พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1476 ผู้นำทาง
มีคนไม่น้อยรีบเหาะหนีให้ไกลจากภูเขาลูกนี้
พวกอั้นโยวหลินที่อยู่บนม้องฟ้าด้านหลังก็ตกใจจนเหม่อค้างแล้วเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในมือเหมียวอี้ หัวหน้าใหญ่ขุยจะรับมือไม่ได้แม้แต่ท่าเดียวด้วยซ้ำ นี่เป็นการสู้ระหว่างนักพรตบงกชรุ้งกับนักพรตบงกชทองนะ จะเป็นไปได้อย่างไร? นักพรตบงกชทองคนนี้เป็นใครกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะห้าวหาญได้ถึงขนาดนี้!
หัวหน้าใหญ่ว่านเอียงหน้ามาถ่ายทอดเสียง “ประมุขค่าย ถ้าอยากจะสู้กับคนคนนี้ เกรงว่าจะต้องให้พี่น้องที่อยู่ตรงหน้าร่วมแรงสู้ตาย ต้องไม่กลัวไม่ถอยถึงจะรั้งเขาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสกัดขวางการบุกสังหารของเขาได้เลย” มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือตอนนี้มีเพียงการให้ประมุขค่ายลงมือเองเท่านั้นถึงจะมีความเป็นไปได้ ทว่าเขาก็ไม่สะดวกจะบัญชาการให้ประมุขค่ายออกรบ
อั้นโยวหลินเงียบไป เคยเห็นฉากต่อสู้กันมาก่อน แต่นางไม่อยากสู้ศึกนี้เลย ประการแรกเป็นเพราะอยากดึงตัวเหมียวอี้มาอยู่ที่ค่ายป่าครึ้ม ประการต่อมาเป็นเพราะต่อให้นางลงมือเอง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดทิ้งได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว ลงมือกับเหมียวอี้แล้วไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ
ทว่าการที่นางไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าเหมียวอี้จะไม่มีการตอบสนอง จู่ๆ เหมียวอี้เลี้ยวหัวทวน ชี้ไปทางนางที่อยู่บนฟ้าไกลๆ พร้อมตะโกนว่า “อั้นโยวหลินออกมาคุยกับข้า!”
สายตาของทุกคนมองไปที่อั้นโยวหลินทันที คนที่อยู่ข้างกายอั้นโยวหลินก็ยิ่งสับสนงงวย อย่าบอกนะว่าเป็นฝ่ายท้าสู้ประมุขค่ายก่อน?
อั้นโยวหลินแววตาวูบไหว เกิดความคิดบางอย่างในใจแล้ว โบกมือคว้าทวนยาวไว้ในมือแล้ว
“ประมุขค่าย ไม่สู้ทุกคนเข้าไปพร้อมกันเลยล่ะ” หัวหน้าใหญ่ว่านที่อยู่ข้างๆ กล่าว
แต่ใครจะคิดว่าอั้นโยวหลินจะโบกทวนขวาง “ไม่จำเป็น ทุกคนหยุดอยู่ตรงนี้ ถ้าข้าไม่อนุญาตก็ห้ามเข้ามา”
หัวหน้าใหญ่ว่านพูดไม่ออก เขาเองก็มีเจตนาดี ไม่อยากเห็นอั้นโยวหลินเป็นอะไรไป หัวหน้าใหญ่ขุยตายไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับอั้นโยวหลินอีก เขาก็กังวลว่าเหมียวอี้จะพุ่งเป้ามาที่เขาต่อ ถ้าแม้แต่อั้นโยวหลินยังต้านทานไม่ไหว แล้วเขาจะต้านทานไหวเหรอ? เขารู้สึกว่ามีอั้นโยวหลินรับหน้าแล้วทุกคนสู้พร้อมกันจะปลอดภัยกว่า ใครจะคิดว่าอั้นโยวหลินจะปฏิเสธแล้ว ทำได้เพียงมองดูอั้นโยวหลินเหาะออกไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
อั้นโยวหลินที่เหาะขึ้นมาใหล้ท้องฟ้าเหนือภูเขาลอยลงมาช้าๆ ลดระดับควาสูงลงแล้ว จากนั้นก็มองต่ำลงมา มองสำรวจเหมียวอี้ซึ่งๆ หน้า พร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร เหตุใดต้องเปิดฉากสังหารในเขตค่ายป่าครึ้มของข้า?”
