พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1488 ครั้งที่เก็บเกี่ยวได้เยอะที่สุด
หลิงหลันก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของเหมียวอี้เช่นกัน เห็นเพียงหลังจากเหมียวอี้กระโดดออกมาจากโพรงปราณสังหารแล้ว ก็มุดเข้าไปในโพรงก่อนหน้านี้อีกรอบ ครั้งนี้ใช้เวลาในแต่ละโพรงนานมาก
รอจนกระทั่งตรวจสอบในโพรงของปราณชั่วร้ายทั้งสี่จนละเอียดแล้ว เหมียวอี้ก็ชำเลืองมองเตียงน้ำแข็งทั้งสี่หลังพร้อมทำท่าครุ่นคิด
ไม่มี! นอกจากไข่หินสองใบในโพรงลึกของปราณเหี้ยมโหดที่กระโดดลงไปตอนแรก ในโพรงลึกอีกสามโพรงก็ไม่มีของอะไรเลย ถ้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เรียกว่าของสองอย่างน่าจะเป็นไข่หินสองใบจากโพรงลึกปราณเหี้ยมโหด
เมื่อเห็นเขาเงียบไป หลิงหลันก็เข้ามมาใกล้แล้วถามว่า “ท่านคะ หาเจอหรือยัง ?”
เหมียวอี้หันตัวช้าๆ มามองนาง แล้วถามอีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านบอกว่าสองสองอย่างแยกซ่อนอยู่ในสองโพรงถ้ำ?”
เป็นของสองอย่างเหรอ? หลิงหลันอึ้งไปครู่เดียว ก่อนจะรับประกันอีกว่า “ท่าน นายท่านบอกแบบนี้จริงๆ ค่ะ นายท่านไม่มีทางหลอกข้า ท่านหาเจอหรือยังคะ?”
ไม่หลอกเจ้าก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้ขำในใจ รู้สึกว่าตัวเองโดนปั่นหัวแล้ว
แต่พอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ ก็จะบอกว่าหลอกไม่ได้หรอก ถ้าเดาไม่ผิด คนที่วางภารกิจไว้ในหลิงหลันก็แค่ปิดบังเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถ้าเข้าใจผิดเล็กๆ ก็จะให้หานานๆ ขึ้นหน่อย ถ้าเข้าใจผิดใหญ่โตก็อาจจะทำให้พลาดไป ถ้าไม่ได้รับคำชี้แนะจากหลิงหลันว่ามีสองชิ้น ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าอาจจะประมาททิ้งชิ้นที่สองไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญเจอโพรงถ้ำซ่อนไข่หินตั้งแต่ครั้งแรก และบังเอิญไปดูสถานการณ์ที่จุดสิ้นสุด ก็เกรงว่าคงจะถ่อไปค้นหาที่โพรงถ้ำอื่นอีก ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ถ้าใช้เวลาแค่สั้นๆ ก็ไม่มีทางหาของอย่างที่สองเจอเลย
เหมียวอี้สงสัยมากว่าไข่หินสองใบนี้ซ่อนความลึกลับหลอกลวงอะไรไว้กันแน่ ไม่น่ะเชื่อว่าจะควรค่าให้สิ้นเปลืองความคิดแบบนี้? เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “หาเจอแล้ว”
หลิงหลันขอบคุณด้วยความดีใจทันที แต่เหมียวอี้กลับพลิกมือรองไข่หินสีดำขลับไว้ในมือพร้อมถามว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
“ไม่รู้ค่ะ นี่เป็นของที่ท่านหาเจอในโพรงถ้ำเหรอ?” หลิงหลันสงสัย
ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้จริงหรือว่าแกล้งไม่รู้ ถ้าแกล้งรู้ เช่นนั้นก็เล่นละครต่อไปเถอะ ถ้าหากไม่รู้จริงๆ ในเมื่อนายท่านของนางปิดบังนาง เช่นนั้นก็แสดงว่าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้
“ท่าน! เศษหินบนพื้นพวกนี้มีประโยชน์ใช้สอยอะไรหรือเปล่า?” หลิงหลันชี้ไปยังกองเศษหินที่ถูกพ่นขึ้นมาจากโพรงถ้ำพร้อมเอ่ยถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ จัดการเก็บกวาดทิ้งเถอะ”
หลิงหลันเก็บกวาดอย่างเรียบง่ายๆ พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แผ่นน้ำแข็งก็กระเพื่อมขึ้นมา หินสีดำที่กระจัดกระจายก็ราวกับจมลงในแผ่นน้ำทันที หลังจากหายไปแล้วแผ่นน้ำแข็งก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
เหมียวอี้ไม่สนใจ โบกมือปล่อยเฮยทั่นออกมา แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ไปทางแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย
เฮยทั่นทำเสียงฟึดฟัด แล้วกระโจนตัวไปนอนคว่ำบนปากโพรงของแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ก่อนจะดูดซับอย่างถึงออกถึงใจ
จากนั้นอั้นโยวหลินกับย่วนต๋าก็ถูกปล่อยออกมา พอทั้งสองเห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ตาก็ลุกวาวทันที อั้นโยวหลินถามด้วยอารมณ์ตื่นเต้นว่า “นายท่าน อย่าบอกนะว่านี่คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะพาเจ้ามา อย่างน้อยข้าก็ไม่กลืนคำพูดตัวเอง”
“ขอบคุณนายท่าน!” อั้นโยวหลินกุมหมัดคารวะพร้อมโค้งตัวค้างไว้ สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจมาก
ย่วนต๋าก็ย่อมซาบซึ้งเช่นกัน มองไปรอบๆ พลางถามว่า “ที่นี่คือรังหงส์เหรอ?”
