พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1472 เจดีย์งามวิจิตรโผล่มาอีกแล้ว
นักพรตบงกชทองขั้นเก้าคนหนึ่งก้าวก้าวอวดดีขนาดนี้ ทำให้หวังกงเดือดดาลมาก ทว่าถึงแม้จะโกรธ แต่กลับไม่ขาดสติสัมปะชัญชะ เสียงกรีดร้องในหลุมยังดังอยู่ สิ่งประหลาดลึกลับที่ทำร้ายคนทำให้เขาค่อนข้างหวาดกลัว
แต่หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว ไม่อาจะหยุดจุดประสงค์ในการแย่งกายหยาบของเหมียวอี้ได้ ถ้าทำสำเร็จขึ้นมา ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ควรค่าแก่การยอมแลก
แต่เขาก็ไม่ได้บุ่มบ่าม ยังลอยอยู่บนฟ้า แววตาวูบไหวไม่หยุด กำลังคุร่นคิดแผนรับมือ
เหมียวอี้กลับไม่ยอมเสียเวลากับเขาต่อไปอีก เอาทวนปักลงบนพื้น ช้อนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกตั้งอยู่บนสาย เกิดเสียงดังปั้ง ลูกธนูสามดอกยิงออกไปพร้อมกัน ลำแสงสามสายยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
หวังกงโบกมือช้อนบางสิ่งขึ้นมา โล่แผ่นหนึ่งอยู่ในมือแล้ว เขาไม่หลบหลีก แค่เอาโล่มาบังตรงหน้า
เสียงปั้งดังสามครั้ง แขนเขาสะเทือนจนชินชา สะเทือนจนกระเด็นถอยหลัง สะเทือนจนพลังวิญญาณกระจัดกระจายไปหลายส่วน เขาแอบตกใจไม่ใช่น้อย ได้ยินอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตำหนักสวรรค์มานานแล้ว พอได้เห็นของจริงวันนี้ ก็พบว่ายอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ
พอวางโล่ลง หวังกงก็โผล่หน้ามาดู ในใจเกิดความคิดบางอย่างทันที จู่ๆ ก็พุ่งลงมา พุ่งลงพื้นดินเป็นแนวเส้นตรง
แค่เหมียวอี้เห็นโล่ในมืออีกฝ่าย ก็รู้แล้วว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้แบบตัวต่อตัว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คงไม่ส่งผลอะไรต่อหวังกงสักเท่าไร
ตรงนี้เพิ่งจะโบกมือเก็บลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมา เหมียวอี้มองตามเงาร่างของหวังกงที่เหยียบลงพื้น สีหน้าตึงเครียดทันที
เห็นเพียงตอนที่หวังกงพุ่งตัวด้วยความเร็วขนาบกับพื้นเข้ามา ก็โบกดาบฟันผิวดินไปด้วย ทำให้เกิดเสียงดังตูมตาม พื้นราบกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น ภายใต้การพลังอิทธิฤทธิ์ประสมโรงของหวังกง ทะเลทรายหินที่มีทรายและหินปลิวว่อนสายหนึ่งก่อตัวเป็นกำแพงกรวดทราย กำแพงคลื่นขนาดยักษ์ถูกดันเข้ามา ทั้งพื้นดินสั่นไหวเสียงดังโครมคราม
ส่วนร่างของหวังกงก็ซ่อนอยู่หลังกำแพงคลื่นกรวดทราย ทำให้แยกไม่ออกว่าร่างกายของเขาอยู่ทางไหน
เหมียวอี้เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในทันที อีกฝ่ายกำลังรังแกที่เขาเหาะไม่ได้ ไม่มีทางข้ามผ่านกำแพงคลื่นใหญ่นั่นได้ ทั้งยังป้องกันการลอบจู่โจมโดยเพลิงจิตของตนได้ด้วย เตรียมจะกลิ้งเข้ามาหาตนแล้ว
“อ๋าว!” เฮยทั่นคำรามใส่กำแพงคลื่นอย่างเกรี้ยวกราด ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ
“อยู่ตรงนี้!” เหมียวอี้ตะโกนบอก ใช้มือช้อนทวนเกล็ดย้อนที่เสียบอยู่ข้างๆ แล้วพลิกตัวขึ้นมา แล้วเหาะไปเหยียบบนหัวเฮยทั่นเพื่ออาศัยแรง นับว่าเป็นการเตือนเฮยทั่นเช่นกัน ทั้งตัวเหยียบลงพื้นและพุ่งออกไปแล้ว ในมือถือทวนในแถวเฉียง ฝีเท้ารวดเร็วราวกับบิน บุกเดี่ยวพุ่งเข้าไปหากำแพงคลื่นที่ม้วนเข้ามาอย่างห้าวหาญ
“ฮัดชิ่ว…” เฮยทั่นจามหนึ่งที แล้วก็เบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนตกใจมาก เหมือนนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะกับหวังกงตรงๆ
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบบนร่างกายบุกเดี่ยวพุ่งเข้าไปหาคลื่นที่โหมซัดสาดที่พัดม้วนเข้ามา
