พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1483 รังหงส์
โดนไล่ฆ่ามาตลอดทางเป็นเวลาหลายเดือน โดนไฟเผาผนึกน้ำแข็งตลอดทาง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมานี้ ตนเรียกได้ว่ามาอย่างบ้าคลั่งสะเทือนเลือนลั่นตลอดทาง แต่จู่ๆ บทจะถอยก็ถอยไป บทจะแยกย้ายก็แยกย้ายไป กลายเป็นสงบสุขขนาดนี้แล้ว เขาไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นชินจริงๆ
เหมียวอี้เงียบงัน เมื่อครู่ตอนที่กระโดดหน้าผาน้ำแข็งแห่งนี้ลงมาเขามองไปรอบๆ หลายครั้ง ถ้าเขาจำไม่ผิด ที่นี่ก็เหมือนจะเป็นแอ่งกระทะที่ใหญ่มาก
เขามองไปข้างหน้า ตรงจุดไกลๆ เห็นภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งที่มีหน่อน้ำแข็งทั้งเล็กทั้งใหญ่สะสมกันตั้งตระหง่านเงียบๆ อยู่บนทุ่งน้ำแข็ง ด้านบนของภูเขาน้ำแข็งที่สลับฟันปลา มีควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา เป็นควันหนาเจ็ดสี พุ่งขึ้นบนฟ้าสูง แล้วกระจายไปสี่ด้านแปดทิศราวกับเห็ด
เขารู้ว่านั่นคือปราณชั่วร้าย แต่เขาไม่รู้ว่ารังหงส์อยู่ส่วนไหนของทุ่งน้ำแข็ง รังหงส์มีแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย คงจะมีปราณชั่วร้ายที่เข้มข้นมาก นี่คือการตัดสินโดยพื้นฐานของเขา หลังจากเห็นเมฆชั่วร้ายนี่ไกลๆ เขาก็เลยมาที่นี่
อย่าบอกนะว่าภูเขาน้ำแข็งที่เป็นฟันปลานั่นจะเป็นรังหงส์ พอเงยหน้ามองวิญญาณน้ำแข็งที่หายไปข้างหลังอีกครั้ง ก็เดาออกแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินน่าจะไม่ผิดพลาด
มีความเป็นไปได้ว่าจะมาถึงจุดหมายแล้ว ความรู้สึกของเหมียวอี้ไม่นับว่าตื่นเต้นดีใจอะไรนัก กลับเริ่มระวังตัวขึ้นมาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าข้างหน้ายังมีอันตรายอะไรอีก
เขาผ่อนคลายแขนขาทั้งสี่เล็กน้อย รู้สึกเจ็บแปลบอ่อนแรงพักหนึ่ง หลังจากอวี้ซาไปแล้ว ถึงแม้การบุกมาตลอดทางนี้จะไม่มีอันตรายอะไร แต่เขาก็ต่อสู้มาตลอดทาง วิ่งด้วยความเร็วมาตลอดทาง ใช้วิธีการบุกเบิกภูเขาแยกแผ่นดินวิ่งมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงแม้จะกินยาเพื่อรักษาพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ตลอดทาง แต่ความเหนื่อยล้าของกายเนื้อก็ยังจู่โจมมาที่เขาอย่างเข้มข้น
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดบนกระเป๋าสัตว์ที่เอว ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า อาการบาดเจ็บของฮยทั่นน่าจะฟื้นตัวตั้งนานแล้ว มันอ้อนตลอดว่าอยากออกมาดูว่าภายนอกเป็นอย่างไร แต่เหมียวอี้ไม่ยอมให้มันออกมาเลย ให้มันพักฟื้นต่อไป
ตอนนี้เขาโบกมือเรียกมันออกมาแล้ว ตอนนี้เขาต้องการผู้ปกป้อง เป็นเพราะเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ ต้องการฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย
เฮยทั่นที่ปรากฏตัวกลางอากาศสั่นหัวส่ายหาง มันมองซ้ายทีขวาที แล้วบ่นว่า “ทำไมเงียบสงบแบบนี้ ปีศาจเล็กๆ พวกนั้นล่ะ แล้วนกใหญ่ที่พ่นไฟโดนท่านจัดการไปหมดแล้วเหรอ?”