“พวกเขาทั้งสองคือวิญญาณชั่วร้ายเหรอ?” หลิงหลันพลันตะคอกถาม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ท่าน ท่านพาวิญญาณชั่วร้ายมาที่รังหงส์ได้ยังไง?”
อั้นโยวหลินกับย่วนต๋าที่เห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแล้วตื่นเต้นดีใจสุดๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นหลิงหลัน ทั้งคู่ระแวงสงสัยเล็กน้อย
เหมียวอี้พลันดีดนิ้ว กระบี่เล็กเพลิงจิตเล่มหนึ่งยิงไปที่หลังของย่วนต๋า เมื่อวรยุทธ์โดนผนึกไว้ก็เรียกได้ว่าไม่ทันรู้ตัวเลย
“เจ้า…” ย่วนต๋าหันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จากนั้นก็สีหน้าบูดเบี้ยว “อา…” ส่งเสียงกรีดร้องในขณะที่กลิ้งลงพื้น ควันที่ลอยขึ้นมาจากร่างกายโดนลมพัดม้วนไปแล้ว เสียงร้องโหยหวนที่ทำให้คนขนลุกดังก้องอยู่ในวังใต้ดิน
เฮยทั่นชำเลืองมอง แล้วก็ส่ายหางอย่างไม่เห็นด้วยที่เขาทำแบบนี้
หลิงหลันที่เพิ่งจะเอ่ยถามตะลึงงัน ค่อนข้างตกใจเพราะเสียงร้องของย่วนต๋า
อั้นโยวหลินตกใจมาก ในหัวมีคำว่า ‘ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง’ แวบเข้ามา นางมองเหมียวอี้อย่างหวาดกลัวพร้อมถอยหลังช้าๆ
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เคยรับปากอะไรเขา แต่เจ้านั้นต่างกัน ข้าเคยรับปากเจ้าแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะได้ใช้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายตรงปราณอาฆาตชั่วคราว แต่ต้องทำตามสิ่งที่เจ้ากับข้าสัญญากันไว้ ถ้าข้าออกไปเจ้าก็ต้องไปกับข้า รังหงส์ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ได้นาน”
อั้นโยวหลินที่ยังหวาดระแวงในใจพยักหน้า
เหมียวอี้บอกหลิงหลันอีกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารับปากเจ้าแล้ว ดังนั้นถ้าข้าม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามแตะต้องนาง ไม่อย่างนั้นข้าก็อาจจะทำเรื่องที่รับปากไว้กับเจ้าไม่ได้ ไปเถอะ พาข้าไปเยี่ยมชมรังหงส์สักหน่อย”
หลิงหลันขมวดคิ้ว นางไม่ได้ตอบตกลงและไม่ได้ปฏิเสธในทันที ก้มหน้าเดินตามเหมียวอี้ไปแล้ว
เสียงกรีดร้องโหยหวนของย่วนต๋ายังไม่หยุด อั้นโยวหลินได้แต่มองดูตาปริบๆ เฮยทั่นหลับตาสองข้าง นอนหลับหายใจอย่างผ่อนคลายราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
ภายในของรังหงส์เริ่มจากข้างล่างขึ้นข้างบน แบ่งเป็นรังถ้ำจำนวนไม่น้อย ทุกรังมีทางเข้าออกสู่ภายนอกแบบส่วนตัว รูปร่างและการจัดวางของแต่ละรังถ้ำไม่เหมือนกัน ตามที่หลิงหลันบอก ที่นี่คงลักษณะเดิมของรังถ้ำสมาชิกเผ่าหงส์ทุกคนเอาไว้ สิ่งที่มีร่วมกันก็คือในรังถ้ำล้วนมีปราณชั่วร้ายไหลผ่าน
เหมียวอี้กับหลิงหลันที่ดินเยี่ยมชมขึ้นมาตลอดทางหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารังหงส์ที่สูงที่สุด ขณะมองดูแท่นด้านบนที่มี่ปราณชั่วร้ายพัดโขมงออกมาราวกับควันไฟ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้วิญญาณชั่วร้ายในวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถือกำเนิด”
หลิงหลันบอกว่า “ตอนที่เผ่าหงส์ยังอยู่ มีเผ่าหงส์คอยดูดกรอง ปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมาจึงเจือจางมาก พอเผ่าหงส์ไม่อยู่แล้ว ถึงได้กลายสภาพเป็นแบบนี้ ทำให้วิญญาณชั่วร้ายเกิดขึ้นในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง”
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะควบคุมได้ เหมียวอี้หันตัวพร้อมทอดสายตามองไปรอบๆ มองทั้งแอ่งกระทะของทุ่งน้ำแข็งโบราณ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาบอกพวกอวิ๋นจือชิวว่าปลอดภัยแล้ว