ชั่วพริบตาที่ชนปะทะกัน เหมียวอี้ก็โบกทวนกวาดอย่างดุเดือด ปั้ง! ฟันเข้าไปในกระแสทรายม้วนจนเกิดเป็นรูโหว่
ทว่ากลับไม่มีผลในการต้านทานใดๆ รูโหว่สมานตัวอีกครั้ง เรียกได้ว่าโดนกระแสทรายดูดกลืนเข้าไปในนั้นในชั่วพริบตาเดียว เฮยทั่นตกใจจนใช้กรงเล็บตะกุยพื้นไม่หยุด
หวังกงที่ซ่อนตัวอยู่ในคลื่นทรายกรวดดีใจทันที เขาซ่อนตัวอยู่ข้างในแล้วมองเห็นการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้ได้ง่าย แต่เหมียวอี้กลับมองไม่เห็นเขา บวกกับเสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอนเหมียวอี้พุ่งเข้ามา ทำให้เขาจับตำแหน่งของเหมียวอี้ได้ทันที เรียกได้ว่าพุ่งเข้ามาในชั่วพริบตาเดียว ใช้ดาบฟันเข้าไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าระห่ำ
เหมียวอี้ที่พุ่งเข้าไปในกรวดทรายม้วนหลับตาลง ขณะที่พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานกรวดทรายที่พุ่งโจมตีเข้ามา เขาก็กำลังตั้งใจฟังเสียง
แทบจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่อันตรายประชิดเข้ามา เหมียวอี้พลิกมือเผยเจดีย์งามวิจิตร เจดีย์พลันขยายใหญ่ขึ้น ฐานเจดีย์พลันขยายออก ครอบอันตรายและกรวดทรายที่ม้วนเข้ามาเอาไว้ด้วยกัน
ในเมื่อเขากล้าพุ่งเข้ามาใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็ย่อมมองออกแล้วว่าในวิกฤติยังมีโอกาส สามารถคว้าโอกาสที่ผ่านมาเพียงแวบเดียวแล้วโจมตีได้อย่างไม่ลังเล ไม่ยอมพลาดโอกาส
ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม จู่ๆ หวังกงที่ควงดาบฟันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งก็พบว่าตัวเองคว้าน้ำเหลว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวข้างหูพลันหายไป ภาพตรงหน้าสว่างชัดเจน พบว่าตัวเองกำลังเหาะลงมาจากฟ้าแล้ว เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์หยุดตัวเองไว้กลางอากาศ ขณะมองดูกรวดทรายผืนใหญ่ที่อยู่ข้างกายตกลงพื้น เขาก็หันไปรอบๆ อย่างประหลาดใจสงสัย เพราะรอบข้างเงียบสงบมาก ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งตกใจ
ไม่น่าเชื่อว่าทะเลทรายหินที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตจะหายไปแล้ว ตรงหน้ามีแต่ภูเขาไฟหลายลูกที่มีควันโขมง ในปากปล่องภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ข้างล่างสามารถมองเห็นหินหลอมเหลวสีแดง เขาคิดไปเองโดยสัญชาตญานว่าตัวเองตาฝาก ทว่ากลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกกดดันโดยธรรมชาติที่ปล่อยออกมาจากภูเขาไฟก็ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัวนิดหน่อย ทำให้เขาต้องสงสัยว่านี่อาจจะไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง
เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆ ฉากตรงนี้จึงเปลี่ยนแปลงไป แทบจะไม่มีเค้าลางอะไรบอกล่วงหน้าเลย เหมือนจู่ๆ ก็ข้ามมาอีกมิติหนึ่ง ที่นี่คือที่ไหน?
บนทะเลทรายหิน เสียงดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน กำแพงคลื่นกรวดทรายที่เมื่อครู่นี้ยังพลิกม้วนพลันเปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง ฉากที่มีลักษณะดุดันเมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นอ่อนแอลงแล้ว ความโอ่อ่าที่มืดฟ้ามัวดินตกลงมาทับถมกันราวกับกองทราย
“ฮัดชิ่ว…” เฮยทั่นที่ตามหนึ่งทีจ้องมองตาไม่กระพริบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ยังไม่ทันได้ยินเสียงการต่อสู้เลย ทำไมจู่ๆ ก็หยุดแล้วล่ะ?