ตอนนี้ไม่กล้าเยินยอรูปลักษณ์ภายนอกของมันเลยจริงๆ เขาที่อยู่บนหัวหักเกือบหมดแล้ว เขาข้างหนึ่งหักไปเกือบครึ่ง ส่วนอีกข้างหักไปเกือบสามในสี่ส่วน ข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งเตี้ยอยู่บนหัว ทั้งยังมีเกราะเกล็ดดำขลับแข็งแรงที่เดิมทีปกคลุมไว้ทั้งร่างกาย เกราะเกล็ดสีดำที่เดิมทีอาวุธที่ระดับต่ำกว่าผลึกแดงฟันแทงไม่เข้า มันหลุดออกไปหนึ่งในสี่ส่วนแล้วเช่นกัน ทำให้เกราะดูขาดๆ หายไป เป็นจุดเล็กบ้างใหญ่บ้าง เล่นซะเหมือนสุนัขขนร่วง ตลกพิลึกพิลั่นสุดๆ ประกอบกับสายตาเจ้าเล่ห์ของมันก็ยิ่งทำให้คนเห็นแล้วอยากขำ
เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกออก รู้ว่ามันเกือบจะสิ้นชีพ รู้ว่าถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเฮยทั่นสู้ตาย ตัวเองก็อาจจะไม่หลุดพ้นเงื้อมมือของอวี้ซาก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อวี้ซาเป็นหรือตาย เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ข้าไม่ได้จัดการหรอก พวกมันถอนไปเองแล้ว”
“ท่านปู๋เอ๊ย ตามแบบเอาเป็นเอาตายตลอดทาง ถอยไปเองแต่โดยดีได้ด้วยเหรอ?” เฮยทั่นถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้า มองไปยังภูเขาน้ำแข็งที่มีปราณชั่วร้ายพวยพุ่งขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่รู้สิ อาจจะใกล้ถึงรังหงส์แล้วมั้ง”
เฮยทั่นมองตาม พอเห็นภูเขาน้ำแข็งที่มีควันลอย เห็นปราณชั่วร้ายที่เข้มข้น มันก็ตาลุกวาว แลบลิ้นเลียรอบริมฝีปากทันที
เหมียวอี้เหล่ตามองมันแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “อดทนควบคุมปากไว้ให้ข้าหน่อย ถ้ากล้าตะกละกินจนก่อเรื่องอีก ฟันเจ้าร่วงหมดปากแน่”
“ไม่หรอกๆ ข้าได้รับบทเรียนแล้ว!” เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง น้ำเสียงดูอับอายเล็กน้อย พอนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองก่อ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองก่อเรื่องซี้ซั้ว คาดว่าตอนนี้ก็คงได้หลบอยู่ในถ้ำริมทะเลสาบแล้ว แบบนั้นปลอดภัยมาก คงไม่เกิดเรื่องที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนแบบในตอนหลัง
มันยังไม่รู้จุดประสงค์ที่เหมียวอี้มาที่นี่ มันนึกว่าเหมียวอี้หมดหนทางถึงได้หนีมาที่นี่ มันรู้สึกผิดมาก ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองก่อเรื่องไว้ทั้งนั้น
เหมียวอี้ยกมือกดบนตัวมัน ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจร่างกายให้มัน หลังจากแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บหายแล้ว เขาก็เดินดูรอบตัวมันอีก เขาพบว่าจุดที่เขาหักกับจุดที่เกราะเกล็ดร่วงไม่มีท่าทีว่าจะงอกขึ้นมาเหมือนเดิมเลย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เขาที่หักกับเกล็ดที่ร่วงจะฟื้นฟูกลับมาได้หรือเปล่า?”