พอติดต่อหยางชิ่ง หยางชิ่งก็ต้องถามถึงสถานการณ์ในช่วงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้ยังคงรักษาระยะห่างกับเขาอยู่บ้าง บอกเพียงว่าตัวเองทำตามที่เขาบอก ปิดบังความจริงในขั้นตอนระหว่างนั้นเอาไว้
ราตรีอันมืดมิดกำลังมาเยือน อัคคีน้ำแข็งหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งรังหงส์ส่องแสงเจิดจ้า สีสันพร่างพราวราวกับภาพมายา
ตรงประตูนอกตำหนักใหญ่ของรังหงส์ หลังจากหลิงหลันเรียกรวมวิญญาณน้ำแข็งมาถามอะไรบางอย่างแล้ว ก็ลอยขึ้นฟ้าไปเหยียบบนยอดรังหงส์อีก
เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ อยู่ท่ามกลางลมหนาว เกราะรบบนตัวยังไม่ถูกถอดออก หลิงหลันเดินมาตรงหน้าเขาแล้วบอกว่า “ท่านคะ ถามมาแล้ว คนที่ท่านบอกยังไม่ตาย แต่ถูกไล่ออกจากทุ่งน้ำแข็งโบราณไปแล้ว”
อวี้ซายังไม่ตายเหรอ? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สุดท้ายเรื่องที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก หันตัวเดินลงมาแล้ว เขามาที่วังใต้ดินอีกรอบ เดินมาตรงหน้าอั้นโยวหลินแล้วถามว่า “ตอนที่อวี้ซานั่นปรากฏตัว เหมือนเจ้าจะกลัวเขามากนะ เขามีชื่อเสียงที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มากเลยเหรอ?”
อั้นโยวหลินตอบด้วยความเคารพว่า “ท่ามกลางวิญญาณชั่วร้ายที่โดนตำหนักสวรรค์ผนึกไว้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อวี้ซาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรตายด้วยน้ำมือเขา ครั้งแรกที่ตำหนักสวรรค์มากวาดล้างเขาก็หายตัวไปแล้ว ทุกคนนึกว่าเขาตายด้วยน้ำมือตำหนักสวรรค์แล้วซะอีก ใครจะคิดว่าเขาจะซ่อนตัวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้ถึงสองครั้ง ตอนนั้นหลังจากที่รู้ว่าคนที่เผยโฉมหน้าคือเขา ข้าก็ตกใจมากจริงๆ”
สำหรับนาง อวี้ซาคือบุคคลที่อยู่ในตำนานมาอย่างยาวนานมาก คนที่รู้ก็แค่ได้ยินมานิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว
อวี้ซารอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สามารถบงการได้ เหมียวอี้ก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน เพียงหวังว่าในภายหลังอย่าได้เจอกันอีก ไม่อย่างนั้นอวี้ซาก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ หลังจากออกจากวังใต้ดินแล้ว เขาก็เดินออกจากรังหงส์ไปเพียงลำพัง
ที่จริงหลังจากมาถึงรังหงส์แล้วถึงได้ค้นพบ ว่าที่รังหงส์สะอาดมาก ปราณชั่วร้ายไม่พัดไปไหนซี้ซั้ว ธาตุไฟหยินก็ไม่กระจายซี้ซั้วเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา
เขามาที่ริมขอบของแอ่งกระทะ เขากระโดดข้ามหน้าผาสูงไปเหยียบบนผาน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว แล้วกระโจนตัวไปยังจุดลึกของหุบเขาน้ำแข็ง
พอเขาปรากฏตัว ไม่นานก็ดึงดูดให้กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งปรากฏตัวแล้วเช่นกัน เขาจึงหยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งออกมา หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่เปล่งประกายสะดุดตาบินรอบกายเขาอยู่ภายใต้ม่านราตรี ทำให้กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งถอยออกไปแต่โดยดีทันที หายไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางหิมะโดยรอบ ไม่กล้ารบกวนอีกแม้แต่น้อย
หลังจากทดสอบจนแน่ใจแล้วว่าหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งมีประสิทธิภาพจริงๆ เหมียวอี้ก็ค้นหาถ้ำน้ำแข็งแห้งหนึ่ง โยนเบาะรองออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิ เริ่มนับของที่ได้จากยอดฝีมือบงกชกลายสามคนที่อวี้ซาสังหาร แล้วสุดท้ายก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ร่ำรวยใหญ่แล้ว!
สำหรับวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ เกราะรบเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก แต่ตาแก่สี่คนนี้กลับสะสมไว้ตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ สะสมมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้เช่นกัน เกราะรบผลึกแดงรูปแบบต่างๆ มีไม่ต่ำกว่าแสนชุด ส่วนพวกเกราะรบผลึกม่วงกับเกราะรบก็ยิ่งนับไม่ถ้วน และส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้นับจนขี้เกียจนับแล้ว
หลังจากเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วเห็นโครงกระดูกอยู่กระจายทั่วทุกที่ กอปรกับเห็นอุปกรณ์พวกนี้ เหมียวอี้ก็จินตนาการได้แล้ว ว่าในช่วงก่อนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะโดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อม เกรงว่าคงจะมีนักพรตบุกเข้ามาที่นี่นับไม่ถ้วน
ส่วนเหรียญผลึกที่ได้มาจากสี่คนนั้น ขนาดเขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์นับแล้วก็ยังนับไม่ถ้วนเลย นั่นคือจำนวนที่มหาศาลมาก แค่ผลึกแดงอย่างเดียวก็ต้องใช้หน่วย ‘ล้านล้าน’ มานับแล้ว เป็นจำนวนเงินที่มหาศาลจนทำใจเชื่อได้ยาก
อืม! ทั้งยังมีไข่มุกวิญญาณอีกไม่น้อยเลย เป็นไข่มุกวิญญาณชนิดต่างๆ มีหลายระดับ มีจำนวนเยอะถึงหลายแสน
สรุปก็คือของกระจุกกระจิกนั้นมีไม่น้อยเลย ครั้งนี้เหมียวอี้เก็บเกี่ยวได้เยอะที่สุดตั้งแต่ก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนมา
ชายชราทั้งสี่มีสมบัติเยอะขนาดนี้ได้ คาดว่าคงเป็นผลจากการดำรงชีพแบบ ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ มาหลายปี ที่สะสมได้ขนาดนี้ก็คงจะเป็นเพราะพวกวิญญาณชั่วร้ายที่โดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่มีที่ให้ใช้เงิน ต่อให้ร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนก็มีค่าเท่ากับศูนย์
จะว่าไปแล้วการที่สามารถร่ำรวยขนาดนี้ได้ ก็ยังต้องขอบคุณพวกอวี้ซาที่หลบการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้ถึงสองครั้ง
ทว่าเขาก็รู้สึกถึงลับลมคมในบางอย่าง ในเมื่อมีสมบัติมากมายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมไม่มีของวิเศษที่ได้เรื่องสักอย่างเลยล่ะ? คงไม่ถึงขั้นว่านักพรตสมัยก่อนไม่ใช้ของวิเศษเลยหรอกใช่มั้ย?
เรื่องที่คิดไม่ออกก็อย่าเพิ่งไปคิดเลย ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ก็น่าจะอยู่อย่างสงบได้อีกหลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาที่นี่ได้ เรื่องฝึกตนต้องมาอันดับหนึ่ง
หลังจากสงบจิตใจแล้ว ยาแก่นเซียนจำนวนมากก็ระเบิดพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นออกมา ตอนที่เคล็ดวิชาอัคนีดาราโคจรดูดซับ ธาตุไฟหยินที่อุดมสมบูรณ์รอบๆ ก็พัดม้วนเข้ามาเช่นกัน แม้แต่พลังจิตวิญญาณก็ถูกดูดซับเข้ามาในร่างกายพร้อมกัน รวมกันเข้ามาในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์
…………………………