บึ้ม! กรวดทรายสายหนึ่งที่ขยายอยู่บนทะเลทรายหินพลันระเบิดออก เจดีย์งามวิจิตรบินขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาศ เจดีย์มีเจ็ดชั้น แต่ละชั้นกำลังหมุนวนอยู่อย่างนั้น ด้านล่างมีเงาคนคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาเหยียบบนเนินกรวดทรายสูง เป็นเหมียวอี้นั่นเอง
เฮยทั่นวิ่งตะบึงเข้ามาด้วยความเร็วปานสายลมทันที แล้วกระโจนตัวขึ้นไปบนเนินกรวดทรายสูง พอเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ก็สั่นหัวส่ายหาง มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ไอ้เวรนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?”
เหมียวอี้ไม่สนใจ เอาทวนไปปักไว้บนกรวดทราย แล้วใช้สองมือร่ายวิชาดรรชนี แผ่รังสีออกมาหลายสาย เริ่มขับเคลื่อนเจดีย์งามวิจิตร
ในเจดีย์งามวิจิตร หวังกงที่ลอยอยู่กลางอากาศและประหลาดใจสงสัยไม่หยุดพลันก้มหน้ามองใต้เท้า เห็นเพียงหินหลอมเหลวสีแดงในภูเขาไฟหลายลูกไหลกลิ้งขึ้นมาอย่างรุนแรง มีมนุษย์ไฟห้าคนโผล่ขึ้นมาจากหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ ลอยขึ้นมาจากปากภูเขาไฟ แล้วทันใดนั้นมนุษย์ไฟก็เพิ่มความเร็ว พุ่งไปหาหวังกงที่อยู่บนฟ้าจากห้าทิศทางพร้อมกัน
หวังกงตกใจมาก ในฐานะที่เป็นวิญญาณชั่วร้าย เขาเป็นสิ่งที่กลัวธาตุไฟโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดฟันปราณดาบออกมาอย่างบ้าคลั่ง มีเสียงระเบิดดังห้าครั้ง ทำให้มนุษย์ไฟห้าคนระเบิดกลายเป็นหินหลอมเหลวในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อเห็นว่ามีอานุภาพแค่นิดเดียว ไม่เพียงพอที่จะสร้างภัยคุกคามให้ตนเลย หวังกงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาได้ผ่อนคลาย ในปากภูเขาไฟห้าลูกข้างล่างก็มีมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวโผล่มาอีกห้าคนแล้ว พวกมันโผเข้ามาจากห้าทิศทางอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจในครั้งนี้ก็คือ การโจมตีของมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวห้าคนนี้เร็วกว่าห้าคนก่อนมาก
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม้แต่พลังต้านทานก็เหนือกว่าห้าคนก่อน ปราณดาบห้าสายของเขาฟันออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวห้าคนนี้หายไปไม่ได้ มันล้อมโจมตีพัวพันอยู่กับเขาทันที
ดาบในมือยกขึ้นแล้วปล่อยลง ทำศึกเดือดกับมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวทั้งห้าอย่างสุดชีวิต มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวโดนเขาฟันพังไปตัวแล้วตัวเล่า
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่เบาก็คือ มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวพวกนั้นฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด เขาฆ่าตายไปตัวหนึ่งก็มีโผล่มาอีกตัวหนึ่ง ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งมากขื้นเรื่อยๆ ด้วย แต่ละตัวที่โผล่ขึ้นมาใหม่ล้วนมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขา แค่ไม่มีสติปัญญามากเท่าเขาก็เท่านั้นเอง
ทั้งมีพลังพอๆ กับเขา ทั้งโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน เขาทั้งหนีทั้งสู้ แต่ที่นี่เหมือนจะมีแต่ภูเขาไฟ แทบจะไม่มีทางวิ่งไปถึงปลายทางเลย มีมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวที่ฆ่าไม่หมดโผล่มาตลอด
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในใจหวังกงก็รู้สึกสิ้นหวัง ขณะที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็ส่งเสียงขอร้องว่า “ท่านเหมียว หวังคนนี้ไม่รู้จักกลัวตายเอง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หวังผิดไปแล้ว ถ้าไปล่วงเกินตรงไหนก็ได้โปรดใจกว้าให้อภัย มีเงื่อนไขอะไรก็เจรจากันได้ ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะ!” เห็นได้ชัดว่าเดาออกแล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางเหมียวอี้