เฮยทั่นหันกลับมามองบนร่างกายตัวเอง “น่าจะฟื้นฟูกลับมาได้นะ ข้ารู้สึกได้ว่ามันกำลังฟื้นตัว เพียงแต่สองจุดนั้นก็เหมือนกับฟันของข้า เป็นจุดที่แข็งแรงทนทานที่สุดบนร่างกายข้า ฟื้นตัวได้เร็ว ถ้าอิงตามความเร็วในตอนนี้ เกรงว่าไม่ถึงหมื่นปีก็จะกลับไปเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ดีกว่าตายตั้งเยอะ ถึงยังไงข้าก็ยังมีเกราะรบ เกราะรบของข้ายังใช้งานได้อยู่ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูห่วงเหล็กบนคอของมัน แล้วพยักหน้าบอกว่า “ตาแก่เยาหลอมสร้างเกราะรบที่มีพลังต้านทานไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ต้านทานพลังโจมตีของอวี้ซาไม่ไหวก็เลยพังเฉยๆ ถ้าฟื้นฟูพลังงงานก็น่าจะใช้งานได้แล้ว มันก็แค่เสียพลังงานไปเยอะมาก แต่ในระยะนี้คงจะใช้งานไม่ได้”
เฮยทั่นบ่นอย่างแค้นใจทันทีว่า “อย่าให้วิญญาณสังหารนั่นตกอยู่ในมือปู่คนนี้นะ ถ้าไม่ได้กินเขา ก็คงคลายความแค้นในใจข้าได้ยาก เขาตายไปรึยัง?”
“ไม่รู้สิ” เหมียวอี้หยิบยาเจี๋ยตันขั้นห้าออกมาหลายเม็ด ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดช่องเติมพลังงานของห่วงเหล็ก วางยาเจี๋ยตันเข้าไป หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเป็นพลังงานกระตุ้นให้ห่วงเหล็กดูดกลืนและย่อยยาเจี๋ยตันเองแล้ว เขาถึงได้หยุดแล้วบอกว่า “ข้าบุกสังหารตลอดหนึ่งเดือนโดยไม่หยุด รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ยังไม่รู้ว่าตรงหน้าจะมีสถานการณ์อะไรอีก ข้าจะฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย เจ้าเฝ้าให้ข้าด้วย”
เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางตอบ “ไม่มีปัญหา”
เหมียวอี้โยนศพสามศพออกมา จากนั้นก็รูดกำไลเก็บสมบัติบนตัวพวกเขามาเก็บไว้แล้ว
เฮยทั่นตาเป็นประกาย “วิญญาณสังหารมีสมบัติไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าสะสมสมบัติอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มานานเท่าไรแล้ว ครั้งนี้ท่านร่ำรวยใหญ่เลยสินะ”
“ยังไม่ได้ดูให้ละเอียด น่าจะไม่น้อยหรอก”
“งั้นก็ดี ฮูหยินจะได้ไม่เอาแต่บ่นใส่หูข้า บอกว่าเลี้ยงข้าแล้วเปลืองเงินเกินไป อืม เดี๋ยวกลับไปครั้งนี้ท่านต้องบอกฮูหยินด้วยนะ ว่าตั๊กแตนพวกนั้นเลี้ยงไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไม่สู้ตัดอาหารพวกมันไปเลยดีกว่า เอาให้…” มันสังเกตเห็นว่าเหมียวอี้เหล่ตาจ้องมัน คำว่า ‘เอาให้ข้า’ จึงถูกกลืนกลับไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะแทนว่า “ถ้าฮูหยินรู้ว่าข้าพูดได้ จะตกใจแย่มั้ยนะ?”