เมื่อเห็นนางพูดจาสุภาพ สีหน้าดุร้ายของเหมียวอี้ก็ลดลง เขาหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองในนั้น แล้วหยิบบัตรขุนนางของตัวเองออกมา ก่อนจะโยนให้พร้อมกัน
อั้นโยวหลินที่รับของมาไว้ในมือรู้สึกงงงวย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จนกระทั่งหลังจากได้เห็นบัตรขุนนางของเหมียวอี้แล้ว นางก็เรียกได้ว่าตกใจมาก นางจึงดูตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกอีกแผ่นที่เหมียวอี้เพิ่งลงไว้ พอเปรียบเทียบกับตราอิทธิฤทธิ์ในบัตรขุนนางอย่างละเอียดแล้ว ก็แน่ใจแล้วว่าเป็นคนคนเดียวกัน
นางพลันเงยหน้า แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร เหมียวอี้ก็ชิงถามก่อนว่า “มีคนมากมายขนาดนี้ล้อมหนิวอยู่ อย่าบอกนะว่าจะสู้ตายกับหนิวจริงๆ?”
อั้นโยวหลินเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขากำลังมีบางอย่างจะเจรจากับนางเป็นการส่วนตัว นางอดไม่ได้ที่จะลังเลนิดหน่อย สายตาที่มองเหมียวอี้ก็ยิ่งวูบไหวไม่สงบนิ่ง
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้เอาแต่วิ่งบนพื้นดินตลอด ที่แท้ก็เป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วเหาะไม่ได้นี่เอง ตอนแรกเห็นเหมียวอี้วิ่งอยู่ท่ามกลางปราณชั่วร้ายโดยไม่เป็นอะไร ก็ยังนึกว่าเหมียวอี้เป็นวิญญาณชั่วร้ายเหมือนกัน สงสัยจะมาจากนอกแดนแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ร่างกายที่มีเลือดเนื้ออยู่ตรงหน้านางแล้ว ถ้าบอกว่าไม่ใจสั่นหวั่นไหวเลยก็แสดงว่าโกหก แต่นางก็ไม่รู้ว่ามีคนจากข้างนอกเข้ามาเยอะเท่าไรกันแน่ เป็นเหมียวอี้เข้ามาคนเดียวหรือมีคนกลุ่มใหญ่เข้ามา ทำไมจู่ๆ จึงมีคนจากข้างนอกเข้ามา อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์จะมากวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกแล้ว?
นางไม่เคยผ่านประสบการณ์ตอนตำหนักสวรรค์กวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่เคยได้ยินจากคนเก่าคนแก่ที่รอดชีวิต นางคิดว่าน่ากลัวมาก ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าทั้งหมดโดยไม่ปรานี ขอเพียงเป็นวิญญาณชั่วร้ายก็จะฆ่าทันที ไม่มีเหตุผลอะไรต้องคุยเลย!
ประการต่อมาเป็นเพราะเหมียวอี้อาละวาดอย่างกล้าหาญไร้ความเกรงกลัว แล้วเปิดเผยตัวตนของตัวเองอย่างไม่กังวลอะไร ท่าทางเหมือนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และเมื่อครู่นี้ก็ยิ่งแสดงพลังต่อสู้อันห้าวหาญ นางจึงไม่มั่นใจว่าจะจัดการเหมียวอี้ได้หรือไม่
นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วโยนแผ่นหยกสองแผ่นคืนให้เหมียวอี้ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ถอยไปให้หมด!”
หัวหน้าใหญ่ว่านและคนอื่นๆ ตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ให้นางดูอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ทุกคนถอยไปแล้ว
และในตอนนี้ทุกคนก็ต้องให้มีเรื่องน้อยๆ เข้าไว้ ในเมื่อประมุขค่ายลั่นวาจาแล้ว พวกเขาก็ทยอยกันถอยออกไปเช่นกัน
เมื่อเห็นทุกคนถอยออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บทวนในมือ กระโดดลงจากตัวเฮยทั่น แล้วเงยหน้ามองอั้นโยวหลิน อีกฝ่ายหลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เก็บทวนในมือแล้วลอยลงเยียบพื้นเบาๆ
ทั้งสองสบตากันโดยอยู่ห่างกันประมาณครึ่งจั้ง นับว่ายืนใกล้กันพอแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าประมุขค่ายอั้นจะเป็นวีรสตรี” เหมียวอี้กล่าวชมตามมารยาท สายตากลอกกลิ้งบนตัวอีกฝ่าย “เพียงแต่เกราะรบไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไร”
อั้นโยวหลินกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สถานที่เล็กๆ จะเทียบกับสถานที่ใหญ่ๆ ของโลกภายนอกได้ยังไง ทำให้นายท่านหนิวเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ฟังจากคำพูดนายท่าน เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องข้ามาก่อนใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พลิกมือหยิบเกราะรบผลึกแดงชุดหนึ่งออกมา แล้วโยนไว้บนพื้น “ได้ยินคนอื่นพูดมา ไม่ทราบว่าประมุขค่ายอั้นรู้จักเกราะรบชุดนี้รึเปล่า?”
