดยทั่วไปเฮยทั่นกระโดดไม่ได้สูงขนาดนั้น ทำได้เพียงใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ
เมื่อเห็นธนูและลูกดอกในมือเหมียวอี้ อีกฝ่ายก็ตกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหวังกงรักษาความลับกับลูกสมุน ไม่ได้บอกให้ลูกสมุนรู้ว่าในมือเหมียวอี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ รอจนกระทั่งเห็นลำแสงสายหนึ่งยิงเข้ามา ลุกลี้ลุกลนหักเลี้ยวอยากจะหนี แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ฉึก! ลูกธนูดาวตกเลี้ยวตามไปโดนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ผู้ที่มาเสียสมดุลร่างกายทันที มือเท้าสั่นอยู่กลางอากาศและตกลงมาแล้ว
เฮยทั่นหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน แล้วก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปยังทางที่อีกฝ่ายตกลงมา
พอคนตกลงมาได้ครึ่งทางก็ทรงตัวได้แล้ว ขณะกำลังจะเหาะขึ้นไปอีกครั้ง ใครจะคิดว่าจะมีลำแสงอีกสายพุ่งเข้ามาอีก ลูกธนูดาวตกแทงทะลุหน้าอกเขาอีกครั้ง เขาคว่ำตกลงมา แต่ยังไม่ทันจะถึงพื้น เฮยทั่นก็กระโจนเข้าไปรับแล้ว เหมียวอี้โบกทวนแทงท้องเขาหนึ่งที แล้วกดทวนสะบัดออกไป ทำให้อีกฝ่ายกระแทกลงพื้นเร็วยิ่งขึ้น
ผู้ที่มาตกกระแทกพื้นก่อน “อา…” แล้วก็กลิ้งอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าอนาถ ก่อนที่บนตัวจะมีควันลอยขึ้นมา
เฮยทั่นเหยียบลงพื้น ส่วนเหมียวอี้ก็ถีบลงหลังของมัน แล้วหมุนตัวกลางอากาศไปตกลงตรงหน้าคนคนนั้น พอกางนิ้วทั้งห้าดูด เพลิงจิตสายหนึ่งก็โผล่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย เข้ามาอยู่ในฝ่ามือของเหมียวอี้
ในที่สุดคนที่อยู่บนพื้นก็หยุดกลิ้ง บนตัวมีควันลอยเรากับโดนเผาไม่หยุด เสียงร้องโหยหวนเริ่มเบาลงทีละนิด วรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดตรงหว่างคิ้วกลายเป็นบงกชทองขั้นสี่อย่างรวดเร็ว ตอนที่คนคนนั้นเพิ่งอาการทุเลาลง เพื่อจะสบตากับเหมียวอี้ ทวนเกล็ดย้อนก็จ่อตรงหน้าอกเขาแล้ว หัวทวนทำให้เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความน่ากลัว อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “ไว้ชีวิตด้วย!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “รสชาติเมื่อครู่นี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? ถ้าไม่อยากลิ้มลองอีกรอบ ก็บอกมาแต่โดยดี เจ้าเป็นใคร ตามข้ามาทำไม?”
“ข้าบอกก็ได้!” คนคนนั้นอุทานตอบ เห็นได้ชัดว่ารสชาติยามโดนเพลิงจิตเผาร่างกายนั้นทรมานมาก รีบตอบว่า “ข้าเป็นลูกน้องประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำ ประมุขค่ายสั่งให้ข้ามาตามหาเจ้า…หาเจ้า!”
…………………………