มีเสียงดังแว่วมาจากเจดีย์งามวิจิตร เหมียวอี้ไม่แยแสเลย ควบคุมเจดีย์งามวิจิตรต่อไป มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่จะไว้ชีวิตหวังกงได้ ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะฆ่าปิดปากแล้ว
เฮยทั่นได้ยินแล้วกลับร่าเริง มองดูเจดีย์เจ็ดชั้นที่หมุนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด แล้วเดาะปากพูดว่า “ที่แท้ก็ขังไว้ข้างในนี่เอง!”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หวังกงที่ทำศึกเดือดไม่หยุดก็อ่อนเปลี้ยไร้แรงแล้ว ไม่มีแรงเหลือมากพอที่จะสู้กันกลางอากาศได้อีก ตกลงพื้นมาสู้กับมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวพวกนั้น และในที่สุดเขาก็ค้นพบความไม่ชอบมาพากลในนี้ นั่นก็คือเวลาที่เขาลงมือเบาลง อานุภาพการลงมือโจมตีของมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวก็อ่อนแอลงแล้วเช่นกัน เพียงแต่มนุษย์ไฟมีพลังสูสีกับเขาอยู่ตลอด สิ่งนี้ทำให้เขาหมดแรงตายได้
เขาเองก็ไม่ได้โง่ ไม่นานก็รู้ถึงวิธีแก้วิกฤติตรงหน้าแล้ว เขาหยิบโล่ออกมาป้องกัน ไม่โจมตีโต้ตอบอีก ได้แต่ดันทรังทนต้านทานอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน อานุภาพการโจมตีของมนุษย์ไฟก็เริ่มอ่อนแรงลงทีละนิด
“เฮอะ!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม นี่ไม่ใช่เจดีย์งามวิจิตรเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว ที่ด้านนอกจะไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวของข้างใน เขาย่อมสังเกตได้ว่าหวังกงมีจุดประสงค์อะไร จึงเอียงหน้าบอกว่า “โจรอ้วน เจ้ามีอาหารกินอีกแล้ว เข้าไปเถอะ”
ฐานของเจดีย์งามวิจิตรที่หมนุวนอยู่บนฟ้าพลันมีรอยแยก เฮยทั่นกระโจนขึ้น พุ่งเข้าไปแล้ว
หวังกงที่ต้านทานอยู่ข้างในพลันเงยหน้า พบว่าบนฟ้ามี ‘หน้าต่างฟ้า’ โผล่ออกมาและหุบลงแล้ว แต่มีของสิ่งหนึ่งตกลงมา เห็นเพียงเฮยทั่นโผลงมาจากฟ้า
หวังกงที่เหนื่อยล้าหมดแรงตกใจมาก พยายามใช้โล่ผลักมนุษย์ไฟคนหนึ่งออกไป แล้วถลันตัวหนีออกมา
เฮยทั่นที่ตกลงพื้นดังโครมดีดเท้ากระโดดเข้าไป มันขยุ้มกรงเล็บกลางอากาศ ตุ้บ! ตะปบหวังกงลงกับพื้น จากนั้นโผตามไป กดหวังกงที่พยายามจะลุกขึ้นไว้บนพื้น ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีเกราะหัวหรือไม่ มันอ้าปากงับลงไปเลย กัดไปพร้อมๆ กับเกราะหัว
หวังกงที่โดนเฮยทั่นใช้กำลังอันป่าเถื่อนกดไว้พยายามดิ้นรน แต่กลับสลัดให้หลุดได้ยาก
มนุษย์ไฟกระจายตกลงพื้นราวกับโคลนเหลว ภูเขาไฟพังถล่มจมลง สภาพพื้นที่เปลี่ยนเป็นแนวภูเขา มีสายน้ำไหลลงมาจากต้นน้ำ ตามแนวภูเขากลายเป็นแม่น้ำเอง บนพื้นดินเขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่เติบโตอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าสังเกตเห็นได้ มีลมพัดช้าๆ เรียกได้ว่าชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว
เฮยทั่นมองดูความเปลี่ยนแปลงรอบๆ อย่างงุนงง จากนั้นก็ไม่สนใจแล้ว ใช้กรงเล็บควักเข้าไปในเกราะรบต่อ แล้วก็คว้าเกราะรบที่ยังคงสั่นไหวขึ้นมา ไม่นานก็มีไข่มุกวิญญาณอาฆาตสีขาวลายสีรุ้งตกลงมา มันก้มหน้าใช้ลิ้นตวัดหนึ่งที ม้วนไข่มุกวิญญาณอาฆาตมาไว้ในปาก จากนั้นก็กลืนลงท้องด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
จู่ๆ ก็มีถ้ำแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาข้างกายมัน มองออกว่าด้านนอกคือทะเลทรายหิน ของที่หวังกงทิ้งไว้ถูกพลังอิทธิฤทธิ์กลุ้มหนึ่งม้วนออกไป แล้วก็มีเสียงเหมียวอี้ดังตามมา “กินหมดแล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก”
เฮยทั่นกระโดดออกมา เหยียบลงบนเนินกรวดทรายสูง พอหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็นเจดีย์งามวิจิตรพลันหดเล็กและตกลง โดนเหมียวอี้โบกมือกวาดเก็บเอาไว้แล้ว
…………………………