อั้นโยวหลินตรวจสอบอย่างจริงจัง จากนั้นก็ตกตะลึงทันที ถึงแม้นางกับหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำจะอยู่ที่ทะเลทรายหินคนละผืน แต่ก็นับว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน เคยเจอกันมาก่อน และเกราะรบที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ขาดแคลน นางย่อมมองออกถึงที่มาที่ไปได้อย่างรวดเร็ว ถามว่า “นี่คือเกราะรบของหวังวงแห่งค่ายพยัคฆ์ดำเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ถูกแล้ว ข้าได้ยินชื่อประมุขค่ายอั้นมาจากเขานี่แหละ”
อั้นโยวหลินถามหยั่งเชิงอย่างระแวงสงสัย “เกราะรบที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หายากมาก ถ้าอยากจะได้เกราะรบผลึกแดงสักชุดก็ไม่ง่ายเลย ไม่น่าเชื่อว่าหวังกงจะยินดีมอบเกราะรบให้นายท่าน คงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับนายท่านสินะ?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าสังหารเขาทิ้งแล้ว ความสัมพันธ์นี้…เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะสงสัยแบบนี้ แต่พอได้ยินเหมียวอี้ยอมรับจากปากตัวเอง นางก็ยังตกใจไม่ใช่น้อย พลังของนางสูสีกับหวังกง อีกฝ่ายสังหารหวังกงได้แล้ว เกรงว่าตนก็คงจะลำบากพอสมควร รู้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ นางเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าทำไมนายท่านต้องฆ่าหวังกง?”
เหมียวอี้แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “พอข้าเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็เกือบจะเข้าไปในอาณาเขตของเขาแล้ว เป็นเพราะข้าไม่คุ้นเคยการใช้ชีวิตที่นี่ ก็เลยไปหาเขา ต้องการให้เขาพาไปถ้ำมังกรรังหงส์ ใครจะไปคิดว่าเขาจะไม่รู้จักกลัวตาย บังอาจอยากได้กายหยาบของข้า ข้าก็ต้องฆ่าเขาทิ้งอยู่แล้ว!”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ถ้าเปลี่ยนเป็นนาง ก็เกรงว่าจะคิดอยากได้เหมือนกัน! อั้นโยวหลินแอบพึมพำ แต่พอได้ยินว่าต้องการจะไปถ้ำมังกรรังหงส์ นางก็ใจเต้นอยากควบคุมไม่ได้ จึงภามหยั่งเชิงอีกว่า “ทำไมนายท่านถึงอยากจะไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์ล่ะ?”
“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามาเจรจา ไม่อย่างนั้นถ้าข้าจะไปจริงๆ เจ้าก็รั้งข้าไม่ได้หรอก” เหมียวอี้ตอบ
ล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น สาเหตุที่แท้จริงก็คือหลังจากผ่านศึกที่ค่ายป่าครึ้มมา เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าถ้าต้องการจะผ่านอาณาเขตของใครสักคนไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณเพียงลำพัง ก็เหมือนว่าจะไม่น่าเป็นไปได้
อั้นโยวหลินพอจะเดาได้รางๆ แล้วว่าเหมียวอี้ต้องการอะไร แต่ไม่กล้าแน่ใจ “นายท่านกำลังหมายความว่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าไม่คุ้นเคยกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อยากจะให้เจ้าเป็นผู้นำทาง พาข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์สักครั้ง แน่นอน หลังจากผ่านเรื่องหวังกงมาแล้ว ข้าก็รู้ว่าพวกเจ้าต้องการอะไร เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ให้เจ้าช่วยเฉยๆ หรอก ข้าจะช่วยพาเจ้าเข้าไปถ้ำมังกรรังหงส์”
นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้ อั้นโยวหลินย่อมดีใจมากอยู่แล้ว นางก็ยังไม่ถึงขั้นเลอะเลือน ถามอย่างสงสัยว่า “ตำหนักสวรรค์ต้องการจะกวาดล้างพวกเรา แต่นายท่านกลับต้องการจะช่วยให้ข้าเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์เพื่อให้ข้าเติบโตขึ้นเหรอ?”
เหมียวอี้บอกว่า “เรื่องของตำหนักสวรรค์ก็คือเรื่องของตำหนักสวรรค์ ข้ามาที่นี่ก็ย่อมมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนในภายหลังเจ้าจะโดนกวาดล้างหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า เจ้าหลบได้ก็ดี แต่ถ้าหลบไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ? ตอนนี้ข้าแค่อยากจะถามเจ้าคำเดียว ถ้าตอบตกลงก็ไป ถ้าไม่ตอบตกลงก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น ข้าจะไปหาคนต่อไป”
เรื่องดีๆ แบบนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป อั้นโยวหลินแอบโน้มน้าวให้ตัวเองใจเย็น แล้วถามอีกว่า “นายท่านไม่กลัวว่าข้าจะมีเจตนาไม่ซื่อเหมือนหวังกงเหรอ?”