เหมียวอี้ขี้เกียจเปลืองคำพูดกับมัน ไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวนี้ปากมากหรือเป็นเพราะพูดได้แล้วตื่นเต้นมาก ถ้าเขาไม่ตะโกนบอกให้มันหยุด มันก็จะพูดกับเขาไม่หยุดปาก เขาจึงบุ้ยปากไปทางศพสามศพบนพื้น บอกใบ้ให้มันไปจัดการ
เฮยทั่นหุบปากทันที มันตาลุกวาว ราวกับไม่เคยใช้พลังในร่างกายมาก่อน…รีบโผเข้าไปงับแล้ว ภาพที่โหดร้ายนั้นทำให้คนทนมองตรงๆ ไม่ไหวจริงๆ
ล้วนเป็นวิญญาณชั่วร้าย ไม่ใช่คนที่แท้จริง! เหมียวอี้ปลอบตัวเองในใจ ถึงได้ข่มความรู้สึกสะอิดสะเอียนในท้องไว้ให้ เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวฝืนยัดลงไปในปากแล้วเคี้ยวกลืน แล้วหยิบท้อเซียนสองผลมากินอย่างช้าๆ ขณะที่กินก็มองสำรวจไปรอบๆ
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็นั่งขัดสมาธิ วางทวนเกล็ดย้อนพาดไว้บนเข่าเพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลา เขาจำเป็นต้องกำจัดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบนกายเนื้อและฟื้นฟูกำลังวังชา ต้องสะสมกำลังให้เพียงพอเพื่อรับมือกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
ตั้งแต่เขาฝึกตนมาจนถึงทุกวันนี้ เขายังไม่เคยบุกสังหารต่อเนื่องกันหนึ่งเดือนเลยสักครั้ง ถึงแม้จะไม่ดุเดือดเท่าไร แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก
ส่วนเฮยทั่นก็เฝ้าอยู่ข้างๆ ถ้ามีของให้มันกิน มันก็ไม่วิ่งเพ่นพ่านไปไหน
หลังจากนั้นสามวัน เหมียวอี้ก็ถือทวนค้ำพื้นยืนขึ้นมาอีก แววตาที่อ่อนล้าเปลี่ยนเป็นกล้าหาญเปี่ยมพลังอีกครั้ง เขาใช้ทวนเคาะผู้คุ้มกันของตัวเองที่กลายเป็นเฮยทั่นที่นอนงีบหลับ “ลุกขึ้น ไปดูว่าตรงนั้นใช่รังหงส์รึเปล่า”
เฮยทั่นลืมตา ใช้เท้าเหยียดพื้นลุกขึ้นยืน เหมียวอี้ปีนขึ้นบนตัวมัน หนึ่งคนกับหนึ่งตัวทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนบนผิวหิมะราบทันที
ตอนที่เข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็งสูงรูปฟันปลา เฮยทั่นถึงได้ผ่อนความเร็วลง แล้วก้าวเดินช้าๆ พลางเหลียวซ้ายแลขวา
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนหลังเฮยทั่นถือทวนมองไปโดยรอบ จ้องน้ำแข็งสลักรูปหงส์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หร็อมแหร็มล้อมอยู่ น้ำแข็งสลักรูปหงส์แต่ละตัวยืนด้วยท่าทางต่างๆ ราวกับมีชีวิต งดงามวิจิตรตระการตาไร้ที่เปรียบ
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจก็คือ ในน้ำแข็งสลักรูปหงส์พวกนี้ล้วนมีจุดแสงสีรุ้ง ส่วนบนภูเขาน้ำแข็งรูปฟันปลานั่นก็ยิ่งมีน้ำแข็งสลักรูปหงส์เยอะกว่า เป็นหงส์ในท่วงท่าต่างกัน งดงามสงบนิ่ง ทุกตัวล้วนมีจุดแสงสีรุ้งอยู่ในนั้น
ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะอากาศบริสุทธิ์มาก ด้านบนมีปราณชั่วร้ายกองรวมเป็นเมฆหนาหลายชั้นแท้ๆ แต่ตรงนี้กลับไม่มีปราณชั่วร้ายเลย ที่จริงตอนที่เหมียวอี้กระโดดลงในแอ่งกระทะ ก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณชั่วร้ายเจือจางลงเยอะมาก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตอนที่ยิ่งเข้าใกล้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย อากาศกลับยิ่งบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ
ตอนที่ค่อยๆ เข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็งรูปฟันปลา ถึงได้พบว่าด้านบนมีถ้ำอยู่ไม่น้อยเลย แต่เป็นเพราะเข้าใกล้สีสันและมุมมอง ตอนอยู่ไกลๆ มองไม่เห็น ตอนเข้าใกล้ถึงได้ค้นพบ พอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนรังนกจริงๆ
เหมียวอี้ครุ่นคิด ดูว่าที่นี่ใช่รังหงส์ที่ร่ำลือกันหรือเปล่า
ถึงแม้รอบข้างจะสงบเงียบ แต่หนึ่งคนกับหนึ่งตัวกลับกังวลว่าจะมีอันตรายอะไร ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยตรง แต่อ้อมสำรวจรอบๆ ‘รังนก’ แทน
ตอนที่อ้อมมาถึงแท่นหิมะที่เอียงลาดนอก ‘รังนก’ จู่ๆ ก็มีลมประหลาดพัดกระพืออย่างบ้าคลั่ง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวหยุดอยู่กับที่ทันที กำลังเตรียมพร้อมป้องกัน
ลมหิมะทำให้ตาพร่าเลือน เหมียวอี้หลับตาและเงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่จู่ๆ ก็ลืมตามองไปด้านข้าง
เกล็ดหิมะปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ไม่รู้ว่าถูกพัดม้วนมาจากไหน จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็กระจ่างชัด ทุ่งหิมะที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะหนาหลายชั้นพลันเปลี่ยนเป็นเหมือนกระจกใส มองไม่เห็นเกล็ดหิมะแล้ว เป็นผลึกใสสีฟ้าราวกับกระจก เมื่อประกอบกับน้ำแข็งสลักรูปหงส์พวกนั้น ก็ทำให้ดูงดงามราวกับความฝัน
แต่เหมียวอี้ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขากำลังจ้องบันไดน้ำแข็งสูงที่โผล่ออกมาหลังจากบนแท่นหิมะที่เอียงลาดถูกกำจัดกองหิมะแล้ว ตรงหน้ามีประตูน้ำแข็งที่สูงใหญ่ เขาถึงได้พบว่าอ้อมมาถึงประตูหลักของ ‘รังนก’ แล้ว
ประตูน้ำแข็งกำลังเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง หลังจากประตูน้ำแข็งเปิดออกอย่างช้าๆ แล้ว ด้านหลังก็ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงงดงามที่มองปราดเดียวก็รู้สึกผ่อนคลายจิตใจแล้ว
ผมยาวที่ทิ้งตัวจากบ่าไปถึงแผ่นหลังปลิวตามลมอย่างแผ่วเบา เรือนร่างอรชรอ่อนช้อน บนกระโปรงยาวสีฟ้ามีลายเกล็ดน้ำแข็ง ใบหน้าสวยสง่างาม แววตาที่สงบอ่อนโยนกำลังมองหนึ่งคนกับหนึ่งตัวที่อยู่ใต้บันได ดวงตางามเป็นประกายเล็กน้อย
หลังจากประตูน้ำแข็งเปิดออกเต็มที่แล้ว สาวงามที่ยืนประสานมือตรงหน้าท้องก็ก้าวออกมาเบาๆ เดินมาบนบันได หลังจากมองประเมินพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนจางราวกับหิมะละลาย พร้อมเปล่งเสียงที่ใสไพเราะดุจเสียงน้ำพุ “ท่านผ่านมาเฉยๆ หรือมาเยือนที่นี่?”
เฮยทั่นหันหน้ามาสบตากับเหมียวอี้แวบหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาเป็นศัตรูนะ?
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถือทวนกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตถามว่านี่คือรังหงส์ในตำนานใช่หรือไม่?”
สาวงามพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว!”
…………………………