เหมียวอี้เหล่ตามอง ในดวงตาฉายแววดูถูก “ต่อให้เจ้าได้กายหยาบของข้าไปแล้วยังไงต่อล่ะ เจ้าคิดว่าถ้ำมังกรรังหงส์เข้าไปง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าได้กายหยาบของข้าแล้วจะเข้าไปได้เหรอ?”
“หรือว่าในนั้นยังมีลับลมคมในอะไรอีก?” อั้นโยวหลินถาม
“เจ้าไปถึงแล้วก็จะรู้เอง จะไปหรือไม่ไป ตอบมาตรงๆ” เหมียวอี้มีท่าทีแข็งกร้าวมาก ถ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือไปก่อนหน้านี้ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวแข็งกร้าวแบบนี้เช่นกัน
อั้นโยวหลินลังเลนิดหน่อย ในใจยังคงสงสัย แต่สุดท้ายก็ต้านทานความยั่วยวนของถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ไหว แข็งใจตอบตกลงแล้ว “ดี! ข้าจะไปเป็นนายท่านสักครั้ง ไม่ทราบว่าจะออกเดินทางเมื่อไร?”
“ไม่จำเป็นต้องชักช้า ไปตอนนี้เลย” เหมียวอี้ตอบ
“ได้! นายท่านรอสักครู่ ให้ข้าเตรียมงานในค่ายไว้ก่อน” อั้นโยวหลินกุมหมัดคารวะ แล้วถลันตัวออกไป ไปสั่งงานของค่ายป่าครึ้มกับหัวหน้าใหญ่ว่าน
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลค่ายป่าครึ้มที่อยู่รอบๆ ก็ถอนกำลังไปหมดแล้ว หัวหน้าใหญ่ว่านที่เหาะไปไกลหันกลับมามองทางนี้เป็นระยะ ไม่รู้ว่าอั้นโยวหลินต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่อั้นโยวหลินก็ย่อมไม่บอกเขาอยู่แล้ว
รอจนกระทั่งอั้นโยวหลินกลับมาที่ภูเขาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ขี่อยู่บนตัวเฮยทั่นแล้ว “ไปเถอะ!”
อั้นโยวหลินโบกมือ “ไม่รีบ! ถ้าไปจากทางบกมีอุปสรรคอันตรายเยอะเกินไป อย่าว่าแต่ไปถึงถ้ำมังกรรังหงส์เลย เกรงว่าจะเข้าใกล้ไม่ได้ด้วยซ้ำ นายท่านรอสักครู่ ข้าจะหาพลังเท้าให้นายท่าน”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ก็เห็นนางหาพลังเท้ามาให้แล้ว เป็นอินทรีสามหัวสีเทาตัวหนึ่งที่กางปีกแล้วยาวถึงสองจั้ง พอมันโฉบลงมาเกาะบนยอดเขา เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปลูบมัน พบว่าอินทรีสามหัวตัวนี้เกิดจากวิญญาณมรณะ
ด้วยเหตุนี้เฮยทั่นจึงไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย เหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมันแล้ว แต่ก็ยังเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้แต่โดยดี
อั้นโยวหลินถอดเกราะรบบนตัว แล้วแนะนำเหมียวอี้ว่า “ถ้านายท่านอยากไปถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ก็ถอดเกราะรบบนตัวออกดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นเห็นของบนตัวนายท่านแล้วอยากได้ จากที่ไม่มีปัญหาก็จะมีปัญหาแล้ว”
เหมียวอี้ใช้สมองคิดนิดหน่อยก็เข้าใจสิ่งที่นางพูดแล้ว แดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นขาดแคลนแหล่งเกราะรบ ดังนั้นเกราะรบบนตัวเขาจึงสะดุดตาเกินไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะสวมใส่โอ้อวด เขาถึงเชื่อฟังนาและถอดเกราะรบออก
ทั้งสองทยอยกันกระโดขึ้นบนตัวอินทรีสามหัว อั้นโยวหลินถามอีกว่า “ไปถ้ำมังกรหรือจะไปรังหงส์?”
“รังหงส์!” เหมียวอี้ตอบ
อั้นโยวหลินโบกมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “วี้ด!” อินทรีสามหัวส่งเสียงร้องพร้อมกันทั้งสามหัว แล้วกางปีกทะยานขึ้นท้องฟ้า กระพือปีกแบกทั้งสองคนบินขึ้นฟ้าสูงไปไกลแล้ว
…………………………